ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุหรือโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งสื่อออนไลน์ต่าง ๆ ล้วนมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของคนเรา ส่วนจะมีอิทธิพลมากน้อยเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกรับข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล นักข่าว ผู้สื่อข่าวหรือสื่อมวลชน จึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีความสำคัญต่อสังคม ต่อชุมชนและประเทศชาติ เพราะข้อมูล ข่าวสารที่นำเสนอออกไปถ้าตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความถูกต้อง ควบคู่ไปกับศีลธรรมและจรรยาบรรณ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจ การยึดถือ หรือแนวทางการปฏิบัติได้อย่างถูกต้องเป็นไปตามครรลองที่พึงปรารถนา แต่ถ้าขาดสิ่งเหล่านี้ ปัญหาสังคม ความวุ่นวายต่าง ๆ ย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาชีพนักข่าวจึงมีบทบาทสำคัญในการมีส่วนร่วมที่ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ต่อวิชาชีพและประเทศชาติในที่สุด
เส้นทางเดินของอาชีพนักข่าว เป็นวัฒนธรรมการดำเนินชีวิต ของบุคคลอีกอาชีพหนึ่ง อาชีพที่สังคมยกย่องให้เป็น “ ฐานันดรที่ 4 “ และในทุก ๆ ปีเมื่อถึงวันนักข่าวหรือวันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ ในประเทศไทย ตรงกับวันที่ 5 มีนาคม อันเป็นวันที่ได้มีการสถาปนา สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทยขึ้น วันนี้เมื่อปี พ.ศ.2498 ได้มีนักข่าวของไทยกลุ่มหนึ่งจำนวน 15 ท่านได้รวมตัวกันก่อตั้งสมาคมนักข่าวขึ้นมา โดยถือเอาวันที่ 4 มีนาคม เป็นวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี และวันรุ่งขึ้นจึงหยุดเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ ต่อมาในปี พ.ศ.2542 สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้เข้าร่วมกับสมาคมนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย กลายเป็น “ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย “ และยังคงใช้วันที่ 5 มีนาคม เป็นวันนักข่าวจนถึงปัจจุบัน
ในรอบปีที่ผ่านมาสำหรับประเทศไทยเป็นช่วงเวลาที่ดูสับสนวุ่นวาย ยากลำบากในการทำงานของนักข่าว หรือสื่อมวลชนแต่ละฝ่าย หลังการปฏิวัติเป็นต้นมา ความสับสน ความไม่แน่นอน อำนาจรัฐที่วอกแวกและไม่เข้าใจในเสรีภาพของสื่ออย่างแท้จริง อีกทั้งท่าทีที่ต้องเลือกข้างของสื่อมวลชน สิ่งเหล่านี้กลายเป็นบรรยากาศที่เลวร้าย น่ากลัว ยากที่จะตัดสินใจในการทำงานตามอุดมการณ์ของสื่อมวลชนที่ดีได้ ข่าวต่าง ๆ ที่ออกมายากที่จะแยกแยะได้ว่า อะไรคือความถูกต้อง ข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ ใครคือสื่อ ใครคือนักการเมืองที่เข้ามาทำสื่อ แม้ในปัจจุบันประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง มาจากประชาธิปไตยตามที่คนหลาย ๆ ฝ่ายหวัง แต่บรรยากาศที่กล่าวมายังไม่ได้หายไปไหนเลย แถมอาจจะเพิ่มความร้อนแรงขึ้นอีก จึงเป็นเรื่องที่สื่อมวลชนต้องตระหนักให้มากขึ้น เพราะงานของท่านมีความสำคัญต่อการตัดสินใจของเจ้าของประเทศซึ่งก็คือประชาชนส่วนใหญ่นั่นเอง
ประวัติความเป็นมาของนักข่าวในประเทศไทย กล่าวได้ว่า ในสมัยพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีหมอ ดี บี บรัดเลย์ ในคณะมิชชันนารีชาวอเมริกัน บอร์ด คอมมิชชั่นเนอร์ ฟอร์ ฟอเรนมิชชั่น เข้ามาในประเทศไทย และได้เริ่มทำหนังสือพิมพ์ขึ้นเป็นฉบับแรก เมื่อปี พ.ศ.2336 ชื่อ “ บางกอกรีคอร์ดเดอร์ส “ โดยหมอบรัดเล เป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ท่านจึงกลายเป็นนักข่าวคนแรกของไทย
ในสมัยนั้น คำว่า เสรีภาพ ยังไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนรู้จัก การเสนอข่าวให้กับประชาชนยังเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากกฎหมายในสมัยนั้นไม่เอื้ออำนวยให้นักข่าว หรือหนังสือพิมพ์ทำงานได้อย่างอิสระอย่างที่ควรจะเป็น การที่ชาวต่างชาติในเมืองไทยสมัยนั้น ได้รับสิทธิพิเศษในการที่ทำผิดแล้ว ไม่ต้องขึ้นศาลของไทย ให้ขึ้นศาลของชนชาติตนเอง ( กฎหมายสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ) ทำให้เกิดการกดขี่ ข่มเหง กลั่นแกล้ง เกิดความวุ่นวายของคนต่างชาติกับคนไทยมากมาย หมอบรัดเล เสนอข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ จนเป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ต้องปิดตัวลง
ส่วนกิจการหนังสือพิมพ์ แม้ต่อมาหนังสือพิมพ์ของหมอบรัดเลย์จะถูกปิดลง แต่กิจการหนังสือพิมพ์ในประเทศไทย เจริญรุดหน้าเรื่อยมา ผ่านยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบบประชาธิปไตย จนเข้าสู่ยุคปัจจุบัน การทำหนังสือพิมพ์ หรือการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวยังคงมีวิวัฒนาการมาโดยลำดับ จากยุคหนึ่งสู่อีกยุคหนึ่ง เป็นวัฒนธรรมหรือเส้นทางการดำเนินชีวิตของบุคคลอีกอาชีพหนึ่ง ที่มีความสำคัญต่อสังคม ไม่แพ้อาชีพอื่น ๆ ในสังคมไทยตลอดมา
ปัจจุบันข่าวสารข้อมูลกำลังกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต แต่ความจำเป็นดังกล่าวไม่ใช่เพียงเนื้อหาของข่าวเท่านั้น คนหนังสือพิมพ์ หรือนักข่าวก็มีความสำคัญ ในฐานะคนกลางที่ทำหน้าที่ส่งผ่านข่าวสารที่เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ไปยังผู้อ่านด้วยเช่นกัน จึงเปรียบเทียบได้กับกระจกเงาที่คอยสะท้อนสังคมในทุกๆ ด้านไม่เฉพาะเจาะจงเพียงด้านเดียวในแวดวงหนังสือพิมพ์ มีผู้เรียกนักหนังสือพิมพ์หรือนักข่าว ว่า "ฐานันดรที่ 4" ความหมายโดยนัยแล้วคือผู้ที่มีสถานะแตกต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วไป หรือผู้ที่มีอภิสิทธิ์ในการขีดเขียนเรื่องราวต่างๆ ผ่านสื่อมวลชน บุคคลบางกลุ่มให้ความเห็นว่าไม่ควรให้ความสำคัญ เพราะนักข่าวควรเป็นบุคคลที่อ่อนน้อมถ่อมตน สมถะก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตนเพื่อประชาชน เพื่อชุมชนและ เพื่อประเทศชาติโดยไม่มีการเรียกร้องอะไร ถ้ายังมี " วันนักข่าว " ก็แปลว่าเรายกตนเหนือคนอื่นถึงขนาดประกาศให้มีวันพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ และในอดีตได้เคยกำหนดให้เป็นวันหยุดมาแล้วด้วย เป็นการให้ความสำคัญจนเกินเหตุ แต่บุคคลอีกกลุ่มกับให้ความเห็นที่ต่างไปว่า เหตุที่ให้มีวันนักข่าว และเน้นให้เห็นความสำคัญของวันนี้ ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อตัวนักข่าวเท่านั้น สิ่งที่ต้องการคือ ย้ำให้ทุกฝ่ายตระหนักว่า นักข่าวหรือนักหนังสือพิมพ์นั้น คือ ผู้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ แทนประชาชนในระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้ใช้ปากกาและใช้หน้ากระดาษแสดงความคิดเห็นแทนประชาชน เป็นผู้สะท้อนให้สังคมได้เห็นความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
หน้าที่ของนักข่าวที่ดีจึงไม่ได้เป็นเพียงช่องทางนำเสนอข่าวสาร ตีความหมายของข่าวสาร ให้การศึกษาแก่ผู้อ่าน ชักจูงใจผู้อ่าน เป็นเวทีของการแสดงความคิดเห็น ให้สิ่งบันดาลใจ และให้การบันเทิงแก่ผู้อ่านเท่านั้น นักข่าวยังมีส่วนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีต่อทุกคนต่อสังคมโดยรวมดังได้เห็นกันอยู่ในสังคมปัจจุบัน
ในวันนักข่าวหรือวันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ จึงขออัญเชิญพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานแก่กลุ่มนักข่าวเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2514 ที่ว่า “ ...ข่าวมีความสำคัญ การเสนอข่าวก็มีความสำคัญยิ่ง การเสนอข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ไม่ใช่หมายถึงข่าวการเมือง หรือข่าวการเคลื่อนไหวของเหตุการณ์เท่านั้น แต่หมายถึงข่าวในความรู้ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตของคน......” ข้อความดังกล่าวชี้ให้เห็นความสำคัญของนักข่าวในการเสนอข่าว ฉะนั้นวันนักข่าวปีนี้จึงควรจะเป็นวันที่คนข่าวต้องประกาศจุดยืนในการทำหน้าที่นักข่าวเพื่อปวงชนอย่างมุ่งมั่น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม ตามเส้นทางวัฒนธรรมของคนข่าว ของประเทศชาติ ควบคู่ไปกับคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณของนักข่าวตลอดไป
โดย...นายวันชัย กลิ่นหอม
รองสภาวัฒนธรรม อำเภอพรานกระต่าย
ไม่มีความเห็น