เราวัดอะไรจะได้ผลที่เป็นสิ่งที่เราวัด (we get what we measure) คำพูดนี้ หากนำไปพูดในคอนเท็กซ์ของฟิสิกส์ เราก็อาจจะหมายความว่าถ้าเราวัดความเข้มของแสง เราก็จะได้ผลเป็นตัวเลขที่บอกความเข้มของแสง ... ถ้าเราวัดอะไร เราก็ได้ผลแบบนั้น (บางครั้งอาจจะไม่จริงแต่ส่วนใหญ่แล้วน่าจะเป็นอย่างนั้น)
วันนี้ผมจะพูดถึงคำพูดนี้ในแง่ของ "การวัดผล" (evaluation) การวัดผลที่ผมพูดถึงนี้ หมายถึงการวัดผลประสิทธิภาพการทำงาน หรือ ประสิทธิภาพการทำวิจัย ของบุคลากรในองค์กร ....
เราวัดอะไรเราได้อย่างนั้น
คำพูดนี้บ่งบอกถึงความสำคัญของสิ่งที่เราเลือกเป็น "เกณฑ์" ในการวัดผล
choice ของเกณฑ์ที่เราเลือกมานั้นจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อผลลัพท์ที่เราได้
เช่น หากเราต้องการวัดผลการวิจัยของอาจารย์ในภาควิชา สมมติว่าเกณฑ์ที่ใช้คือ "ปริมาณบทความวิชาการที่ตีพิมพ์ได้ต่อปี" เรานับปริมาณ ดังนั้น ผลที่เราได้ก็คือปริมาณ ไม่ใช่ คุณภาพ เนื่องจากเกณฑ์ที่เลือกจะไปเป็นแรงบันดาลใจ(incentive) ให้อาจารย์พยายามตีพิมพ์ผลงานปริมาณมาก มากกว่าที่จะพยายามมีผลงานคุณภาพนั่นเอง .... ซึ่ง ในกรณีนี้ เราไปโทษอาจารย์ไม่ได้ ว่าทำแต่งานไม่มีคุณภาพ เราต้องโทษผู้บริหารที่เลือกจะวัดผลแบบนี้ เขาได้ผลลัพท์ที่เขาต้องการวัดครับ
นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในหลายๆภาควิชาในหลายๆมหาลัยในเมืองไทย หรือแม้แต่ในบางมหาวิทยาลัยในยุโรปก็เป็นแบบนี้เช่นกัน
ถามผม ... หากเกณฑ์วัดผลคือปริมาณ .... ผมก็คงพยายามทำงานเน้นปริมาณเช่นกัน (ใครจะบ้าลงแรงไปทำงานคุณภาพครับ) หากผมพยายามทำงานคุณภาพ ผมอาจจะทำได้เพียง 1 ชิ้น ต่อ 1 ปี แต่ผมมั่นใจว่า ถ้าผมอยากเน้นปริมาณ 4-5 ชิ้นต่อปีก็ไม่ยากนัก
เคยมีคนเปรียบเทียบเชิงประชดเกี่ยวกับระบบการนับปริมาณบทความวิชาการว่า Since we are bean counters, we get lots of beans. (พวกเราอยู่ในสังคมนับถั่ว จึงได้ผลงานออกมาเป็นถั่วเต็มไปหมด)
.......
We get what we measure! คำพูดนี้ สำหรับผมเป็นการบ่งบอกถึงความสำคัญของการออกแบบตัววัดผลนั่นเอง
เราพยายามวัดสิ่งที่เป็นนามธรรม ให้เป็นรูปธรรม พยายามอธิบายเรื่องของจิตตภาพ ด้วยกายภาพ
มาช่วยกันนับถั่วดีกว่าค่ะ