"...ประชาธิปไตยเป็นพิษ..."


"...เจ็ดสิบกว่าปีของประชาธิปไตยบนผืนแผ่นดินนี้ มันช่างร่อแร่ คลุมเครือ ได้เสมอต้นเสมอปลายดีมาก นี่หากว่าเป็นคนก็แก่หง่อมแล้ว ไม่ใช่แก่ธรรมดาด้วยนะ แต่เป็นแก่กระโหลกกะลาหาประโยชน์ได้ยากเต็มที..."

เกิดอาการคลื่นเหียนเวียนหัวอยากอาเจียรทุกครั้งที่ได้ยินคนพูดถึงประชาธิปไตยแบบพร่ำเพรื่อ มั่วซั่วไปตามความรู้สึกนึกคิดส่วนบุคคล แบบกระท่อนกระแท่น ทั้งที่ในทางปฏิบัติแล้ว---ยังใช้กันไม่เป็นเลย มันเป็นไปได้ยังไง มันเหมือนเด็กอนุบาลเล่นกันตอนที่ครูปล่อยให้ดื่มนมกันเอง เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเหลือจะกล่าว

ที่เขียนแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะโจมตีใครว่าใช้ประชาธิปไตยกันไม่เป็น หรืออวดอ้างว่าผู้เขียนนี้รู้ดีเรื่องประชาธิปไตยเสียเหลือเกินก็หาไม่ แต่---ประชาธิปไตยคำนี้ เรารู้จักใช้มันได้ดีแค่ไหน เรารู้จักมันดีแล้วหรือ เจ็ดสิบกว่าปีของประชาธิปไตยบนผืนแผ่นดินนี้ มันช่างร่อแร่ คลุมเครือ ได้เสมอต้นเสมอปลายดีมาก นี่หากเป็นคนก็ถือว่าแก่หง่อมแล้ว ไม่ใช่แก่ธรรมดาด้วยนะ แต่เป็นแก่กระโหลกกะลาหาประโยชน์ได้ยากเต็มที(สมัยนี้กะลายังมีประโยชน์มากกว่าอีกนะ)

จริงอยู่ว่า มันก็มีการพัฒนาไปมากพอสมควร(สมน้ำหน้า?)แล้ว แต่ถ้าจะเทียบกันระยะเวลาแล้ว ถือได้ว่า น่าผิดหวังอย่างสิ้นเชิง!!! แม้ว่ามันอาจต้องใช้เวลาบ้างสำหรับเรื่องบางเรื่อง มันก็คงใช่ แต่นี่อะไร เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ยังวนเวียนอยู่ที่เดิม ยึดอำนาจ-เลือกตั้ง เลือกตั้ง-ยึดอำนาจ เป็นไปได้ยังไง ก็ไอ้สิ่งที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยอยู่ทุกวันนี้น่ะ มันยังใช้การได้!!! มันยังใช้พัฒนาประเทศไม่ได้ มันเป็นได้แค่อัตตาธิปไตยสามานย์ ที่เพียงแค่ไม่พอใจอะไรก็ออกมาตะโกนกันโหวกเหวกโวยวายกันเต็มถนนไปหมด นี่มันยังใช้ไม่ได้!!!

เราไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน ที่นึกอยากทำอะไรก็ทำกันตามใจชอบ มันไม่มีอะไรบ่งบอกเลยว่า การรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น มันจะเป็นรูปแบบของประชาธิปไตยเสมอไป แม้รัฐธรรมนูญจะระบุไว้ว่า ประชาชนมีสิทธิในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธก็ตามที แต่มันก็แค่ตัวหนังสือที่คนไม่เคยทำให้มันศักดิ์สิทธิ์เลย วิธีการที่ถูกต้องมันมีอยู่ แต่เราไม่ใช้กัน เพราะเราขาดความเชื่อมั่นและใช้มันไม่เป็น มันไม่เห็นผลทันตาทันใจได้เท่ากับการแสดงพลังกดดันอย่างที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ มันจึงไม่ป็นที่ยอมรับรับในวงกว้าง เพราะเราไม่มีศรัทธาต่อมันอย่างเพียงพอ หากแต่เราศรัทธาต่อความรุนแรง มันจึงเห็นผลได้ยาก แต่ถ้าเราต้องการวิถีแห่งประชาธิปไตยที่แท้ที่ถูกต้องแล้ว เราก็จำเป็นต้องกล้ำกลืนฝืนทนใช้มันเพื่อความถูกต้อง

วันนี้ไม่ต้องไปถามคนอื่น เราต้องหันกลับมาถามตัวเองว่า เราต้องการประชาธิปไตยหรืออัตตาธิปไตย หากเราต้องการประชาธิปไตย เราก็ต้องปฏิวัติทัศนคติกันเสียใหม่ แต่ถ้าต้องการเพียงแค่ปฏิรูปก็ไม่ต้องมาพูดกันให้เสียเวลา เพราะมันไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย กับวิถีแห่งการปฏิรูปบนผืนแผ่นดินนี้มันเป็นเพียงการซื้อเวลาให้มันผ่านไปวันๆเท่านั้นเอง แล้วไม่นานก็ลืมกันไป เพราะที่นี่มีแต่คนขี้ลืม รักสนุก เห็นแต่ประโยชน์เฉพาะหน้า ที่จะให้เห็นเป็นรูปธรรมในระยะยาวนั้น มันเป็นไปได้น้อยมาก จะบอกว่าเป็นไปได้ยาก ก็ดูจะเป็นการสบประมาทกันเกินไป ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงก็ตามที

เราต้องไม่ลืมว่า เรายังมีลูกหลานกันต็มบ้านเต็มเมือง ไม่ใช่ประชากรรุ่นสุดท้ายของประเทศ ต้องคิดพิจารณากันให้ดี เพราะลูกหลานรุ่นนี้มันโตกันเร็วมาก หรือถ้าจะพูดกันแบบภาษาชาวบ้านก็คือ มันแก่แดดแก่ลมกันไวมาก จะคิดจะทำอะไรกันก็ให้อายสายตาของพวกเด็กๆที่กำลังมองเราอยุ่กันบ้าง นี่มันไม่ใช่สมัยโบราณกันแล้ว วันนี้ที่พวกเด็กๆกระทำการละเมิดกฎหมาย ละเมิดศีลธรรมอันดี ประเพณีที่สวยงานกัน ก็เพราะการใช้ประชาธิปไตยกันแบบผิดๆนี่แหละ ถ้าหากจะไปโทษพวกเด็กๆ เราก็จะโดนตอกกลับมาว่า ทีพวกผู้ใหญ่ยังทำได้เลย แล้วนี่จะตอบกันยังไง จะบอกว่า ผู้ใหญ่ทำได้เด็กทำไม่ได้อย่างนั้นหรือ ไม่ดีกระมังครับ นี่มันสมัยไหนแล้ว จะห้ามไม่ให้เด็กดื่มเหล้าสูบบุหรี่หรือแต่งตัวล่อแหลม ก็โดนตอกกลับมาอีกว่า มันเป็นสิทธิของผมนะ มันเป็นเรื่องของหนูนะ จะมายุ่งอะไรกับหนูเนี่ย??? นี่มันอัตตาธิปไตยชัดๆ!!!

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะร่วมกันปลูกฝังประชาธิปไตยใหม่ ที่มันถูกต้อง และเป็นไปตามครรลองคลองธรรมกันเสียที หรือว่าไม่จำเป็นหรอก อีกไม่กี่ปีก็ตายกันหมดแล้ว จะปลุกฝังมันไปทำไม ฝังไปเลยดีกว่า เอาอย่างนั้นมั้ยครับท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย.

หมายเลขบันทึก: 287404เขียนเมื่อ 15 สิงหาคม 2009 01:52 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 พฤษภาคม 2012 20:31 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)
  • ขอยืนยันว่าสถานะการณ์บ้านเมืองตอนนี้ น่าผิดหวังอย่างสิ้นเชิง!!!  เช่นกันค่ะ
  • คิดมากไปได้ท่านพี่ เดี๋ยวก็แก่กันพอดี
  • อะไรๆเราก็ต้องเฉยไว้ก่อน รอดูท่าทีไปก่อน เอาไว้รอตลบหลังทีเดียวเลยดีมั้ยครับ
  • นอกจากน่าผิดหวังแล้ว ยังน่าวังเวงอีกต่างหาก เซ็งเป็ดเล้ย
  • เล่นให้ท้ายกันแบบนี้ เดี๋ยวก็เคยตัวแย่เลยนะครับท่านพี่ หุหุ

แค่ฉลากแปะว่าประชาธิปไตย คนก็ยอมตายเพื่อมันแล้วครับ

บัณฑิตท่านหนึ่ง กล่าวไว้ว่า

เมื่อ อปริหานิยธรรม ได้หมดไปจากสังคมไทย
อปริหานิยธรรม ที่หมายถึง ธรรมที่ไม่ทำให้เสื่อม ๗ ประการ
ได้หมดไปจากสังคมไทย..
(อุปมาอุปมัยว่า เมืองไทยตอนนี้ วัสสการพรามหณ์ มีมากเกินไป
ไม่ใช่คนเดียวอย่างกรณีการล่มสลายของแคว้นวัชชี
และวัสสการพรหมณ์เหล่านีี้ก็แผ่อำนาจเป็นก๊กเหล่าชัดเจน เป็นขั้ว)

..คำตอบก็คือ เสื่อม วิกฤต หายนะ ล่มสลาย

ไม่มีใครจะฝืนเหตุปัจจัยเหล่านี้ได้

คนในสังคมไทยในยุคต่อไป จะแบ่งกลุ่มกันชัดเจน ตามสื่อเฉพาะกิจที่ตนเองเลือกเสพจนเสพติดเป็นหลัก แม้ในครอบครัวเดียวกันก็คิดต่างกันสุดขั้วได้ เพราะเสพสื่อที่ตนเองชอบทุกวันๆๆ ความหยั่งลึกในทิฏฐิ จนยึดมั่นถือมั่น ก็มีมากขึ้นๆ ลึกขึ้นๆ เป็นระเบิดเวลา ที่รอวันระเบิดครั้งใหญ่และหลายจุด

กรรมปัจจุบันของคนหมู่ใหญ่ที่มีโทสะเป็นเรือนมีแนวโน้มจะก่อเหตุให้เป็นกรรมอกตัญญูเนรคุณต่อสถาบันชาติ-กษัตริย์ให้ล้มลงไป ก็จะไปเพิ่มบาปมวลรวมประชาชาติที่มากอยู่แล้วให้มากไปอีก ก็คงได้รับผลกระทบจากบาปกรรมนี้กันถ้วนหน้าต่อไป

"การเมืองไทยไม่ใช่เหตุปัจจัยของความเจริญ แต่เป็นเหตุปัจจัยของความเสื่อม รับฟังติดตามได้ แต่อย่าไปอิน อย่าไปคาดหวัง อย่าไปหลงเลือกข้าง ตัดใจให้ขาดไปเลย ตัดไปเลย เพราะมันจะอดมีอารมณ์ร่วมไม่ได้ ความน้อยใจ อึดอัดใจ เคียดแค้นชิงชังมันจะแฝงตัวแอบอาศัยในจิตใจได้ ตัดใจให้ขาดไปเลยนะ"

 

  • รู้สึกท้อแท้นะครับ แต่ยังไม่ยอมแพ้ท้อถอย
  • หวังไว้เล็กๆว่ามันต้องสะกิดถูกที่คันได้บ้าง แม้จะเกาแรงไปบ้างก็ตาม
  • การเมืองไทยไม่เคยอยู่ในสายตาอยู่แล้วครับ แต่ในภาพรวมยังจับตามองอยู่
  • สิ่งที่ต้องทำในวันนี้ คือเตรียมการรับมือสิ่งที่กำลังจะเกิดครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท