เด็กวัฒฯ
สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดกำแพงเพชร คนวัฒนธรรม

เค้าบอกว่าตอนกลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าร้องทัก เพราะ....


                 เวลากลางคืนได้ยินเสียงอะไรอย่าทัก หรือขานรับ ของ จะเข้าตัว   คนในสมัยก่อนมีความเชื่อในเรื่องการศึกษาเล่าเรียนวิชา ไสยศาสตร์ คาถาอาคม โดยเมื่อถึงวันสำคัญตามความเชื่อของผู้ที่เรียน ก็จะมีการปล่อย ของซึ่งในที่นี้หมายถึง คาถาอาคม ผี หรือเวทมนตร์ต่าง ๆ ออกไปเพื่อทดลองวิชา และเมื่อของ ผี หรือเวทมนตร์ดังกล่าวไปถูกหรือกระทบกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเกิดเสียงดังเปรี้ยงปร้าง หากใครทัก ของนั้นจะเข้าตัวคนที่ร้องทัก ซงอาจเป็นตะปู หรือ หนังควายเข้าท้อง ทำให้เจ็บป่วยหรือตายได้ ฟังแล้วน่ากลัวมาก ดังนั้นในตอนกลางคืน หากมีใครมาเรียกหรือมีเสียงอะไรที่แปลกๆคนสมัยก่อนจะเงียบไม่ขานรับนอกจากจะแน่ใจว่าเป็นเสียงคนที่คุ้นเคยจึงจะขานรับ คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัดระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคนมาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว ดังเรื่องที่กล่าวต่อไปนี้ที่เล่ากันต่อมาว่า เวลาที่จะสร้างเมือง จะต้องมีเสาหลักเมืองอยู่สี่มุมเมือง ขุดหลุมขนาดคนลงไปได้ และมีไม้ซุงขนาดใหญ่ที่ใช้ทำเสาหลักเมือง วางอยู่ปากหลุม ทางราชการจะให้ทหารออกไปตามหมู่บ้านในคืนเดือนมืด แล้วตะโกนดังๆเป็นระยะๆว่า อิน.. จัน.. มั่น.. คง.. ถ้าบังเอิญไปตรงกับชื่อใครและไม่ทันฟังให้ถนัดขานรับออกไป ทหารหลวงก็จะจับตัวผู้ นั้นไป เมื่อครบทั้ง ๔ คนแล้วก็จะพาไปประจำหลุมทั้งสี่มุมเมืองและทำพิธีโดยปิดตาทั้งสองข้างบวงสรวง ตามพิธีกรรม จากนั้นก็จะผลักคนโชคร้ายทั้ง ๔ ลงไปในหลุม ใช้ไม้ซุงกระแทกลงไปให้คนทั้ง๔ คนนั้นตาย แล้วก็เอาดินกลบ จากนั้นทำพิธีบวงสรวงปลูกศาลคร่อมเสาหลักเมืองไว้ กลายเป็นผีเฝ้ามุมเมือง ฟังแล้วน่า กลัวมาก ดังนั้นในตอนกลางคืน หากมีใครมาเรียกหรือมีเสียงอะไรที่แปลกๆคนสมัยก่อนจะเงียบไม่ขานรับ นอกจากจะแน่ใจว่าเป็นเสียงคนที่คุ้นเคยจึงจะขานรับ คนโบราณได้วางอุบายเล่าเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไว้ให้ กลัวเกรงเพื่อสั่งสอนหรือเตือนบุตรหลานของตนให้รู้จักระมัดระวังภัยอันตรายในยามค่ำคืนเพราะอาจมีคน มาลอบทำร้าย และขานเรียกเพื่อให้ถูกตัว นั่นเอง 
                  
อย่าด่า อย่าตีพ่อตีแม่ ปากจะเท่ารูเข็ม มือจะโตเท่าใบลาน คนไทยในสมัยก่อนส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม โดยจะมีพ่อซึ่งเป็นผู้นำของครอบครัว จะต้องตื่นแต่เช้ามืด จูงควายไปทุ่ง เพื่อทำไร่ไถนา หาผัก จับปลามาเป็นอาหาร ถ้าลูกยังเล็กแม่ก็จะอยู่บ้านเลี้ยงลูกไปก่อน แต่ถ้าลูกอายุได้สักขวบสองขวบแล้ว ก็จะปล่อยให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย แม่ก็จะหาบกระบุง ตะกร้า ปิ่นโต ตามไปช่วยพ่อทำงานด้วย และจะกลับบ้านใกล้ย่ำค่ำ เมื่อกลับถึงบ้านแม่ก็จะเข้าครัวทำกับข้าว หากมีลูกโตพอจะช่วยงานได้แล้วก็จะหุงข้าวไว้รอแม่หลังจากกลับมาจากโรงเรียน ส่วนพ่อก็จะดูแลจัดการควายให้เรียบร้อยด้วยการพาไปอาบน้ำ เอาเข้าคอก สุมไฟไล่ยุง เหลือบ ริ้น ไร หลังจากเสร็จภารกิจแล้วจึงจะไปอาบน้ำ พอดีกับแม่จัดสำรับอาหารเสร็จ ทุกคนก็จะมารับประทานอาหารร่วมกัน ชีวิตประจำวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย ลูกหลานในสมัยก่อนจึงมักได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิดจาก พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คำสั่งสอนหนึ่งที่ได้ยินอยู่เสมอจนปัจจุบันก็คือ อย่าด่า อย่าทุบตีพ่อแม่ จะบาปกรรมและเมื่อตายไปจะกลายเป็นเปรต ตัวสูงเท่าต้นตาล ปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน... เปรต กล่าวกันว่าเป็นผีจำพวกหนึ่ง มีรูปร่างสูงโย่งเท่าต้นตาล ผมยาวหยิกหยอย คอยาว ผอมโซ กล่าวกันว่าคนที่ชอบด่าพ่อแม่จะเป็นเปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม กินอะไรไม่ได้ ใช้แต่ปากดูดน้ำๆ จึงไม่อิ่มและร้องหิวโหยดังวี้ดๆ ตลอดเวลาในตอนกลางคืน ส่วนพวกที่ชอบทุบตีพ่อแม่ ก็จะเป็นเปรตที่มีมือใหญ่โตเท่าใบลาน ยกมือไม่คอยขึ้นเพราะหนักมาก ต้นลานเป็นไม้ยืนต้น ตระกูลเดียวกับปาล์ม ใบจะเป็นครีบขนาดใหญ่กว้างราว 1.20 เมตร นำมาใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องจักสาน เช่น งอบ ปลาตะเพียน พัด เป็นต้น การนำเรื่องปากเท่ารูเข็ม และ มือโตเท่าใบลาน มาเป็นอุบายในการสั่งสอนให้เคารพและกตัญญูต่อผู้มีพระคุณโดยเฉพาะพ่อแม่ เนื่องจากพ่อแม่เป็นผู้ที่มีบุญคุณใหญ่หลวง ลูกหลานจึงควรมีความเคารพกตัญญู และไม่ทำร้ายพ่อแม่ คนโบราณจึงออกอุบายว่า ถ้าตีพ่อแม่มือจะโตเท่าใบลาน เพื่อให้คนในสังคมยุคนั้นเกิด ความกลัว ตระหนักและละเว้นไม่ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่เหมาะสม

                       ตัดตะไคร้ให้ตัดใบทิ้งไว้ในสวน ไม่เช่นนั้นลูกเกิดมาขาจะลีบ ในสมัยก่อน ปู่ ย่า ตา ยาย ได้พยายามนำโบราณอุบายจากภูมิปัญญาชาวบ้านมาใช้ในการห้ามหรือสอนลูกหลานเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่เหมาะสมและถูกต้อง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย ดังเช่นโบราณอุบายที่ได้สอนไว้ว่า ถ้าตัดต้นตะไคร้แล้วให้ตัดใบทิ้งไว้ในสวน เอามาแต่เฉพาะต้น แต่หากใครตัดต้นตะไคร้มาแล้วตัดใบทิ้งไว้แถวบริเวณทางเดิน หรือทิ้งไว้บนบ้าน หรือในครัว ถ้าผู้หญิงในบ้านเดินข้ามใบตะไคร้ พอมีท้องลูกเกิดมาขาจะลีบ
                    ตะไคร้ เป็นพืชสวนครัวที่มีลักษณะเป็นกอ ใบยาวเรียว มีความคม และระคายผิว นิยมปลูกกันมาก สำหรับใช้เป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารหลายชนิด เช่น ยำ พล่า ต้มยำ เป็นต้น โดยใช้เฉพาะส่วนลำต้น ของตะไคร้เท่านั้น ส่วนใบจำนวนมากไม่ได้ใช้ต้องตัดทิ้งไป นอกจากนี้ ตะไคร้ยังเป็นสมุนไพรของไทยชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาสกัดเป็นยากันยุงได้อีกด้วย
                       จากข้อห้ามดังกล่าวเมื่อนำมาวิเคราะห์หาเหตุผลดูแล้วก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องการสร้างให้คน รักษาความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อย รู้จักทิ้งสิ่งที่ไม่ต้องการใช้ในที่เหมาะสม หรือเก็บทิ้งให้เรียบร้อยไม่ กระจัดกระจายเกลื่อนพื้นบ้านมากกว่าจะเกิดผลจริงตามข้อห้าม อย่างไรก็ดีตามที่ลองสอบถามดูว่ามีใครทำ และลูกออกมาขาลีบหรือไม่ ก็ปรากฏว่าไม่มีใครอยากเสี่ยงทำ จึงไม่มีข้อยืนยัน ดังนั้น การห้ามเช่นนี้จึงเป็นการ รักษาสุขอนามัยและไม่ให้ทิ้งขยะเกลื่อนพื้นเพราะมองดูไม่งามตา และอาจมีคนเหยียบสะดุดอาจทำให้หกล้มได้ นอกจากนี้ใบตะไคร้นั้นมีความคมและระคาย หากเด็กนำไปเล่นอาจระคายเคืองผิว และเกิดอาการคันได้ จึง ออกอุบายให้น่ากลัวไว้ว่า ถ้าใครเอาใบตะไคร้มาตัดทิ้งไว้ตราทางเดิน หรือบนบ้าน ถ้าผู้หญิงข้ามเวลามีลูกเกิด มาขาจะลีบ เพราะทุกคนก็อยากให้ลูกหลานเกิดมามีร่างกายสมบูรณ์ด้วยกันทั้งนั้น 
                            ห้ามหญิงท้องไปดูเขาออกลูก จะออกลูกยาก การคลอดลูกในสมัยโบราณกับปัจจุบันแตกต่างกันมาก การทำคลอดในอดีตจะต้องอาศัยหมอตำแยเป็นผู้ทำคลอดที่บ้าน ไม่ได้คลอดในห้องคลอดอย่างโรงพยาบาลปัจจุบัน ซึ่งห้ามมิให้ผู้อื่นเข้าไปนอกจากหมอและพยาบาล หรืออาจจะมีพ่อเด็กด้วยในบางแห่ง ที่ผ่านๆมา เราอาจจะเคยเห็นการคลอดลูกตามภาพยนตร์  ละคร หรือผู้ใหญ่เล่าให้ฟังว่าต้องเอาผ้าขาวม้าหรือเชือกผูกบนขื่อ แล้วก็ให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดจับดึงไว้ เพื่อเป็นหลักให้มีแรงเบ่งให้ลูกออกจากท้อง บางคนคลอดยาก ส่งเสียงร้องครวญครางด้วยความปวดท้องอย่างทรมานอยู่นาน อีกทั้งอาการคลอดก็น่ากลัว ดังนั้น หากหญิงมีครรภ์ไปดูคนอื่นคลอดลูกแล้วได้ยินเสียงหรือได้เห็นภาพอาการเจ็บปวดของการคลอดอาจจะทำให้กลัวและเกิดอาการเสียขวัญ จึงมีอุบายหลอกไม่ให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้องไปดูการคลอดลูก จะออกลูกยาก เพราะไม่ต้องการให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เกิดอาการหวาดกลัวการคลอดลูกจนทำให้เสียสุขภาพจิตเกิดความวิตกกังวลความเครียด และความไม่สบายใจอื่น ๆ ตามมา
                     นอกจากนี้ยัง ห้ามคนมีท้องหน้าบึ้ง ลูกเกิดมาจะไม่สวย ด้วย เพราะเป็นที่ทราบกันดีในปัจจุบันว่าโดยปกติผู้หญิงที่มีครรภ์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงด้านสรีระและระดับฮอร์โมน ทำให้ บางคนหงุดหงิด ขี้โมโห ฉุนเฉียว เช่นเดียวกับคนโบราณที่มีความเชื่อว่าการมีภาวะจิตใจที่ไม่ดีจะส่งผลถึงลูก ทำให้ลูกเป็นเด็กที่มีอารมณ์แปรปรวนได้ หญิงมีครรภ์จึงควรทำจิตใจให้สงบ อารมณ์แจ่มใส ใบหน้ายิ้มแย้มไม่บึ้งตึง ลูกในครรภ์จะสุขภาพจิตดี หน้าตาสวยงาม
                     จะเห็นได้ว่า ปู่ ย่า ตา ยาย หรือคนโบราณ ใส่ใจสอนโบราณอุบายที่มีความเกี่ยวข้องกับเพศหญิงมากกว่าเพศชาย เนื่องจากเพศหญิงเป็นผู้ที่มีความอ่อนแอกว่า จึงควรได้รับการดูแลเอาใจใส่มากกว่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่ตั้งครรภ์จะต้องได้รับการดูแล และระมัดระวังเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อร่างกายและจิตใจซึ่งจะส่งผลกระทบถึงลูกที่จะเกิดมาได้ 
                    ไม้สอยมะม่วงอย่าใช้ไม้รวกทำด้ามตะกร้อ มะม่วงจะเป็นหนอน วิถีชีวิตของชาวชนบทไทยในอดีต นอกจากมีอาชีพหลักคือการทำนาแล้ว ยังมีการทำสวนต่างๆเสริมด้วย เช่น สวนมะม่วง กล้วย มะนาว ส้ม มะละกอ เป็นต้น แต่ผลไม้ที่มีมากกว่าอย่างอื่นเห็นจะได้แก่มะม่วง และกล้วยน้ำว้า ในส่วนของกล้วยน้ำว้านั้นการเก็บผลไม่ลำบากเนื่องจากต้นไม่สูงมากนัก และผลก็อยู่รวมกันเป็นเครือ แต่การเก็บลูกมะม่วงจะยากลำบากมากกว่าเนื่องจากลำต้นมีความสูงใหญ่ และลูกมะม่วงก็มักอยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งต้น ดังนั้น การเก็บจึงต้องใช้วิธีสอยโดยใช้ตะกร้อมีไม้ยาวๆติดเป็นด้าม เพื่อเกี่ยวขั้วมะม่วงให้หล่นลงในตะกร้อ
                        สำหรับตะกร้อที่ใช้สอยมะม่วงส่วนใหญ่จะทำจากหวายหรือไม้ไผ่สานเป็นกระพุ้ง มีไม้ไผ่เหลาเป็นซี่ติดอยู่ที่ปากเพื่อใช้เกี่ยวขั้วมะม่วงให้หล่นลงในตะกร้อ ส่วนด้ามตะกร้อจะใช้ไม้ไผ่เลี้ยงยาวตลอดทั้งลำประมาณ ๑๐ - ๑๒ เมตร มัดตะกร้อติดกับส่วนปลายให้แน่น
                      สำหรับคำห้ามของคนโบราณที่ไม่ให้ใช้ไม้ลวกทำด้ามตะกร้อ น่าจะสืบเนื่องมาจากเหตุผลที่ว่าไม้รวกเป็นไม้ไผ่ตระกูลหนึ่งที่เนื้อไม้บาง เปราะแตกง่าย และมีผิวคมมาก จนหมอตำแยโบราณใช้ไม้รวกเป็นอุปกรณ์ในการตัดสายสะดือเด็กเกิดใหม่ ส่วนไม้ไผ่เลี้ยง เป็นไม้ไผ่ตระกูลหนึ่งที่มีเนื้อไม้แน่นและหนากว่า อีกทั้งยังเหนียวไม่แตกง่าย ซึ่งหากนำมาทำตะกร้อจะดีกว่า ดังนั้น คนโบราณจึงนำมาเป็นอุบาย เพราะไม่ต้องการให้ใช้ไม้ไผ่รวกเพราะกลัวบาดมือ โดยอ้างเรื่องการที่มะม่วงเป็นหนอน เพราะชาวสวนย่อมไม่ต้องการให้เกิดความเสียหายในการประกอบอาชีพนั่นเอง

หมายเลขบันทึก: 288335เขียนเมื่อ 17 สิงหาคม 2009 15:12 น. ()แก้ไขเมื่อ 26 พฤษภาคม 2012 17:33 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท