ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระบรมศาสดาทรงประทับอยู่ ณ พระเชตวัน เมืองสาวัตถี แคว้นกาสี นั้น พระโปฐิละเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎกอยู่ในศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึง 7 พระองค์ และเป็นผู้บอกธรรมแก่ภิกษุถึง 500 รูป
พระบรมศาสดาทรงทราบความเป็นมาแต่หนหลังแห่งพระโปฐิละนั้นแล้ว มีพระดำริว่า "ภิกษุนี้ ไม่มีความคิดว่า 'เราจักทำตนให้สลัดพ้นออกจากทุกข์ เราจะทำให้เธอเกิดความสังเวช”
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระบรมศาสดาจึงมักตรัสกับพระโปฐิละ ในเวลาที่ท่านมาสู่สำนักของพระองค์ว่า "มาเถิด คุณใบลานเปล่า, นั่งเถิด คุณใบลานเปล่า, ไปเถิด คุณใบลานเปล่า,
ครั้นในเวลาที่พระโปฐิละจะลุกไปจากสำนักของพระบรมศาสดา พระองค์ก็ตรัสว่า "คุณใบลานเปล่า ไปแล้ว"
พระโปฐิละนั้น ครุ่นคิดว่า "เราย่อมทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกพร้อมทั้งอรรถกถา, บอกธรรมแก่ภิกษุ 500 รูป ถึง 18 คณะใหญ่, การที่พระบรมศาสดายังตรัสเรียกเราเนืองๆ ว่า 'คุณใบลานเปล่า' พระศาสดาตรัสเรียกเราอย่างนี้ เพราะความไม่มีคุณวิเศษ มีฌานเป็นต้นแน่แท้"
ท่านจึงมีความสังเวชเกิดขึ้นแล้ว และคิดว่า" บัดนี้ เราจักเข้าไปสู่ป่าแล้วบำเพ็ญสมณธรรม" จึงจัดแจงบาตรและจีวรด้วยตนเอง แล้วออกจากสำนักไปในเวลาใกล้รุ่ง เหล่าภิกษุผู้เรียนธรรมก็พากันสาธยายธรรมอยู่ในสำนักนั้น โดยไม่มีใครรู้ว่าบัดนี้อาจารย์ออกจากสำนักไปไกลถึงสองพันโยชน์แล้ว
" พระโปฐิละ เข้าไปหาภิกษุ 30 รูป ผู้อยู่ในอาวาสราวป่าแห่งหนึ่ง ไหว้พระสังฆเถระแล้ว กล่าววิงวอนว่า "ท่านผู้เจริญ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผมด้วยเถิด"
พระสังฆเถระ กล่าวว่า
ผู้มีอายุ ท่านเป็นพระธรรมกถึก, สิ่งใดที่พวกเราพึงทราบได้ ก็เพราะอาศัยท่าน, เหตุไฉนท่านจึงพูดอย่างนี้ ?
พระโปฐิละ ได้ยินคำตอบเช่นนั้นก็กล่าววิงวอนว่า
“ท่านผู้เจริญ ขอท่านอย่ากล่าวเช่นนี้, ขอท่านจงเป็นที่พึ่งแก่กระผมด้วยเถิด"
พระเถระเหล่านั้นทั้งหมด ล้วนเป็นพระอรหันต์ขีณาสพทั้งสิ้น ต้องการจะขจัดทิฏฐิมานะของพระโปฐิละ จึงส่งท่านให้ไปยังสำนักของพระอนุเถระ แม้พระอนุเถระก็กล่าวเช่นนั้นเหมือนกัน และก็ส่งไปยังสำนักของพระเถระที่มีพรรษากาลรองๆ ลงไป จนกระทั้งมาถึงสำนักของสามเณรอรหันต์ ผู้มีอายุ 7 ขวบและเป็นผู้ใหม่กว่าสามเณรทั้งหมด ซึ่งกำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ในที่พัก ตอนกลางวันนั้น
พระโปฐิละพนมมือเข้าไปหาสามเณรแล้วกล่าวว่า
"ท่านสัตบุรุษ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของกระผมเถิด”
สามเณรอรหันต์อายุ 7 ขวบ จึงตอบว่า
ตายจริง ท่านอาจารย์ ท่านพูดอะไรนั่น ท่านเป็นผู้สูงวัย เป็นพหูสูต, เรื่องอะไรๆ พึงเป็นกิจอันผมควรรู้ ผมก็เรียนมาจากสำนักของท่าน”
พระโปฐิละ จึงกล่าววิงวอนว่า
“ท่านสัตบุรุษ ท่านอย่าทำอย่างนี้ ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของผมให้ได้”
สามเณรอรหันต์อายุ 7 ขวบ จึงกล่าวว่า
ท่านขอรับ หากท่านจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทคำสั่งสอนได้ กระผมจักเป็นที่พึ่งให้แก่ท่าน
พระโปฐิละ กล่าวด้วยความดีใจว่า
ผมทำได้ ท่านสัตบุรุษ หากท่านกล่าวว่าให้ผมเข้ากองไฟ ผมก็จักเข้ากองไฟทันที
ต่อจากนั้น สามเณรจึงออกคำสั่งให้ท่านไปยังสระน้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล กล่าวว่า
"ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ แล้วจงลงไปสู่สระนี้"
สามเณรทราบดีว่า จีวรสองชั้นที่พระโปฐิละนุ่งห่มนั้นมีราคามาก แต่เพราะจะทดลองว่า " พระโปฐิละจะเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้หรือไม่" จึงกล่าวเช่นนั้น
พระโปฐิละได้ยินคำสั่งของสามเณรเช่นนั้น ก็เดินลงไปตามโอวาทของสามเณรแต่โดยดี
ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรของพระโปฐิละเปียก สามเณรจึงกล่าวให้หยุดยืนอยู่ในน้ำว่า "มาเถิดท่านขอรับ" จากนั้นกล่าวสอนพระโปฐิละด้วยถ้อยคำเพียงครั้งเดียวเท่านั้นว่า
"ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ 6 ช่อง ในช่องเหล่านั้นมีเหี้ยคลานเข้าไปภายในโดยช่องๆ หนึ่ง หากบุคคลประสงค์จะจับเหี้ยตัวนั้น ก็ต้องอุดช่องทั้ง 5 แล้วทลายช่องที่ 6 เพื่อจับเอาเหี้ยตรงช่องที่ 6 ที่มันเข้าไปนี้เอง
ในบรรดาทวารทั้งหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ท่านจงปิดทวารทั้ง 5 แล้ว จึงตั้งกรรมฐานไว้ในทวารที่ 6 คือ ใจ"
คำสอนนี้ของสามเณรอรหันต์ 7 ขวบ ได้ทำให้พระโปฐิละผู้เป็นพหูสูต เกิดความแจ่มแจ้งขึ้นมาทันที ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีป ฉะนั้น
พระโปฐิละนั้นกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ คำสอนของท่านมีประมาณเท่านี้พอสำหรับกระผมแล้ว" จากนั้นก็ลงมือบำเพ็ญภาวนาปรารภสมณะธรรม ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งปัญญา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ไกลจากที่นั้นถึง 120 โยชน์ ทอดพระเนตรดูพระโปฐิละแล้วดำริว่า
"ภิกษุนั้นเป็นผู้มีปัญญา (กว้างขวาง) ดุจแผ่นดิน ด้วยประการใด การที่เธอตั้งตนไว้ด้วยประการนั้นจึงสมควร"
จากนั้นพระพุทธองค์ทรงเปล่งพระรัศมีไป ประหนึ่งตรัสอยู่กับภิกษุนั้นต่อหน้าพระพักตร์ด้วยพระคาถานี้ว่า :-
โยคา เว ชายตี ภูริ อโยคา ภูริสงฺขโย
เอตํ เทฺวธา ปถํ ญตฺวา ภวาย วิภวาย จ
ตถตฺตานํ นิเวเสยฺย ยถา ภูริ ปวฑฺฒติ.
" ปัญญาย่อมเกิด เพราะการประกอบแล
ความสิ้นไปแห่งปัญญา เพราะการไม่ประกอบ
บัณฑิตรู้ทาง 2 แพร่ง แห่งความเจริญ และความเสื่อมนั้นแล้ว
พึงตั้งตนไว้โดยประการที่ปัญญาจะเจริญขึ้นได้."
ในกาลจบพระธรรมเทศนา พระโปฐิละเถระตั้งอยู่ในพระอรหัตตผล..ฯ
พระโปฐิละเถระ. พระสุตตันตปิฎก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 4, พระไตรปิฎกเล่มที่ 43 ข้อที่ 208 หน้าที่ 118 -122 (มมก.)
ขอคิด
1. การเล่าเรียนศึกษามามาก ก็ยังไม่ทำให้สามารถขจัดอาสวกิเลสให้หมดสิ้นไปได้ ต่อเมื่อใด เมื่อลงมือบำเพ็ญภาวนาอย่างอุทิศชีวิตเป็นเดิมพันเท่านั้น จึงจะได้โอกาสแห่ง การบรรลุธรรม
2. ผู้ที่จะเจริญก้าวหน้าในพระพุทธศาสนาได้ ต้องเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่โอ้อวด ไม่มีมารยา ประพฤติตนให้เป็นคนที่ถูกตักเตือนได้ จึงจะมีโอกาสได้รับคำแนะนำ สั่งสอนจากผู้ที่มีคุณธรรมสูงกว่า และนั่นย่อมเป็นการประหยัดเวลาในการบรรลุธรรม
3. การฝึกอบรมตนเองเพื่อเป็นอาจารย์สอนผู้อื่น เตือนสติผู้อื่น ต้องใช้เวลามาก และการเตรียมการมาก แต่สิ่งที่ยากที่สุดกลับไม่ใช่การสอนคนอื่น แต่คือ การสอนตัวเอง เพราะบุคคลที่ดื้อด้านต่อการอบรมสั่งสอนมากที่สุดก็คือ ตัวเอง หากไม่ได้กัลยาณมิตรมาคอยแนะนำสั่งสอน ย่อมยากจะมีกำลังใจสู้กับกิเลส
ในบรรดาทวารทั้งหก ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ท่านจงปิดทวารทั้ง 5 แล้ว จึงตั้งกรรมฐานไว้ในทวารที่ 6 คือ ใจ
ดวงตาเห็นธรรม