จดหมายรักจากKM.ชุมชนบุรีรัมย์
ตอน..น้ำกิน น้ำใช้ น้ำใจ น้ำตา จะแก้ปัญหากันอย่างไร?
โดย สุทธินันท์ ปรัชญพฤทธิ์
สังคมเกษตรบ้านเรา
เริ่มนับฤดูกาลเพาะปลูกจากวันประกอบพิธีพืชมงคล
ทุกคนตั้งใจติดตามข่าวว่าปีนี้พระโคจะเลือกธัญญาหาร ผลาหาร ภักษาหาร
หรือมังสาหารชนิดไหน
หลังจากนั้นพระครูพราหมณ์จะเสี่ยงทายจากการเลือกผ้านุ่งของพระยาแรกนา
อาหารหญ้าหรือสุราที่พระโคเลือกชิม
แล้วถอดรหัสเป็นคำทำนายว่าปีนี้ฟ้าฝนพืชพรรณธัญญาหาร
การบ้านการเมืองจะเป็นอย่างไร
ในพระราชพิธีแต่ละปีจะมีการเบิกตัวเกษตรกรเข้ารับพระราชทานรางวัลแก่คณะบุคคล
องค์กร และเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาต่างๆ ปี2534
ผมเคยเข้าร่วมพิธีที่ท้องสนามหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเสด็จมาเป็นประธานและพระราชทานรางวัล
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณสูงสุด
นำมาซึ่งความปลาบปลื้มให้สำนึกย้ำคิดย้ำทำหน้าที่เกษตรกรไปชั่วชีวิต
ปีนี้โหรทำนายว่าฝนจะน้อย
แสดงว่าความแห้งแล้งจะมาตอแยพวกเราอีกตามเคย พวกอยู่ที่ราบสูงอีสาน
ทำมาหากินการเกษตรแบบอาศัยน้ำฝน ไม่มีระบบชลประทานเหมือนเช่นในภาคกลาง
ช่วงนี้ถึงจะมีฟ้าฝนโปรยปรายมาบ้าง แต่ก็แถมลมกระโชกอย่างรุนแรง
ทำเอาหลังคาบ้านเปิดเปิงเรือนชานพังเค้เก้
ยังดีหน่อยที่ไปแจ้งองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)
จะได้รับการชดเชยให้บางส่วน
อาศัยน้ำจิตน้ำใจบ้านเพื่อนเรือนใกล้เคียงมาช่วยกันคนละไม้ละมือ
เสียเหล้าไหไก่ต้มระดมแขกลงแรงช่วยกันสร้างบ้านใหม่ตามประสายาก
ทั้งๆที่เขาเหล่านี้ไม่ได้เรียนรู้เรื่องนโยบายสาธารณะอะไรหรอก
สังคมเครือญาติเป็นรากฐานที่นำไปสู่จิตสาธารณะ
ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กัน
ถือเป็นวัฒนธรรมอีสานที่ยังไม่เสื่อมมนต์ขลัง
การทำบุญทำทานคืองานบริการสังคมที่มีประสิทธิภาพสูง
แต่ละปีพี่น้องที่ไปทำงานเมืองกรุงจะระดมทุนลงมาช่วยหมู่บ้านด้วยการทอดผ้าป่า
อย่างน้อยเจอกันที่บ้านเก่าอย่างชื่นมื่นปีละครั้งก็นับว่าไม่เลวใช่ไหมครับ
ถึงจะไม่ได้จัดให้มีระบบเคลื่อนไหวเหมือน จ.ส.100
หรือมูลนิธิปอเต็กตึ๊ง เรื่องผ้าป่าเป็นวัฒนธรรมแห่งยุคสมัยไปแล้ว
มิติทางสังคมชนบทไม่ได้วางระบบเป็นขั้นเป็นตอน แค่รู้ข่าวใครบ้านพัง
พวกผู้เฒ่าผู้แก่นั่งจับเข่าคุยกันไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
แผนฟื้นฟูช่วยเหลือก็จะเรียงร่ายส่ายออกมาจากความคิดคำนึงแล้วละครับ
นี่คือจุดแข็งของนโยบายสาธารณะฉบับตัวจริงเสียงจริง
ในฐานะหน่อเนื้อเชื้อไขคนที่ราบสูง
ที่ต้องเผชิญกับความแห้งแล้งมากขึ้น ทุดครั้งที่เจอกันก็จะ
ถามข่าวคราวว่าฝนตกไหม แรงไหม วัวควายมีหญ้ากินไหม
ผักปลาเป็นยังไงบ้าง
ระบบสารสนเทศระดับชุมชนก็จะเต็มไปด้วยเรื่องเหล่านี้
ดร.แสวง รวยสูงเนิน
ตระเวนเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำ
แวะมากินข้าวเย็นแล้วนั่งลงปรึกษาหารือกันจนดึกดื่น
ตื่นมาผมก็มีการบ้านที่จะทำร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น
ภายใต้โครงการจัดการน้ำหลากหลายวัตถุประสงค์(MULTIPLE WATER USE
SYSTEM) โครงการนี้นอกจากระดมกึ๋นชุมชนแล้ว
ยังถามต่อว่าจะจัดการกับน้ำอย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร
พูดถึงเรื่องน้ำ
ผมมีประสบการณ์ตรงอย่างสุดจิตสุดใจมาตลอดชีวิต
ผมอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งดินทราย
สภาพดินทรายนั้นไม่สามารถที่จะขุดสระกักเก็บน้ำผิวดินได้อยู่แล้ว
ฝนตกมามหาศาลก็ซึมหายลงไปต่อหน้าต่อตาเหมือนธรณีสูบ
เว้นแต่จะหาแผ่นพาลสติกมาปูซึ่งก็เกินกำลังทรัพย์ที่จะทำได้
ที่ซ้ำร้ายขุดบ่อน้ำตื้นก็ไม่มีน้ำอีก
เจาะบ่อบาดาลโยกที่ใช้เครื่องตอกแบบชาวบ้านก็ไม่สามารถเจาะทะลุชั้นหินได้
เรียกว่าดิ้นรนจนเหงื่อหยดติ๋งๆก็ยังไม่ได้น้ำ
ต้องเอาควายเทียมเกวียนไปขนน้ำในบ่อหมู่บ้านที่ห่างออกไป5ก.ม.
ถ้าเดินไปอาบกลับมาตัวก็เหนียวหนับเหมือนเดิม
ผมอยู่ในสภาพจนใจจนน้ำอยู่หลายสิบปี
อยู่มาวันหนึ่งจึงฮึดสู้
นัดชาวบ้านฝีมือดีที่เก่งเรื่องขุดมันในป่ามา10 คน
คุยกันว่าเราจะขุดบ่อน้ำให้ถึงที่สุด ค้นหาน้ำให้เจอ
โดยมีโจทย์ค้างคาใจที่ความลึก9เมตร
ตอกหัวเจาะบาดาลมาถึงระยะนี้จะชนหินใต้ดิน
เราไม่มีเทคโนโลยีมากพอที่จะเจาะหินที่ว่านี้ได้
จึงอยากจะดูให้รู้ชัดๆว่ามันเป็นอย่างไรกันแน่
รายการขุดบ่อแห่งความหวังนี้
เราใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านทุกอย่างเท่าที่จะหาได้
ในช่วงแรกๆก็จะใช้คันโยงดินช่วยผ่อนแรง
ขุดปากบ่อให้กว้างเพื่อให้มีอากาศหายใจ
ปากบ่อกว้างเท่าไหร่ก็หมายความว่าเราจะต้องโยงดินขึ้นมามากเท่านั้น
มนุษย์ 10 คนหมุนเวียนกันขุดดินโยงดินกัน 5 วัน
เราขุดลงลึกไปชนแผ่นหินใต้ดิน
เสียมที่ใช้ขุดดินชนกับแผ่นหินเสียงหนักๆจึกๆ
มนุษย์บ่อปีนขึ้นมาเหงื่อโชกมันเลื่อมทั้งตัว
หลังจากดื่มน้ำหายเหนื่อยหอบแล้วก็ล้อมประเมินแสถานการณ์
ฝ่ายโยงดินบอกว่าหัวไหล่ร้าวระบม
นอกจากปวดเหมื่อยธรรมดาบางคนก็ทำท่าจะเป็นไข้อีกด้วย
ฝ่ายที่หมุนเวียนขุดดินก็บอกว่าอากาศน้อยร้อนหายใจลำบาก
บุกไปจนเจอแผ่นหินแล้วเราจะเอาอะไรไปขุดต่อ
เครื่องเจาะเครื่องทุนแรงไม่มี
เสียมที่ขุดดินก็ทื่อมือก็ปวดร้าว จะเอายังดี จะทำยังไงต่อ
นั่งมองตากันอยู่หลายนาทีสุดท้ายก็ตกลงว่าพัก2วัน
ในสองวันที่พักให้กลับไปคิดเป็นการบ้านแล้วนัดเจอกันอีกครั้งหนึ่งว่าจะสู้หรือจะยกธงขาว!
ในเช้าวันที่เรานัดมาพบที่ปากบ่อแห่งความเหนื่อยยากนี้
ผมให้แม่บ้านเตรียมหัวหมูเป็ดไก่เหล้าไหหมากพลูครบเรื่องเครื่องเซ่นแม่พระธรณี
เตรียมสื่อเตรียมหมอน มียานวด ยาชูกำลัง40ดีกรีอีก2ลัง
แถมยังชวนหมอนวดเส้นฝีมือดีในหมู่บ้านมาสมทบด้วย
ผมแอบดูตั้งแต่ทีมงานปั่นจักรยานเข้ามากันแบบหงอยๆ
ไม่มั่นใจว่าจะสู้หรือจะถอย
ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ทักทายเสียงใสว่าวันนี้เราจะทำพิธีเซ่นเจ้าที่เจ้าทาง
ชวนกันไปนั่งล้อมวงให้ผู้อาวุโสในกลุ่มทำพิธีขอขมาฟ้าดิน
บอกกล่าวว่าลูกช้างขอน้ำใช้หน่อยเถอะ
เมื่อเซ่นเจ้าที่เจ้าทางครบพิธีการแล้ว
พวกเราก็นั่งล้อมวงบริหารเครื่องเซ่นกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
เมื่อท้องอิ่มทั่วถ้วนแล้วผมก็บอกว่าวันนี้เรากลับบ้านเถอะ
หลายคนร้องฮ้า!พร้อมกัน จะกลับทำไมมาแล้วก็ต้องขุดต่อเถอะ
เมื่อมติมีอย่างนั้นการขุดบ่อมหาโหดก็เริ่มขึ้น
คราวนี้ผมขอลงไปเอง พิจารณาแล้วมันเป็นหินทรายไม่ใช่หินแกรนิต
ให้ส่งชะเลงลงมาค่อยๆเจาะหลุมเล็กๆขนาดกระป๋องนม
ถึงมันจะแข็งแต่ก็เห็นว่าพอจะเจาะลงไปได้ทีละครึ่งเซ็นต์
จึงขึ้นมาอธิบายว่ายังไม่ถึงกับจนแต้มหรอก
เอาชะแลงเจาะให้เป็นหลุมเล็กก่อนอย่างเพิ่งขยายเนื้อที่ขุดทั้งหลุม
หลังจากนั้นนักขุดก็เปลี่ยนหน้าลงหลุมในระดับลึก10เมตร
พวกที่คอยโยงดินใช้รอกขนดินขึ้นมาที่ละถัง
ทุกครั้งที่นักขุดขึ้นจากหลุมจะมีฝ่ายบริการจูงมาดื่มน้ำล้างหน้าล้างตา
ทายานวดบีบเส้นเคล้นกล้ามเนื้อ ถามถึงสภาพข้างล่างว่าเป็นอย่างไร
คำตอบก็คือยิ่งลึกก็ยิ่งหายใจลำบากอากาศร้อนอึดอัด
แต่ละคนจะทนได้ไม่เกิน 10 นาที
และแล้วก็ได้ยินเสียงสวรรค์..ช่วงบ่ายมีเสียงตะโกนขึ้นมาว่าหินทะลุแล้ว
ทุกคนดีใจกันใหญ่คิดว่าเราจะเจอตาน้ำใต้ดินกันเสียที
ผมถามว่ามีน้ำไหม
เสียงแหบโหยบอกว่าไม่มีน้ำไม่มีอะไรเลยนอกจากดินขาวๆ
จึงเรียกขึ้นมาวิเคราะห์สถานการณ์
ตอนนี้ภูมิปัญญาระดับไหนก็มึนตึ๊บไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
ระดับที่ขุดก็ลึกมาก แผ่นหินก็ทะลุแล้ว จะยังไงต่อไปอีกละ
..เจ้าที่เจ้าทางเอ๋ย..เซ่นก็เซ่นแล้ว นั่งกอดเข่าทำตาปริบๆหงอยๆ
คิดไม่ออกพักผ่อนกันดีกว่า
หลังจากหายเครียดหายท้อ ผมขอลงไปดูข้าวล่างอีกครั้งหนึ่ง
สังเกตว่าสีดินเปลี่ยนไป
เป็นดินขาวๆเหนียวๆจึงสัณนิฐานว่ามันอาจจะใกล้น้ำแล้วก็ได้
ขึ้นมาปรึกษากันว่าเราก็ลุยมาได้ขนาดนี้แล้ว ถ้าจะถอยก็จะนอนไม่หลับ
เพราะคิดว่ามันยังไม่ถึงที่สุด บางคนถามว่าที่สุดมันเป็นอย่างไร
ผมบอกไม่รู้ถ้าไม่ขุดต่อก็บอกไม่ได้ คำตอบมันอยู่ในหลุมข้างๆ
ทุกคนทำหน้างงๆบ่นอุบอิบคำว่าที่สุด..ที่สุด..สุดๆไปเลย
มันเป็นยังไงนะ อะไรรออยู่ในชั้นดินข้างล่างนั่น
ตรงนี้ภูมิปัญญาบริเวณปากบ่อตอบไม่ได้ มึนตึ๊บครับผม!
เลิกหรือลุย!
เดินทางมาถึงจุดตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ถ้าเลิกก็หมดหวัง
แต่ถ้าลุยมันยังต่อความหวัง
สุดท้ายรวมน้ำใจมากลั่นเป็นพลังใจที่จะสู้กับสงครามความแห้งแล้งต่อไปอีก
วันรุ่งขึ้นทุกคนก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ต่อไป
บ่ายแก่ๆมีข่าวดีว่าพบชั้นดินที่เปียกชื้นมากขึ้นๆ
ผมลงไปดูเห็นดินสีขาวในชั้นกรวดทรายเล็กๆมีน้ำซึมมานิดหน่อย
นิดหน่อยที่ว่านี้เรียกกำลังใจพวกเรามากองโต
ความหวังพุ่งขึ้นเต็มบ่อแล้วช่วงนั้น
ทุกคนมีกำลังใจช่วยกันขุดจนตะวันตกดิน ลึกลงไปได้กว่าเดิมประมาณ1.50
เมตร ต่างก็ขึ้นมารวมพลกินข้าวปลาอาหารเย็นร่วมกัน
แม่ครัวต้มไก่ใส่ยอดมะขายอ่อนเป็นอาหารโด๊ปกำลังใจและกำลังกาย
สรุปในชั้นนี้ได้ว่าอย่างน้อยเราก็ได้น้ำแล้วละ
ส่วนจะมาน้อยเท่าไหร่รอฟังผลวันพรุ่งนี้
วันแห่งฟ้าสดใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าเราจะได้น้ำในบริเวณบ้านเสียที
ไม่ต้องเดินไม่ต้องไปบรรทุกน้ำมาจากที่อื่น
ผมใช้เชือกโยงขวดลงไปวันปริมาณน้ำและเอาน้ำขึ้นมาตรวจ
พบว่าเราได้น้ำซึมจากก้นบ่อในทั้งคืนได้ระดับน้ำสูง1เมตร
คุณภาพน้ำจืดสนิทเอามาต้มดื่มได้สบายๆ
อีสานเรานี่นะครับเรื่องหาน้ำเจอก็เรื่องหนึ่ง
เรื่องคุณภาพของน้ำก็สำคัญมากเช่นกัน เพราะบางบ่อน้ำจะกร่อย กระด้าง
มีสนิมเหล็ก หรือไม่ก็เค็ม
แต่ของเราจืดสนิทแสดงว่าเจ้าที่เจ้าทางที่เราติดสินบนไว้
ได้มอบน้ำที่มีคุณภาพดีให้แก่เรา
เพื่อรักษาสภาพบ่อน้ำประวัติศาสตร์แห่งนี้
ผมได้ลงปลอกท่อซีเมนต์ ทาผาปิด ติดตั้งเครื่องโยกน้ำบาดาล
แล้วก็ใช้นั้นอุปโภคบิโภคอย่างประหยัด
พอเหลือเลี้ยงไก่และเจือจานให้วัวควายดื่มได้ด้วย
ผมได้นำน้ำบาลดาลนี้ไปเพาะกล้าไม้
ทำให้กิจกรรมปลูกป่าเกิดขึ้นอย่างที่วาดฝันไว้
จากผืนดินที่แห้งแล้งโล่งโจ้งไม่มีต้นไม้ เริ่มมีสีเขียว
มีแปลงต้นไม้โตเร็ว ไม้พื้นเมืองสอดแทรก
ไปเห็นต้นอะไรก็กล้าที่จะปลูกมากขึ้นเพราะมีน้ำช่วยในระยะแรก
ปลูกไม้ทุกอย่างที่ขวางหน้า
มีความรู้บ้างไม่มีบ้างก็ว่ากันไปแก้ไขกันไปเรียนรู้ไปพร้อมๆกับไส้เดือนและแมลงต่างๆ
13 ปีผ่านไปหน้าตาที่ดินก็มีสีเขียวมีชีวิตชีวา
ฝ่ายประเมินเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ
แจ้งว่าเราได้รับพระราชทานรางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติสาขาปลูกสร้างสวนป่า
จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวันพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญที่ท้องสนามหลวง
ดังที่กล่าวแล้วในตอนต้น
ถัดจากที่อดออมใช้น้ำบ่อขุดบ่อแรก ต่อมาผมขุดเพิ่มเติมอีก 2-3 บ่อ
จนกระทั่ง10 ปีผ่านไป กรมทรัพยากรธรณีวิทยากรุณามาเจาะบ่อบาดน้ำลึกให้
ผมนั่งเฝ้าทั้งวันทั้งคืน
เพื่อรอดูชั้นดินชั้นหินที่เจ้าหน้าที่เขาเอามาตรวจทุกๆระดับ1เมตร
ยังเอาขวดเก็บตัวอย่างดินไว้เป็นที่ระลึก
เริ่มเข้าใจแล้วว่าเทคโนโลยีสามารถตอบคำถามได้ว่าแต่ละชั้นดินเรามีสภาพเป็นอย่างไร
ตรงกันข้ามกับตอนที่เราขุดบ่อด้วยมือ
ไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าข้างล่างจะสภาพดินหินทรายอย่างไร
4วันบ่อดาลน้ำลึกแห่งแรกก็เรียบร้อย
เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าเจ้าหน้าที่ได้ติดเครื่องปั่นน้ำแบบใช้น้ำมัน
เป็นเครื่องขนาดใหญ่ที่ใช้กับโรงสีข้าวสมัยก่อน
จะติดเครื่องแต่ละทีหมุนเพลาที่หนักอย่างต่อเนื่องจนซี่โครงบาน
แต่พอเครื่องติดก็หายเหนื่อยเพราะน้ำที่พุ่งขึ้นมานั้นมันช่างใสเย็นชุ่มฉ่ำเหลือเกิน
ด้วยความเหนื่อยยากกับน้ำมานาน ผมลงทุนก่อสร้างแท็งเก็บน้ำสูง 10 เมตร
มีปริมาณถังเก็บน้ำได้3,000 ลิตร
ต่อท่อเชื่อมโยงไปใช้ในบ้านในครัวในแปลงผักและคอกสัตว์เลี้ยงอย่างทั่วถึง
ยังก่อสร้างสระบนดินขนาด 8x18 เมตรไว้อีกหนึ่งแห่ง
ไว้เก็บน้ำล้นจากถังบาดาลและน้ำฝนจากอาคาร
สรุปว่าชั้นนี้มีน้ำใช้สะดวกสบายพอควรแล้วละครับ
ต่อมามีไฟฟ้าแรงสูงผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน
ส่วนที่อยู่ผมอยู่ลึกเข้าไป1 ก.ม.
จึงได้แต่มองเสาไฟสายไฟเหมือนหมาเห่าเครื่องบิน อดรนทนอยู่ 2 ปี
จึงไปหาเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
ปรึกษาแล้วได้คำตอบว่าถ้าจะใช้ไฟฟ้าต้องออกเงินเองประมาณ300,000บาท
เงินจำนวนนี้อาจจะไม่มากสำหรับคนอื่น
แต่กับผมในตอนนั้นไม่มีรายได้อะไรอยู่ไปปีๆอย่างจำกัดจำเขี่ย
แต่ก็ต้องจำใจตัดไม้ยูคาลิปตัสขายตันละ550บาท ป่าไม้เตียนโล่งไป250
ไร่ เพื่อแลกกับเสาไฟฟ้า สายไฟ หม้อแปลง มิเตอร์
และยังตามมาด้วยมอเตอร์ อุปกรณ์ไฟฟ้าอื่นๆอีกเป็นพรวน
มีน้ำใช้ไฟสว่างคราวนั้นผมต้องอยู่อย่างพอเพียงมาจนถึงบัดนี้
เพราะเกษตรกรนั้นไม่มีรายได้เป็นกอบเป็นกำที่แน่นอน
งานเกษตรกรรมเป็นงานเย็น ช้าๆเรื่อยๆค่อยเป็นค่อยไป
เหมือนอัตราการเติบโตของต้นไม้ สูงขึ้น ใหญ่ขึ้น พออายุถึงก็ออกดอก
ติดผล แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขึ้น มากขึ้น
ในระยะยาวก็จะตอบแทนเราอย่างคุ้มค่าเช่นกัน ผมปลูกต้นยางนา
ต้นอาคาเซีย ไม้ยูคา ไม้แดง ไม้ประดู่ ไม้ไผ่ ฯลฯ ไว้นับหมื่นต้น
ในอนาคตลูกหลานก็จะตัดไปขายได้ต้นละเป็นหมื่น
ทำให้ไม่ห่วงว่าเขาจะอัตคัดขาดแคลนเหมือสมัยเรา
ที่สำคัญเราได้ป่าไม้คืนมา ความชุ่มชื่น น้ำหมอก น้ำค้าง นกหนู
ค่อยๆทยอยมาอยู่เป็นเพื่อนเรา
นกเขามาขันคูให้ฟังเช้า-บ่ายโดยไม่ต้องเลี้ยงมาหลายปีแล้ว
น้ำเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
โดยเฉพาะเกษตรกรถ้าไม่มีน้ำก็แทบจนมุม
เนื่องจากผมตกทุกข์ได้ยากกับปัญหาน้ำมายาวนาน
เมื่อมีน้ำก็สนุกกับการทดลองทุกรูปแบบ
มีทั้งน้ำหยดน้ำฝอยน้ำสปริงเกอร์ ออกแบบไว้ให้ทั้งพืชและสัตว์
เมื่อมหาวิทยาลัยขอนแก่นมาชวนคิดชวนทำต่อยอดเกี่ยวกับการบริหารจัดการน้ำระดับชุมชน
ผมก็งัดผลงานที่ทำไว้รอบบ้านรอบสวนมาดู
พบว่ามีการจัดการน้ำประมาณ30รายการ
และตั้งใจว่าจะค้นหาเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาดำเนินการอีกหลายเรื่อง
ในชั้นนี้ขอเสนอรูปแบบที่ดำเนินการในชีวิตประจำวัน
30กว่ารายการมาเป็นร่องรอยเบื้องต้น