๒๐ สิงหา ตรงกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนเก้าของชาวลาว วันนี้เป็นวันพระใหญ่เป็นประเพณีบุญข้าวประดับดิน ฮีตหนึ่งใน๑๒ฮีตของพี่น้องสองฝั่งโขง วันนี้ผมมีเรื่องราวที่ผ่านพบมากมายหลายอย่าง ลองมาติดตามดูครับ
ที่หงสา สปป.ลาว
๖ โมงเช้า แต่งตัวใส่เสื้อขาว พาดผ้าเบี่ยงเรียบร้อย ไปแวะรับอาหารตักบาตรจากร้านเจ้าประจำ เจ้าของร้านให้ยืมขันเงินใบงามมาพร้อม
๖ โมงซาว มาถึงหน้าวัด ผู้คนมากหน้ามากันเต็มลานวัดกันแล้ว ที่เมืองหงสานี่คนจะมาวัดกันทั้งครอบครัว พ่อแม่ตายายลูกหลานมากันทั้งบ้าน
ลานวัดวันนี้จึงมีผู้คนทุกเพศทุกวัย บรรดาแม่ยิงต่างแต่งกายสวยงาม ผู้เฒ่าก็ใส่สีขาวสะอาดตา ที่ขาดไม่ได้คือทุกคนต้องพาดผ้าเบี่ยง ไม่เว้นแม้แต่ลูกเล็กเด็กแดง รูปบนขวากลุ่มวัยรุ่นชายนั่งรอตักบาตร โปรดสังเกตรูปล่างซ้ายมีวัยรุ่นอีกกลุ่มยืนข้างหลังคุณยาย รูปล่างซ้ายคุณนายรองเจ้าเมืองแต่งชุดลาวสวยงามสมวัย
เมื่อมาถึงลานวัดพี่น้องพากันปูเสื่อนั่งรอ รูปบนขวาคุณแม่ยังสาวมากับลูกชาย รูปล่างซ้ายคุณแม่มากับลูกสาวตัวน้อย และลูกชายวัยรุ่น ส่วนรูปบนซ้ายกับรูปล่างขวาหากมองดูชัดๆท่านจะเห็นคนหลายวัยในรูปเดียวกัน นั่นทำให้เชื่อได้ว่าบุญข้าวประดับดินจะมีการสืบทอดอย่างแน่นอน
ระหว่างนั่งรอ ผู้คนก็ทยอยกันไปทำบุญที่ “หอตักบาตรสวรรค์” เอาเงินไปทำบุญรายละสองพันถึงยี่สิบพันกีบ แล้วมัคทายกก็ประกาศออกลำโพงว่า ครอบครัวท้าวนั้นนางนี้ทำบุญเท่านี้ ขอให้ได้ขึ้นสวรรค์เทอญ จนกระทั่งถึงเวลาเจ็ดโมงเศษๆ พระท่านลงมาที่กลางลาน เริ่มไหว้พระรับศีล กล่าวถวายภัตราหาร แล้วพระท่านก็เดินบิณฑบาตรไปตามแถวที่ญาติโยมนั่งรอ เสร็จจากรับบิณฑบาตรพระท่านกลับมาให้พร เป็นเสร็จพิธี
ผมมีกิจธุระที่เวียงจันทน์ในวันถัดไป จึงต้องออกเดินทางจากหงสาหลังมื้อเช้า เวลา ๙ โมงตรงได้เวลาล้อหมุน เส้นทางหงสา แขวงไชยบุรี ข้ามแพที่ท่าเดื่อ ผ่านเชียงเงิน เข้าสู่หลวงพระบางเวลาเกือบบ่ายสองโมง ระยะทางประมาณ ๒๕๐ กม.
เมืองหลวงพระบางวันบุญข้าวประดับดิน ๑๕ ค่ำเดือน๙ มีประเพณีแข่งเรือ ที่นี่แปลกที่จัดในวันนี้แทนที่จะจัดงานซ่วงเฮือในวันออกพรรษาเหมือนที่อื่นๆ และก็แปลกที่เขาจัดแข่งกันที่ในลำน้ำคานไม่จัดในแม่น้ำโขง ผู้คนในเมืองหลวงพระบางวันนี้จึงล้นหลาม ทั้งชาวถิ่น และชาวเทศ ถนนปิดหลายแห่ง ผมต้องจอดรถไว้แถวหน้าร้านกาแฟโจมา แล้วเดินฝ่าแดดฝ่าฝูงคนเข้าไปทางวังเก่าเกือบสองกม.ตั้งใจจะไปกินอาหารเจที่ร้านอินเดียเจ้าอร่อย ปรากฏว่าร้านปิด เลยตัดสินใจชวนคนขับรถข้ามถนนไปแย่งฝรั่งกินที่ร้าน พิซซ่าหลวงพระบาง สั่งสปาเก็ตตี้แฮมให้โซเฟอร์ ส่วนของผมเป็นแกงเขียวหวานเจกับเส้นสปาเก็ตตี้ มื้อนี้หมดไปแสนสิบพันกีบ
อิ่มแล้วพากันขับรถเลาะชายน้ำโขง แวะกินกาแฟเย็นที่เพิงกาแฟ “ประชานิยม” เป็นร้านกาแฟดังที่คนไทยมักแวะเวียนมาชิมกัน ที่ร้านนี้มีสมุดให้เขียนคำทักทายไว้ด้วย เห็นเขาเล่าว่าเคยมานั่งเปิดดู พบบทกวีของ กวีศรีรัตนโกสินทร์เขียนไว้ด้วย ตอนนี้เจ้าของร้านตัดออกไปเคลือบพลาสติคเก็บไว้อย่างดีแล้ว
รถเยอะ คนเยอะ ไปไหนไม่สะดวกเลยตัดสินใจไปนั่งทำงานที่สนามบินดีกว่า พอดีเจอท่านผู้นำท่านหนึ่ง เลยได้เข้าไปนั่งในห้อง “เกรียติยศ” หรือห้องวีไอพี ที่สนามบิน เครื่องบินของสายการบินลาวเที่ยวนี้เป็นรุ่น เอทีอาร์ ๗๒ สภาพตัวเครื่องสั่นเอาการอยู่โดยเฉพาะเวลาวิ่งแท็กซี่ขึ้นบิน บนเครื่องเที่ยวนี้มีพนักงานต้อนรับชาย๒คนไม่มี “นางฟ้ากำปั่นเหาะ” (เลยไม่รู้ว่างามสู้แอร์ไทยได้รึเปล่า) ก่อนเครื่องขึ้นได้รับแจกผ้าเย็นหนึ่งซอง พอเครื่องตั้งลำได้สัญญานรัด “สายฮัดแอว”ปิดลงได้รับแจกน้ำดื่มหนึ่งแก้ว ใช้เวลา ๔๐ นาทีมาถึงสนามบินวัตไต เวียงจันทน์
ที่สนามบินมีบริการแท็กซี่เข้าตัวเมือง บอกเขาว่าไปโรงแรมอนุ เขาคิดราคา ๕๔๐๐๐ กีบ (สองร้อยกว่าบาท) อ้ายโชเฟอร์ชวนให้แวะดูห้องพักที่ “เฮือนพักทวี”ใกล้ๆโรงแรมอนุ ห้องหับสะอาดดี มีสัญญาน อินเตอร์เน็ตฟรีพร้อม ราคาห้องคืนละ ไม่ถึงหกร้อยบาท ตกลงใจเปลี่ยนมาพกที่นี่แทน
๓ ทุ่มครึ่งเดินออกมาเติมท้องด้วยผัดไทแบบเจเขี่ย ตามด้วยโรตีกล้วยหอม ที่ข้างร้านชายสี่หมี่เกี๊ยว
จบบันทึกประจำวัน
เวียงจันทน์
๒๐ สิงหา
ตามมาร่วมงานบุญค่ะ เป็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ร้อนรนเหมือนในกรุงเทพนะคะ