รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร จดหมายข่าวกัลยาณมิตร ฉบับทีุ่ึ7


โลกรอดได้เพราะกตัญญู

 












    ไฟล์:ทรงผนวช.jpg  

    ในพุทธศักราช ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชศรัทธาที่จะทรงผนวช ด้วยทรงพระราชดำริว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ที่ประชาชนของพระองค์เลื่อมใสกันอยู่เป็นจำนวนมาก ยิ่งทรงมีโอกาสคุ้นเคยกับหลักการและทางปฏิบัติของพุทธศาสนิกชน ระหว่างที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ ก็ทรงมีพระราชศรัทธายิ่งขึ้น เพราะได้ประจักษ์แก่พระราชหฤทัยว่า ธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบด้วยเหตุผลและสัจจธรรม แม้ผู้ใดจะวิจารณ์ด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ก็จะไม่เสื่อมถอยในความนิยมเชื่อถือ ทั้งจักเป็นทางสนองพระเดชพระคุณพระราชบูรพการีตามคตินิยมอีกโสตหนึ่งด้วย จึงได้เสด็จออกทรงผนวช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๙
 
 


ในหลวง สมเด็จย่า

 

..หลังงานพระบรมศพสมเด็จย่า..เสร็จสิ้นลงแล้วราชเลขา..ของสมเด็จย่ามาแถลงในที่ประชุม...ต่อหน้าสื่อมวลชนว่า...ก่อนสมเด็จย่า จะสิ้นพระชนม์..ปีเศษ...ตอนนั้นอายุ 93 ในหลวง..เสด็จจากวังสานจิตร..ไปวังสระปทุมตอนเย็นทุกวัน ไปทำไมครับ....? ไปกินข้าวกับแม่...ไปคุยกับแม่...ไปทำให้แม่..ชุ่มชื่นหัวใจ...พอเขาแถลงถึงตรงนี้ อาจารย์ตกตะลึง..โอ้โห....ขนาดนี้เชียวหรือในหลวงของเราเสด็จไปกินข้าวมื้อเย็นกับแม่...สัปดาห์ละกี่วันทราบไหมครับ
พวกเราทราบไหมครับ...สัปดาห์ละกี่วัน? 5วัน.....มีใครบ้างครับ....? ที่อยู่คนละบ้านกับแม่ แล้วไปกินข้าวกับแม่..
สัปดาห์ละ 5วัน หายาก...... ในหลวง มีโครงการเป็นร้อย...เป็นพันโครงการ...มีเวลาไปกินข้าวกับแม่..สัปดาห์ละ5วัน พวกเรา ซี 7 ซี 8 ซี 9 ร้อยเอก..พลตรี...อธิปดี..ปลัดกระทรวง ไม่เคยไปกินข้าวกับแม่....บอกว่า...งานยุ่ง
แม่บอกว่า...ให้พาไปกินข้าวหน่อย..บอกว่าไม่มีเวลา จะไปตีกอล์ฟ...ไม่มีเวลาพาแม่ไปกินข้าว...แต่มีเวลาไปตีกอล์ฟ...เห็นตัวเองหรือยัง..? พ่อแม่..พอแก่แล้ว ก็เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง...ฝนตก...น้ำเซาะ..อีกไม่นานโค่น...พอถึงเวลานั้น...เราก็ไม่มีแม่ให้กราบแล้ว...ในหลวงจึงตัดสินพระทัย..ไปกินข้าวกับแม่สัปดาห์ละ 5วัน เมื่อตอนสมเด็จย่าอายุ 93 สัปดาห์หนึ่งมี 7วัน ในหลวงไปกินข้าวกับแม่5วัน อีก 2วัน ไปไหนครับ ....? ดร.เชาว์ ณ ศีลวันต์...องคมนตรี บอกว่า.....ในหลวงถือศีล 8ในวันพระ ถือศีล 8 นี่ยังไง....? ต้องงดข้าวเย็น...เลยไม่ได้ไปหาแม่....วันนี้ เพราะถือศีล 8 อีกวันหนึ่งที่เหลือ...อาจจะกินข้าวกับพระราชินี..กับคนใกล้ชิด  แต่ 5 วัน....ให้แม่....

 


ตราประจำพระมหาจักรีบรมราชวงศ์

Creative Commons License
Creative Commons Attribution iconCreative Commons Non Commercial iconCreative Commons No Derivative Works icon
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ พระฉายาลักษณ์พระบรมวงศานุวงศ์ที่ถ่ายโดยเจ้าหน้าที่ สำนักพระราชวัง หรือพระปรมาภิไธย พระนามาภิไธย หรือพระนามของพระบรมวงศานุวงศ์
ถือลิขสิทธิ์โดย สำนักพระราชวัง

การนำไปใช้งาน ให้ยึดถือตามหลักเกณฑ์ของ Creative Commons
Attribution, Non Commercial, No Derivative Works 2.5 License
ห้ามการนำไปจำหน่ายหรือใช้งานในเชิงพาณิชย์ และห้ามนำไปดัดแปลงหรือตัด
ต่อใดๆ ก่อนได้รับพระบรมราชานุญาต
ธัมมะสวัสดีครับกัลยาณมิตรทุกๆท่าน
เนื่องในโอกาสวันแม่แห่งชาตินี้ ขอส่งจดหมายข่าวฉบับนี้ถึงทุกท่านด้วยความรักในธัมม์ดั่ง ธรรมมาตา :อ้อมกอดแห่งมารดาคือธรรม และ โลกรอด เพราะกตัญญู  

จากบทความข้างต้นเราจะพบว่านอกจากในหลวงของเรา จะเป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูแล้ว ยังทรงเป็นธรรมมิกราชาบำรุงให้ศาสนจักรและอณาจักรอยู่เย็นเป็นสุข อีกทั้งยังทรงถือศีล 8 เป็นอุโบสถศีลทุกวันพระ

ซึ่งการถือศีล8ของในหลวงนี้ มีความสำคัญยิ่ง...



ในพ.ศ. 2475 สมัยที่คณะราษฎร พยายามสร้างความชอบธรรมเพื่อยื้อแย่งผลมะม่วงจนถึงกับพยายามล้มต้นมะม่วงจากพระมหากษัตริย์ ทั้งๆที่พระองค์ทรงเตรียมการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาตั้งแต่สมัย ร.5 และมีการทดลองสร้างเมืองประชาธิปไตยที่มีความน่ารักน่าเอ็นดูอย่างดุสิตธานีขึ้นมาในสมัย ร.6 

การชิงสุกก่อนห่ามโดยที่ไม่เข้าใจตะวันตกอย่างถ่องแท้พร้อมกับทอดทิ้งหลงลืมรากเหง้าตัวเองนั้นได้สร้าง
ประวัติศาสตร์แห่งการแย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์หน้าใหม่ขึ้น ภายใต้เปลือกที่มีชื่อว่าประชาธิปไตย 
จากข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ในขณะทำการปฎิวัตินั้นได้มีพระปฏิสันถารของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร) กับ ร.ท.ประยูร(คณะราษฎร) ที่ทำการควบคุมพระองค์ไว้ มีความตอนหนึ่งว่า

....ทรงรับสั่งถามต่อไป "พวกแกที่ยึดอำนาจนี้ ต้องการอะไร มีความประสงค์อะไร ต้องการปาลีเมนต์ 
มีคอนสติติวชั่นใช่ไหม" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ใช่"

ทรงนิ่งชั่วครู่ แล้วรับสั่งถามว่า "แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ ตาประยูร"

"อารยประเทศทั่วโลกก็มีปาลีเมนต์กันทั่วไป ยกเว้นอาบิสซีเนีย" ข้าพเจ้ากราบทูล

ทรงถามว่าข้าพเจ้าอายุเท่าไร เมื่อข้าพเจ้ากราบทูลว่า 32 ก็รับสั่งว่า "เด็กเมื่อวานซืนนี้เอง 

นี่แกรู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน พระราชวงศ์จักรีครองเมืองมา 150 ปีแล้ว รู้ดีว่าคนไทยนี่ปกครองกันได้อย่างไร อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"

ทรงถามถึงการศึกษา เมื่อกราบทูลว่าเรียนรัฐศาสตร์จากปารีส ทรงสำทับ "อ้อ มีความรู้มาก แกรู้จักโรเบสเปียมารา และกันตอง เพื่อนน้ำสบถฝรั่งเศสดีแน่ ในที่สุดมันผลัดกันเอากิโยตีน เฉือนคอกันทีละคน จำได้ไหม ฉันสงสาร ฉันเลี้ยงแกมา นี่แกเป็นกบถ รอดจากอาญาแผ่นดิน ไม่ถูกตัดหัว แต่จะต้องถูกพวกเดียวกันฆ่าตาย แกจำไว้" ข้าพเจ้ากราบทูลว่า "ตามประวัติศาสตร์ มันจะต้องเป็นเช่นนั้น"

ที่มา: วิกิพิเดีย

หลังจากนั้น ประเทศไทยก็มี รัฐประหาร 17 ครั้ง สำเร็จ 10 ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ 18 ฉบับ เฉลี่ยทุก 4 ปีครึ่ง จะมีรัฐประหารและรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

และในแต่ละครั้งของการร่างรัฐธรรมนูญ ต้องใช้งบประมาณมหาศาล เช่น รัฐธรรมนูญฉบับล่าสุด ปี 2550 ต้องใช้งบประมาณ ทั้งสิ้น กว่า สองพันล้านบาท ไม่รวมการสูญเสีย และปาืบกรรมที่คนในชาติประหัตประหารกันเอง อย่าง 
14 ตุลา 2516   6 ตุลา 2519   พฤษภาทมิฬ 2535  ปรากฏการณ์เหลือง-แดงและปาปมวลรวมประชาชาติเหล่านี้ จะส่งผลให้ประเทศชาติแตกแยกอย่างไม่สิ้นสุด...
 
สิงห์4ตัวที่ไม่รับใช้ธรรมก็จะมัวแต่จะกัดแย่งชิงความเป็นเจ้าป่ากันเอง...จนกว่า..จะถึงคราวหายนะ

 

"แล้วมันจะดีกว่าที่เป็นอยู่เวลานี้หรือ"
"รู้จักคนไทยดีแล้วหรือ แกจะต้องเจอปัญหาเรื่องคน"
"อ้ายคณะของแกจะเข็นครกขึ้นเขาไหวรึ"

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ ยื้อแย่งหัวสิงห์มาจากพระราชาแต่ไม่เอาธรรมจักรบนหัวสิงห์นั้นมาด้วย!! 

เพราะปัญหาอยู่ที่คน มิใช่อยู่กับอักษรในรัฐธรรมนูญหรือระบบการปกครองใดๆ จะแก้รัฐธรรมนูญหรือรัฐประหารกันกี่ครั้งก็ยิ่งแย่ลงกว่าเดิม วาทะกรรมที่มีชื่อว่าประชาธิปไตยนี้ หากไม่ใช่ประชาธิปไตยแท้จะร้ายกว่าเผด็จการ 
หากมีกระบวนการที่แก้ปัญหาเรื่องคนได้ จะระบบไหนๆ ไม่ว่าจะเป็น สมบูรณาญาสิทธิราช อำมาตยาธิปไตย ประชาธิปไตย ระบอบประธานาธิปดี หรือกึ่งประธานาธิปดี หรือแม้แต่เป็นคอมมิวนิสต์ประเทศชาติก็จะร่มเย็นเป็นสุข    

แต่..สำหรับภาวะปัจจุบัน ที่คนไม่ดี มีอำนาจปกครองบ้านเมืองนี้ พวกเขาก็จะสนใจอยู่แต่ว่า..จะยื้อแย่งหัวสิงห์หัวสิงห์มาครอบครองหรือรักษาไว้ได้อย่างไร  หามีใครไม่ที่จะสนธรรมจักรไม่ อีกทั้งมีมิจฉาทิฐิ พยายามแยกโลกออกจากธรรม ชนิดที่พระก็อยู่ส่วนพระ บ้านเมืองก็อยู่ส่วนบ้านเมือง ทั้งนักการบ้าน นักการเมือง ก็ไม่เข้าหาพระ  พระและฆารวาสที่สนใจธรรม ก็จะสุดโต่งละทิ้งโลก มิจฉาทิฐิที่คิดแบบแยกส่วน ไม่คิดแบบองค์รวมโดยใช้ทางสายกลาง โลกธรรม(โลก-กะ-ธรรม) ที่เป็นเหตุปัจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกันนี้ ก็จะเสื่อมลงทั้งคู่                                       

จากประวัติศาสตร์เราจะพบว่าพระพุทธศาสนามีบทบาทในการปกครองบ้านเมือง อย่างแยบคายและงดงาม เป็นการปกครองโดยไม่ปกครอง หรือเรียกให้เข้ากับยุคสมัยก็คือ เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรที่เนียนอยู่ในวิถีชีวิต มีพระอาจารย์เป็นผู้สอนศิลปะวิทยา ตั้งแต่ชนชั้นปกครองไปถึงชาวบ้านธรรมดา ผู้ชายทุกคนมีโอกาศบวชเรียน มีพระอุปปัชฌาย์(ความหมายโดยพยัญชนะว่า ผู้เข้าไปเพ่ง กล่าวคือ ได้แก่ผู้คอยดูแลเอาใจใส่คอยแนะนำพร่ำเตือน ลูกศิษย์) ราชาและขุนนางได้มีโอกาศเป็นลูกศิษย์พระและศึกษาธรรมวินัยเพราะการบวชเรียน ในสมัยที่กษัตริย์เป็นธรรมมิกราชาและมีความเคร่งครัดในเรื่องศีลธรรม จะมีกฏมณเฑียรบารหรือพระราชประเพณี ให้กษัตริย์และขุนนางต้องถือศีล 8 ในวันพระ เพราะยิ่งมีอำนาจมาก จะต้องยิ่งมีการเติมการปฎิบัติด้านศีลธรรมลงไปในวิถีชีวิต  

เนื่องจากไม่เข้าใจตะวันตกอย่างถ่องแท้พร้อมกับหลงลืมทอดทิ้งรากเหง้าของตน ดังที่ได้กล่าวข้างต้นแล้ว หลังจากได้หัวสิงห์มาจากพระราชาแล้ว รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรเหล่านี้ จึงไม่มีคณะราษฎรหรือนักการเมืองคนไหนที่ต้องการนำมาปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมให้เข้ากับยุคสมัยแต่อย่างใด อีกทั้งยังมีวาทะกรรมและการกระทำที่แยกพระออกจากการบ้าน การเมือง การศึกษา  

สิงห์ที่ไม่มีทำหน้าที่รักษาธรรมจักร จึงสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมืองอย่างไม่จบสิ้น   

การที่ในหลวงทรงถือศีล8 ในวันพระ เปรียบได้ดั่ง รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร หากจะฟื้นฟูแผ่นดินนี้จากหายนะและโมหะภูมิ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างธรรมจักรให้อยู่บนหัวสิงห์ดังเดิม

และการที่จะมีกำลังฝ่าวิกฤติประเทศชาติ ฝ่าวิกฤติโลกที่จะเกิดขึ้นไปได้หรือไม่นั้น
ก็ขึ้นอยู่กับที่คนในชาติ จะมีความกตัญญูต่อชาติบ้านเมือง สำนึกและเห็นคุณค่าคอยพิทักษ์รักษาศาสนาและพระมหากษัตริย์ ศูนย์รวมใจเพียงใด
และแน่นอนว่า การแสดงออกของความกตัญญูของคนไทยนี้ หากแสดงออกด้วบริโภคนิยม ซื้อทุกอย่างที่เป็นสีๆ หรือออกมาเคลื่อนไหวในฐานะสีใดสีหนึ่ง ก็จะมิใช่กตัญญูที่แท้

ต้องแสดงออกด้วยการทำความดีเท่านั้น!!
และต้องทำความดีเพื่อความดี มิได้ทำเพื่ออะไรอีกต่อไป 
...โลกจึงจะรอดได้....เพราะกตัญญูโดยแท้    

 
   
ข่าวบุญ    

หมายเลขบันทึก: 287705เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2009 15:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 11:10 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

ชื่นใจที่ได้รับรู้รับทราบ ในหลวงของเรา เป็นกษัตริย์ยอดกตัญญูแล้ว ยังทรงเป็นธรรมมิกราชาบำรุงให้ศาสนจักรและอณาจักรอยู่เย็นเป็นสุข อีกทั้งยังทรงถือศีล 8 เป็นอุโบสถศีลทุกวันพระ ^^

เป็นไอดอล ที่เราควรดำเนินตามรอยบาท พระองค์

อเาเ้่่เิเ้ออ้ร้อ้อแมเ่ส

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท