มิตรภาพเริ่มต้นที่ตรงไหน


มิตรภาพเริ่มต้นที่ตรงไหน

 

เคยมีคนถามผมว่า มิตรภาพเริ่มต้นที่ตรงไหนในเมื่อทุกวันนี้ผมเองก็มีมิตรภาพที่ดีกับทุกๆ คน ตั้งแต่คนในครอบครัว เพื่อน และสังคม ผมเองคิดว่าการที่เรามีสัมพันธภาพที่ดีกับคนอื่นๆ นั้นจะทำให้เรามีสุขภาพจิตที่ดีเหมือนกับว่าเราได้นั่งพูดคุยปรับทุกข์ ด้วยความสนุกสนาน และสามารถสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ที่ตั้งอยู่บนฐานของศีลธรรม ซึ่งสามารถได้สัมผัสผ่านประสบการณ์ร่วมกัน หรือการแลกเปลี่ยนความคิดโดยวิธีการต่างๆ ส่งผ่านสิ่งที่มองไม่เห็นแต่ผมจะขอเรียกรวมๆ ว่า ความรัก ทำให้เรานั้นได้รับหรือได้ให้การชื่นชมในความดี ปรารถนาดี ซึ่งกันและกัน การเริ่มต้นของ มิตรภาพนั้น ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปากพูด หากแต่เราสามารถรับรู้และสัมผัสได้ด้วยจิตใจ และหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น ณ ช่วงเวลาใดเงินทองหรือสิ่งของใด ๆ ย่อมไม่มีคุณค่าเกินไปกว่า มิตรภาพถ้าอ่านต่อไปแล้วใครคิดว่ามิตรภาพนั้นเกิดขึ้นที่ตรงไหนก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ

ผมเองก็เพิ่งจะเข้าใจชัดเจนมากขึ้น ก็เมื่อได้ร่วมจัดค่ายกิจกรรมเปิดปรับปรุง ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๒ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา ผมเองก็ไม่รู้ว่ามิตรภาพนั้นเริ่มต้นที่ตรงไหน และผมเองก็คิดว่าคงไม่มีใครเข้าใจได้ดีในจุดเริ่มต้น แต่ผมเข้าใจถึงคำว่ามิตรภาพได้ชัดเจนมากขึ้น ผมเองเป็นพี่คนโตของบ้านหัวรถไฟ ก็มีน้องๆที่ร่วมจัดและร่วมกิจกรรมรวมทั้งหมด ๒๕ ชีวิต ตั้งแต่เริ่มเตรียมค่าย จนกระทั่งสิ้นสุดค่าย เราเหยียบหญ้าในพื้นที่เป็นคนแรกพร้อมกันและออกไปจากพื้นที่เป็นคนสุดท้ายอย่างพร้อมกัน ผมเองเป็นคนชอบสิ่งใหม่เสมอ จึงชอบหากิจกรรมและวิชาการรูปแบบแปลกมาเล่น จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ได้มีพื้นที่ให้ระบายอารมณ์(ผมคิด) การเตรียมตัวของเรานั้น วุ่นวายพอสมควร ในช่วงก่อนลงมือสร้าง บ้านที่ดีต้องออกแบบโดยผู้มีประสบการณ์ แบบครั้งแรก เราก็แก้ไขด้วยกันเสมอ จนสุดท้ายก็ได้ช่างในแต่ละส่วน

น้องบิงโก ฝ่ายสถานที่ น้องโอ๊ป ฝ่ายพ่อครัว น้องเจนนี่ ฝ่ายกิจกรรม น้องฝน ฝ่ายการเงินและงบประมาณ น้องตั้ม น้องโดด ฝ่ายกิจกรรมในสวน และลูกทีมแต่ละหน่วย น้องดา น้องกิ๊ก น้องเก๊ะ น้องวิ น้องออม น้องซันเดย์ น้องโหว น้องซิ่ง น้องมินท์ น้องโซ่ น้องยีน น้องเมย์ ที่ร่วมมือร่วมแรงกัน ต้นรับน้องใหม่ในบ้านของหัวรถไฟ น้องกิฟท์ น้องอั้ม น้องอีฟ น้องยิ้ม น้องดาว น้องส้ม

วันแรกที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เราไปถึงยังที่หมายเพื่อเตรียมความพร้อมพื้นที่ก่อนเปิดกิจกรรมจริงในวันรุ่งขึ้น ที่จะต้อนรับน้องใหม่เข้าบ้านของเราบ้านของหัวรถไฟ การจัดสถานที่นั้นมีความยากลำบากพอสมควร รวมถึงการสร้างสรรค์สิ่งต่างไว้เพื่อกิจกรรมมีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า แต่เราทุกคนก็ไม่ยอมแพ้ เรายังให้การช่วยเหลือซึ่งกันและกันตลอดทั้งวัน จนกระทั่งแม้อาหารมื้อคำจะต้องทานภายใต้แสงเทียน ภายใต้ความมืดและเงียบงันของป่า แต่เราทุกคนก็นั่งล้อมวงกันทาง โดยคิดถึงแต่น้องที่จะมาร่วมกิจกรรมในวันรุ่งขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ กว่าไฟฟ้าจะมาให้เรามองเห็นหน้ากันและเริ่มประชุมสรุปเพื่อเตรียมความพร้อมก็ดึกดื่นพอสมควร แต่ทุกคนไม่มีใครเลยที่จะยอมให้ความเหนื่อยเข้ามาทำลาย สิ่งที่เรามุ่งมั่นกันมาเกือบ สองเดือนให้ต้องพลาดแม่แต่วินาทีเดียว ทุกคนเริ่มความเห็นและสรุปรับรู้ แก้ไขและเพิ่มเติมปัญหาในทุกฝ่ายด้วยกัน อย่างดี จนการประชุมเสร็จสิ้นเราก็ผ่อนคลายด้วยวิธีการต่างๆ แต่ไม่มีแอลกอฮกร์นะ

รุ่งเช้าของวันที่ ๒๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ เริ่มต้นด้วยการภาวนา ให้ฝนหยุดตก เพราะกิจกรรมในสวนนั้นเสียหายและไม่สามารถดำเนินกิจกรรมได้ แต่ก็ต้องแก้สีหน้ากันไปเพราะธรรมชาตินั้นไม่มีใครสามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถร่วมกันแก้ไขได้ หลังจากทานอาหารเช้า เราต่างก็แยกย้ายกันทำหน้าที่ จนกระทั่งน้องๆ มาถึงที่พักที่เราเตรียมไว้ ผมคงต้องเริ่มต้นจาก อะไรง่ายๆ ก่อน เพราะหลายคนไม่รู้จักกัน หลายคนยังไม่รู้ว่ามีคนคนนี้อยู่บนโลกร่วมกับเข้าด้วยซ้ำ เราคงต้องเริ่มจากการแนะนำตัวเองทุกคน และตามด้วยกฎเกณฑ์ในการอยู่ร่วมกัน และน้องๆก็ดำเนินกิจกรรมสันทนาการไปในช่วงแรก เป็นการผ่อนคลายที่ดีและเป็นการเปิดใจที่ดี ทำให้การเฝ้าดูสังคมเล็กของผมง่ายต่อการผูกความสัมพันธ์ เสร็จกิจกรรมฝนก็ยังคงไม่หยุดตก ทุกคนก็เฝ้าแต่ภาวนากันต่อไป พอถึงเวลาอาหารเที่ยงเราทุกคนก็ช่วยกันเตรียมเหมือนพี่น้องทั้งหมดนั้นรู้จักกันมานานแล้วโดยไม่รู้สึกถึงความห่างไกลของความสัมพันธ์แม่สักน้อย หลังจากรับปะทานอาหารเที่ยงเสร็จ ตามกำหนดการต้องเป็นกิจกรรมในสวน แต่ด้วยฟ้าฝนที่กระหน่ำซ้ำเติม ทำให้ต้องแก้ไขด้วยการนำกิจกรรมสัมมนาเชิงกลุ่มที่ผมคิดอุบายขึ้นมางัดใช้ เพื่อเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกคนได้รู้จักที่มาของกันให้มากขึ้น และรู้จักกันที่หลากหลายขึ้น เริ่มด้วยการนั่งสมาธิ โดยใช้บทเพลงอันมีเสียงประกอบจากธรรมชาติ ผ่อนคลาย เปิดใจในการรับสิ่งใหม่ๆ  และสัมมนากลุ่มย่อยในหัวข้อให้บอกเล่าประสบการณ์ที่เคยประสบปัญหาข้อกฎหมายและแนะนำตัวเอง ทำให้น้องในค่ายทุกคนรู้จักกันมากขึ้นและคิดร่วมกันมากขึ้นโดยไม่ทันรู้ตัว ตามด้วยดูสารคดีจากรายการ คนค้นฅน เรื่อง ส่วยจิง คนไทยใหญ่พลัดถิ่น ตามด้วยสัมภาสน้องมึดา อดีตเด็กที่เคยประสบปัญหาไร้สัญชาติ และภาพยนต์สั้นจากสภาพปัญหาและการเป็นอยู่ของชาวไทยใหญ่ที่ดอยไตยแลง เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกร่วมกันในการเข้าใจปัญหาและเห็นภาพจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และให้น้องๆ สะท้อนความคิดโดยการตอบคำถาม

จนกระทั้งเย็นของวัน เราทุกคนจึงถูกกำหนดให้แยกย้ายกันไปช่วยเหลืองานต่างที่วางไว้ ภาพที่เห็นคือการทำงานร่วมกันระหว่างพี่กับน้อง หมดจากงานของตนเองก็ไปช่วยเหลืองานของคนอื่น แต่ก็ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีคนที่เอารัดเอาเปรียบและเห็นแก่ตัว ซึ่งคนเหล่านั้นสังคมก็จะลงโทษเองโดยไม่ต้องใช้กฎหมาย แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อย หลังจากจากตั้งโต๊ะเสร็จก็รับปะทานอาหารร่วมกันอย่างอร่อย (ซึ่งก็ต้องขอขอบพระคุณคุณแม่ของน้องโอ๊ปที่ช่วยทำอาหารดีๆ ให้เราทุกคนทานกัน) หลังจากทานอาหารเสร็จ เราก็ให้พักผ่อนและบางคนก็ต้องทำงานต่อ คือทำความสะอาดอุปกรณ์ที่ใช้ไปในการทำอาหาร ระหว่างการพักผ่อนรอเวลา อาจารย์ดรั้มซึ่งเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาชมรมหัวรถไฟของเราก็เดินทางมาถึงพอดี แม้จะไม่ได้ร่วมรับปะทานอาหารร่วมกัน แต่ผมคิดว่ากำลังใจในการทำงานที่อาจารย์มาเยี่ยมเยียนนั้น ก็ทำให้กิจกรรมต่อไปดำเนินไปได้ด้วยความสุขมากขึ้น อาจารย์ได้ให้เกรียติโดยกล่าวทักทายและสร้างเสริมกำลังใจเราทุกคน และเริ่มต้นกิจกรรมกลางคืนที่น้องเจนนี่เตรียมมา ชิ้นกิจกรรมนี้คือหลักของค่ายเรา คือการเปิด ปรับ และปรุง

เปิด คือ เปิดใจรับซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจและรู้จักกันมากขึ้นและเมื่อรู้จักกันแล้วก็ต้อง

ปรับ คือ ปรับตัว ปรับใจ ปรับทัศนคติใหม่ เพื่อให้เกิดความสามัคคีภายในหมู่คณะ เมื่อปรับแล้วก็ต้อง

ปรุง คือ ปรุงความคิดเห็น ปรุงความแตกต่างให้เหมือนกัน เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จอันเป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน เพื่อให้เกิดความสมดุล และเท่าเทียมกัน

ก่อนเริ่มกิจกรรมนั้น ขออนุญาตอันเชิญพระดำริของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ หรือ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ พระบิดาแห่งกฎหมายไทยและพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช 

โดยเริ่มจากพระดำริของพระบิดาแห่งกฎหมายไทยที่พระองค์ทรงดำริไว้ว่า

เอ็งกินเหล้า เมายาไม่ว่าดอก                      แต่อย่าออกนอกทางไป ให้เสียผล
เอ็งอย่ากินสินบาทคาดสินบน                       เรามันชนชั้นปัญญาตุลาการ"

และพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงดำรัสว่า

การอำนวยความยุติธรรมอย่างเสมอหน้า ถือเป็นจุดประสงค์ใหญ่ของนิติศาสตร์หรือกฎหมาย กฎหมายทั้งหลายควรจะมีจุดประสงค์เช่นนี้เหมือนกัน การอำนวยความยุติธรรมนี้ก็เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนและประเทศชาตินั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้การบัญญัติกฎหมายต้องเป็นไปในแนวทางนี้ จุดประสงค์ใหญ่ของนิติศาสตร์นั้น ก็คือการอำนวยความยุติธรรมถูกต้องอย่างเสมอหน้าแก่ประชาชน ให้ทุกคนได้อยู่ร่วมกันโดยสงบสุขเสมอภาค และเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อจุดประสงค์นี้ จำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอันเป็นหลักใหญ่สองสถาน คือ ตัวบทกฎหมายที่ดีสถานหนึ่ง การปฏิบัติที่ดีอีกสถานหนึ่ง จึงจะสัมฤทธิผล ดังนั้นการบัญญัติกฎหมายควรจะต้องเป็นไปเพื่อความเป็นอยู่ดีของทวยชนโดยตรง และควรจะให้อำนวยความยุติธรรมถูกต้องแก่ทวยชนได้อย่างทั่วถึงแท้จริง

และสรุปกิจกรรมด้วยแนวคิดดีๆ ในฐานะที่เราเป็นนักศึกษานิติศาสตร์ ซึ่งในภายภาคหน้าไม่ว่าเราจะทำงานอะไรก็ตาม ให้จดจำไว้หน้าที่ของนักกฎหมาย คือการอำนวยความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม ให้เราเป็นนักกฎหมายที่มีใจเที่ยงตรง ซื่อสัตย์ สุจริต เห็นแก่ประโยชน์แก่ปวงประชา และประเทศชาติ เช่นนั้นจึงจะทำให้กฎหมายนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ อย่าใช้ช่องว่างของกฎหมายหาประโยชน์ใส่ตน เมื่อใดก็ตามที่บังเกิดความ อยุติธรรมขึ้นมาในสังคม ให้เราที่จะใช้ความรู้ที่มีเข้าช่วยบรรเทาความทุกข์ยากนั้น เพื่อให้บังเกิดความชอบธรรมแก่ทุกคนทุกฝ่าย อย่าปล่อยให้คนดีถูกย่ำยีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ สุดท้ายนี้ อย่าใช้วิชาความรู้แสวงหาประโยชน์ใส่ตน แต่ให้ใช้วิชาความรู้นั้นช่วยเหลือคนที่ด้อยโอกาส นั่นคือหน้าที่ของนักกฎหมายที่ดี 

และที่พี่ๆหลายคนประทับใจ ก็ตรงที่น้องๆ เข้ามาขอโทษที่เคยล่วงเกินและขอให้พี่ในค่ายให้อภัยและให้เป็นพี่ของตน หลายคนที่ผมสังเกตถึงกับหลั่งน้ำตา ซึมกันไปเลยทีเดียว เป็นภาพที่ประทับใจผมมาก สิ่งหนึ่งที่ผมคิดไว้เสมอ ถ้าผ่านกฎคณะมาแล้วจะรู้แต่ไม่เข้าใจ คือ มาก่อนเป็นพี่ มาหลังเป็นน้อง มาพร้อมเป็นเพื่อน มันลึกซึ่งมากครับคำนี้ ผมนึกเสียดายที่น้องๆเหล่านี้ไม่ได้ผ่านระบบ การรับน้องแบบที่ผมเคย ถ้อยคำที่กล่าวน้องๆจะเข้าใจได้มากกว่านี้ น้องก็คือน้องนะครับในสายตาของพี่ทุกคน พี่ทุกคนรักและช่วยดูแลในแต่ละด้านตามสภาพเสมอ พี่ๆทุกคนรักน้องเหมือนที่น้องๆรักพี่นะครับ ผมว่าเล่ามาถึงตรงนี้แล้วหลายคนอาจจะคิดได้ว่ามิตรภาพมันเริ่มต้นจากการได้เข้าร่วมกิจกรรมรับน้อง หรือจากการได้รู้จักกัน แต่ผมว่ามันยังขาดอีกหลายสิ่งที่จะมาประกอบกัน

ก่อนเสร็จกิจกรรม อาจารย์ดรั้มก็ได้ถือโอกาสในความที่เป็นรุ่นพี่คนหนึ่ง ของเรากล่าวทิ้งท้ายไว้ได้จับใจก่อนอาจารย์พี่ดรั้มจะเดินทางกลับ

ต่อด้วยกิจกรรม ร้องเพลงคาราโอเกะกัน แหมชื่อช่วงน่าสนใจนะครับ The สะตอแหล คิดว่าทุกคนจะไปนอน แต่ทุกคนให้เกรียติซึ่งกันและกัน อยู่ดูเพื่อพี่น้อง ในการร่ำร้องเพลงจนเสร็จทุกคน น้องๆ ทุกคนกล้าแสดงออก และร่วมกิจกรรมเป็นอย่างดี หลายคนยังเพลิดเพลินไม่ยอมนอนหลังจากเสร็จกิจกรรม ยังคงเมามันกับการร้องเพลงต่อไป และหลายคนก็ตั้งวงเมาท์กันอย่างสนุกสนานๆ แค่เวลาไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง คนที่ไม่รู้จักกัน นั่งเล่นกัน สนุกด้วยกัน ล้อมวงคุยกัน อย่างสนุกสนาน อาจเพราะพื้นที่จำกัด อาจเพราะกิจกรรมที่สร้าง อาจเพราะงานที่ได้รับมอบ อาจเพราะเราทุกคนเปิดใจ อาจเพราะเราทุกคนปรับตัว อาจเพราะเราทุกคนปรุงความคิดใหม่ ไม่ว่าด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม เราก็มาใกล้ที่หมายของค่ายของค่ายแล้วครับ

ก่อนนอนในค่ำคืนด้วยความเหนื่อยล้านั้น สิ่งสุดท้ายที่ผมคิดไว้คือ มิตรภาพเริ่มต้นที่ตรงไหน แล้วก็หลับไป

รุ่งเช้าของวันที่ ๒๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ผมโดนปลุกโดยวิธีการ BODY SLAM จากน้องฝนและน้องมินท์ แหม ยังฝันดีอยู่เลย(พูดในใจ) แต่ก็ต้องลุกขึ้นมา เพราะว่าน้องฝนตื่นขึ้นมาในที่นอนพร้อมกับคำถามจากน้องที่เพิ่งตื่นจากที่นอนภายใต้ผ้าห่มของตนเองว่า พี่ค่ะวันนี้จะมีกิจกรรมในสวนหรือไม่ ด้วยความอยากของน้องที่เมื่อวันวานฝนตกเลยสร้างกิจกรรมไม่ได้ ผมเลยรีบตื่นขึ้นมาจัดสร้าง โดยให้เจ้าของหน้าที่น้องตั้มและน้องบิงโก สำรวจความเสียหายของฐานกิจกรรม อาหารเช้าของเราเริ่มสายไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่มื้อเช้าได้น้องเจนนี่ช่วยปิ้งขนมปังให้ทานรองท้อง หลังจากทุกคนทานอาหารเสร็จ และเวลานั้นหน่วยหน้ากิจกรรมในสวน ก็เดินทางลงไปเก็บแก้ กิจกรรมที่เสียหายจากฝน ผมเลยถือโอกาสสัมมนากลุ่มย่อย ในหัวข้อ อะไรคือจุดเปลี่ยนในชีวิตคุณ เป็นการเปิดอดีตของตนเองต่อผู้ร่วมสัมมนา ทำให้เห็นตัวตนของกันและกันมากขึ้น น้องๆหลายคนอาจไม่ทันสังเกต ว่าเราได้รู้จักวิธีคิดแบบคร่าวๆ ร่วมกันไปแล้ว

กว่าจะเสร็จก็เลยไปเที่ยงกว่า ก็รับปะทานอาหารร่วมกัน แล้วออกเดินกิจกรรมในสวนกัน สนุกสนานกันไป น้องตั้มและน้องบิงโก สร้างกิจกรรมได้ดีมากเกินที่ผมคาดไว้ครับ ของชมจากใจจริง หลังจากนั้น เราก็กลับมาสรุปกิจกรรมร่วมกัน พร้อมทั้งนั่งร้องเพลงชมรม และบูมคณะเรา(ผมรู้สึกว่ามีพลังมากจากบูมครั้งนี้ อาจเพราะเราถึงแล้งจริงๆ) ก่อนน้องกลับได้ชักภาพร่มกัน ณ สันเขื่อน สวยงามมาก อบอุ่นมาก ส่งน้องๆ เสร็จพี่ๆ ก็ช่วยกันเก็บทุกอย่างกลับเข้าที่เดิม เพื่อส่งคืนบ้านพักคืนเจ้าของ หลังจากเก็บบ้านเสร็จเรายังนั่งสะท้อน ทุกอย่างด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ร่วมกัน จนลืมความเหน็ดเหนื่อยทิ้งไปเสียทีเดียว เขียนมาถึงตอนนี้แล้วผมเองก็คงไม่สามารถเล่ารายละเอียดเป็นวินาที่ได้ เพราะว่าทุกเรื่องราวสามวันสองคืนที่เกิดขึ้นมันมากมายหลากหลายความประทับใจมากครับ  มันคงเหลือไว้ได้แค่เพียงความทรงจำและเรื่อเล่าขวัญซึ่งกันและกัน ระหว่างพี่กับน้อง

ท้ายนี้ผมจึงขอหยิบยกเอาคำกล่าวของอาริสโตเติล ผู้ซึ่งเป็นนักปราชญ์คนหนึ่งของโลกได้กล่าวถึงเรื่องมิตรภาพ( Friendship )” ไว้ในหนังสือจริยะศาสตร์ชื่อ Nicomachean Ethic มีเนื้อความว่า มิตรภาพคือคุณธรรมหรือภาวะคุณธรรมที่สำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์นับตั้งแต่วัยเด็กจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่มิตรภาพเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตมนุษย์มีความสุข เรียนรู้ข้อผิดพลาด ฟันฝ่าอุปสรรคได้อย่างไม่โดดเดี่ยว รวมทั้งชื่นชมยินดีเมื่อมีความสำเร็จในชีวิต ดังนั้นมนุษย์จึงไม่อาจอยู่โดดเดี่ยวปราศจากการมีเพื่อนได้สำหรับอาริสโตเติลแล้วความหมายของ มิตรภาพที่มีนั้นมีความลึกซึ้งมากกว่าความรู้สึกที่ว่าชอบพอหรือถูกใจกัน แต่มิตรภาพนั้นจะเกิดขึ้นแท้จริง และจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการเห็นคุณค่าซึ่งกันและกัน ชื่นชมในความดีซึ่งกันและกัน ยอมรับและเข้าใจในความเป็นตัวตนของกันและกัน โดยไม่ได้หวังประโยชน์ใดๆ จากกันเป็นเป้าหมาย ถ้ามิตรภาพที่มีนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของผลประโยชน์ ย่อมไม่ใช่มิตรภาพที่แท้จริง เป็นเพียงมิตรภาพที่ฉาบฉวยและเปราะบาง แต่มิตรภาพที่แท้จริงนอกจากจะมีพื้นฐานอยู่บนความชื่นชมความดีซึ่งกันและกันแล้ว ด้วยเหตุนี้ผู้ที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันและกันได้จึงเป็นคนดีและเป็นผู้มีคุณธรรม ดังนั้นการมีเพื่อน พี่ น้อง ที่ดีจึงเปรียบเสมือนได้พรอันประเสริฐ

ความสำคัญของมิตรภาพไม่เพียงแต่จะทำให้ชีวิตมีความสุขในระดับบุคคลเท่านั้น แต่มิตรภาพสามรถเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เกิดความสงบสุขในสังคมได้อีกทาง กล่าวคือสามารถช่วยทำให้เกิดความเที่ยงธรรมและมีเกียรติได้ ทั้งนี้เพราะมิตรภาพทำให้เกิดการเชื่อถือและไว้วางใจซึ่งกันและกัน อันเป็นการแสดงออกถึงสภาวะทางศีลธรรมที่บุคคลมีต่อกัน คือ ความรัก ความชื่นชมในความดี และความปรารถนาดีที่ต่างฝ่ายต่างมีให้กัน  ซึ่งเป็นมิตรภาพที่อยู่บนความเสมอภาค ดังคำพังเพยของสังคมกรีก ที่ได้กล่าวไว้ว่ามิตรภาพคือความเสมอภาค” (Friendshipis equality)

 

 

หมายเลขบันทึก: 290760เขียนเมื่อ 25 สิงหาคม 2009 02:44 น. ()แก้ไขเมื่อ 16 เมษายน 2012 21:48 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท