ถ้ามีท่านมีอาชีพเป็นครู คงหลีกไม่พ้นที่จะต้องออกข้อสอบ ท่านเคยวิเคราะห์ข้อสอบของท่านหรือไม่ว่า มีความยากง่าย(Difficulty : P)แต่ละข้อเป็นอย่างไร มีค่าอำนาจจำแนก(Discrimination : r or D)แต่ละข้อเหมาะสมหรือไม่อย่างไร และมีค่าความเชื่อมั่น(Reliability)ของแบบทดสอบฉบับนั้น มีค่าเท่าใด สมควรนำมาใช้ทดสอบเด็กนักเรียนของท่านหรือไม่อย่างไร เพื่อเราจะได้นำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น มีมาตรฐานมากขึ้น และเป็นที่น่าเชื่อถือมากขึ้น
บางท่านอาจบอกว่า ไม่จำเป็นต้องรู้เอาไปจ้างเขาวิเคราะห์เลยง่ายดี ครับถูกต้องง่ายดีแต่เสียเงินเสียทอง ทั้งๆที่เราก็ทำเองได้ ได้ทั้งความรู้ด้วย ได้ทั้งความภูมิใจด้วย แต่ถ้าเรามาวิเคราะห์เองดู จะเกิดภูมิใจมากกว่านะครับ ว่านี้เป็นฝีมือของเรา ไม่ต้องใช้โปรแกรมสำเร็จรูปหรอกครับ ใช้เครื่องคิดเลขคำนวณสนุกกว่า เครื่องคิดเลขไม่มี ใช่โปรแกรมเอ็กเซล(EXEL)ช่วยได้
บทที่ 1 การคำนวณหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ
ความยากง่ายของข้อสอบ คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร
ความยากง่ายของข้อสอบข้อหนึ่ง ๆ หมายถึง สัดส่วนของจำนวนคนที่ทำข้อสอบข้อนั้นถูกต่อคนที่เข้าสอบทั้งหมดนั่นเอง (กระทรวงศึกษาธิการ , 2550 : 242) โดยใช้สูตร
P = R/N หรือ P = R/N X 100%
เมื่อ P แทน ระดับความยากง่ายของข้อสอบ
R แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบข้อนั้นถูก
N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมดที่เข้าสอบ
มาลองทำแบบฝึกหัดกันเถอะ
คุณครูนุรักษ์ นำแบบทดสอบกลางภาควิชา การขับร้องประสานเสียงเบื้องต้น 1 (ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1) 30 ข้อ มาวิเคราะห์หาค่าความยากง่ายเป็นรายข้อ สมมุติว่า
ข้อ 1 มีนักเรียนตอบถูก 70 คน จากนักเรียนที่เข้าสอบ 100 คน จงหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบข้อ 1
จากสูตร P = R/N
แทนค่าในสูตร R = 70
N = 100
ดังนั้น P = 70/100 = 0.70
แสดงว่า แบบทดสอบวิชา การขับร้องประสานเสียงเบื้องต้น 1 ข้อที่ 1 มีค่าความยากง่ายเป็น 0.70
ข้อ 2 มีนักเรียนตอบถูก 10 คน จากนักเรียนที่เข้าสอบ 100 คน จงหาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบข้อ 2
จากสูตร P = R/N
แทนค่าในสูตร R = 10
N = 100
ดังนั้น P = 10/100 = 0.10
แสดงว่า แบบทดสอบวิชา การขับร้องประสานเสียงเบื้องต้น 1 ข้อที่ 2 มีค่าความยากง่ายเป็น 0.10
เมื่อทราบค่าความยากง่ายแล้ว จะแปลผลอย่างไร
ไม่ยากครับก็ดูค่า P ที่คำนวณได้นั่นเอง มีหลักการแปลผลดังนี้ครับ
1. ถ้าค่า P มีค่า 0.00 - 0.19 แสดงว่า ข้อสอบยากมาก
2. ถ้าค่า P มีค่า 0.20 - 0.39 แสดงว่า ข้อสอบยาก
3. ถ้าค่า P มีค่า 0.40 - 0.49 แสดงว่า ข้อสอบค่อนข้างยาก
4. ถ้าค่า P มีค่า 0.50 แสดงว่า ข้อสอบยากง่ายพอเหมาะ
5. ถ้าค่า P มีค่า 0.50 - 0.60 แสดงว่า ข้อสอบค่อนข้างง่าย
6. ถ้าค่า P มีค่า 0.61 - 0.80 แสดงว่า ข้อสอบง่าย
7. ถ้าค่า P มีค่า 0.80 - 1.00 แสดงว่า ข้อสอบง่ายมาก
ดังนั้นทางวงวิชาการด้านงานวิจัย เขาจึงกำหนดเกณฑ์ไว้ว่า แบบทดสอบที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือในการวิจัยนั้น ต้องมีค่า P = .20 - .80 เท่านั้น
จากผลการคำนวณหาค่า P ของคุณครูนุรักษ์ แสดงว่า
แบบทดสอบข้อ 1 มีค่า 0.70 เป็นข้อสอบง่าย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้
แบบทดสอบข้อ 2 มีค่า 0.10 เป็นข้อสอบยากมาก ไม่เหมาะที่จะนำไปใช้ในการวิจัย ควรนำไปปรับปรุงหรือตัดทิ้งไป
วันนี้ขอเสนอแนะ ความรู้เกี่ยวกับการสร้างเครื่องมือวิจัยเพียงเรื่องเดียวก่อนคือ การหาค่าความยากง่าย(Difficuty : P)ของแบบทดสอบ
หวังว่า ความรู้เล็กๆ น้อยๆ คงเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อย หากผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญท่านใดพบว่า ข้อมูลที่นำเสนอยังไม่ถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักวิชาการ กรุณาเสนอแนะด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ
บทที่ 2 การคำนวณหาค่าอำนาจจำแนก
แบบทดสอบที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือวิจัย นอกจากพิจารณาค่าความยากง่ายแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่ไปด้วยคือ อำนาจจำแนก
อำนาจจำแนก(Discrimination : r or D) หมายถึง ความสามารถของเครื่องมือในการจำแนกกลุ่มตัวอย่างออกเป็นกลุ่มตามลักษณะของกลุ่มตัวอย่าง เช่น จำแนกนักเรียนที่เรียนเก่งกับนักเรียนที่เรียนอ่อน จำแนกกลุ่มที่มีเจตคติทางบวกกับกลุ่มที่มีเจตคติทางลบ เป็นต้น(กระทรวงศึกษาธิการ, 2550 : 232)
การหาค่าอำนาจจำแนกมีหลายสูตร วันนี้ขอเสนอแนะสูตรง่าย ๆ อุ่นเครื่องก่อนนะครับ
ข้อสอบปรนัย จัดเป็นเครื่องมือในการวิจัยที่ตรวจให้คะแนนเป็นแบบให้ 1(เมื่อทำถูก) และให้ 0 (เมื่อทำผิด) ใช้สูตรในการคำนวณดังนี้ครับ
D = Ru - RL / (N/2)
เมื่อ D แทน อำนาจจำแนก
Ru แทน จำนวนนักเรียนที่ทำถูกในกลุ่มเก่ง
RL แทน จำนวนที่ทำถูกในกลุ่มอ่อน
N แทน จำนวนนักเรียนกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อนรวมกัน
จากสูตรพบว่า มีข้อความที่บอกว่า "นักเรียนกลุ่มเก่ง" "นักเรียนกลุ่มอ่อน" มาเกี่ยวข้อง นักเรียนกลุ่มเก่งคือใคร หาได้อย่างไร นักเรียนกลุ่มอ่อนคือใคร หาได้อย่างไร ไม่ยากครับ มีวิธีการดังนี้
1. ในการหาจำนวนนักเรียนกลุ่มเก่ง และกลุ่มอ่อน ต้องนำกระดาษคำตอบที่ตรวจให้คะแนนแล้วของนักเรียนที่เข้าสอบทั้งหมด มาเรียงลำดับจากมากไปหาน้อยก่อน
2. แล้วตัดเอาจำนวน 1/3 ของจำนวนทั้งหมด เป็นกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน (บางครั้งนิยมตัดแบบ 50% แบ่งครึ่งกลุ่มเก่ง 50% และกลุ่มอ่อน 50%)
ตัวอย่าง สมมุติว่า มีนักเรียนเข้าสอบ 10 คน เข้าสอบวิชา ทัศนศิลป์ 2 จำนวน 10 ข้อ คะแนนเต็ม 10 คะแนน เมื่อตรวจให้คะแนนแล้ว นำกระดาษคำตอบมาเรียงลำดับจากคะแนนมากไปหาน้อย ได้ดังนี้
คนที่ | คะแนน |
1 | 3 |
2 | 5 |
3 | 7 |
4 | 8 |
5 | 4 |
6 | 8 |
7 | 7 |
8 | 9 |
9 | 7 |
10 | 7 |
ข้อ | 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | รวม |
คน | |||||||||||
1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 1 | 9 |
2 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 8 |
3 | 1 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 8 |
4 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 1 | 0 | 1 | 1 | 1 | 8 |
5 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 1 | 7 |
6 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 0 | 1 | 7 |
7 | 1 | 1 | 1 | 0 | 1 | 1 | 1 | 1 | 0 | 0 | 7 |
8 | 1 | 0 | 0 | 0 | 1 | 0 | 1 | 0 | 1 | 1 | 5 |
9 | 1 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 1 | 0 | 0 | 4 |
10 | 0 | 0 | 0 | 1 | 1 | 0 | 1 | 0 | 0 | 0 | 3 |
รวม | 9 | 8 | 7 | 5 | 9 | 3 | 7 | 5 | 6 | 7 | 66 |
จะได้นักเรียนคนที่ 1-5 เป็นกลุ่มเก่ง(RU =5) และนักเรียนคนที่ 6-10 เป็นกลุ่มอ่อน(RL =5 ) แสดงว่า กรณีนี้ใช้วิธีตัดแบบ 50%
ถ้าต้องการตัดหากลุ่มเก่ง และกลุ่มอ่อน แบบตัด 1/3 ก็จะได้ 1/3x10=3.33(ตัดทศนิยมออก เพราะฉะนั้น กลุ่มเก่ง (RU =3) : นักเรียนคนที่ 1,2,3 นั่นเอง ส่วนกลุ่มอ่อน(RL =3) : นักเรียนคนที่ 8,9,10)
ผมเลือกใช้วิธีแบบตัด 1/3 มาใช้ในการคำนวณ ดำเนินการดังนี้ครับ
1. ตัด 3 คนแรกเป็นกลุ่มเก่ง(RU) นำกระดาษคำตอบมาลงคะแนนรายข้อ
ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 รวม
คนที่
1 1 1 1 1 1 1 1 0 1 1 9
2 1 1 1 1 1 0 1 0 1 1 8
3 1 1 1 1 1 0 1 0 1 1 8
รวม 3 3 3 3 3 1 3 0 3 3 25
2. ตัด 3 คนสุดท้ายเป็นกลุ่มอ่อน(RL) นำกระดาษคำตอบมาลงคะแนนรายข้อ
ข้อ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 รวม
คนที่
1 1 0 0 0 1 0 1 0 1 1 5
2 1 1 0 0 1 0 0 1 0 0 4
3 0 0 0 1 1 0 1 0 0 0 3
รวม 2 1 0 1 3 0 2 1 1 1 12
จงหาค่าอำนาจจำแนกของข้อสอบ ข้อ 1,2,5,8
จากสูตร D = Ru - RL / (N/2)
ตัวอย่างการคำนวณหาค่าอำนาจของข้อสอบ ข้อที่ 1 จะคำนวณได้ดังนี้
(D1) = Ru - RL / (N/2)
Ru = 3, RL = 2, N = 3+3=6
แทนค่าในสูตร D1 = 3-2/(6/2)
= 1/3
= 0.33
ตัวอย่างการคำนวณหาค่าอำนาจของข้อสอบ ข้อที่ 2 จะคำนวณได้ดังนี้
(D2) = Ru - RL / (N/2)
Ru = 3, RL = 1, N = 3+3=6
แทนค่าในสูตร D2 = 3-1/(6/2)
= 2/3
= 0.67
ตัวอย่างการค่าอำนาจของข้อสอบ ข้อที่ 5 จะคำนวณได้ดังนี้
(D5) = Ru - RL / (N/2)
Ru = 3, RL = 3, N = 3+3=6
แทนค่าในสูตร D5 = 3-3/(6/2)
= 0/3
= 0
ตัวอย่างการคำนวณหาค่าอำนาจของข้อสอบ ข้อที่ 8 จะคำนวณได้ดังนี้
(D8) = Ru - RL / (N/2)
Ru = 0, RL = 1, N = 3+3=6
แทนค่าในสูตร D8 = 0-1/(6/2)
= -1/3
= - 0.33
เมื่อคำนวณได้ค่า D แล้วก็นำมาแปลผล ดังนี้ครับ
1. ถ้าค่า D เป็น 1.00 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้ดีเลิศ
2. ถ้าค่า D เป็น 0.80-0.99 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้ดีมาก
3. ถ้าค่า D เป็น 0.60-0.79 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้ดี
4. ถ้าค่า D เป็น 0.40-0.59 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้ปานกลาง
5. ถ้าค่า D เป็น 0.20-0.39 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้เล็กน้อย
6. ถ้าค่า D น้อยกว่าหรือเท่ากับ 0.19 แสดงว่า ข้อสอบไม่สามารถจำแนกได้เลย
จากผลการคำนวณหาค่า D ของข้อสอบวิชาทัศนศิลป์ 2 ของคุณครูนุรักษ์ พบว่า
ข้อสอบข้อ 1 ค่า D = 0.33 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้น้อย แต่สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้(เพราะค่า D อยู่ในเกณฑ์ที่วงวิชาการยอมรับได้)
ข้อสอบข้อ 2 ค่า D = 0.67 แสดงว่า ข้อสอบสามารถจำแนกได้ดี สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้(เพราะค่า D อยู่ในเกณฑ์ที่วงวิชาการยอมรับได้)
ข้อสอบข้อ 5 ค่า D = 0.00 แสดงว่า ข้อสอบไม่สามารถจำแนกได้เลย สมควรตัดทิ้งหรือนำไปปรับปรุง (เพราะค่า D ต่ำกว่าเกณฑ์)
ข้อสอบข้อ 8 ค่า D = - 0.33 แสดงว่า ข้อสอบไม่สามารถจำแนกได้เลย สมควรตัดทิ้งหรือนำไปปรับปรุงใหม่(เพราะค่า D ต่ำกว่าเกณฑ์)
โดยทั่วไปแล้วก่อนนำแบบทดสอบไปใช้ในการวิจัยจริงๆ จะต้องพิจารณาควบคู่กันไปทั้งค่าความยากง่าย(P)และค่าอำนาจจำแนก(D) ของข้อสอบขั้อนั้นๆ ข้อสอบที่เหมาะสมที่จะนำไปใช้ในการวิจัยต้องผ่านเกณฑ์ยอมรับทั้ง 2 เกณฑ์ คือ ค่าความยากง่าย(P) ต้องอยู่ระหว่าง .20 - .80 และค่าอำนาจจำแนก(D) ต้องอยู่ระหว่าง .20 - 1.00
สมมุติว่า เราคำนวณค่า P และ ค่า D ของข้อสอบข้อ 1 แล้วได้ค่า P=0.70 ,D=0.33 อยากทราบว่า ข้อสอบข้อ 1 เป็นข้อสอบที่สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
คำตอบคือ นำไปใช้ได้ เพราะว่า ทางวิชาการตั้งเกณฑ์ไว้ว่า ค่า P ควรอยู่ระหว่าง 0.20 - 0.80 และค่า D ควรอยู่ระหว่าง 0.20-1.00 (ผลการวิเคราะห์ข้อสอบข้อ 1 : P=0.70, D=0.33 แสดงว่า ผ่านเกณฑ์ทั้ง 2 เกณฑ์ที่ทางวิชาการกำหนด ดังนั้น ข้อสอบข้อ 1 จีงเป็นข้อสอบที่สามารถนำไปใช้ในการวิจัยได้)
ลองนำแบบทดสอบที่ท่านใช้ มาลองคำนวณดูนะครับ ท่านจะได้เห็นว่า ข้อสอบของท่านนั้น บางข้อก็เจ๋งสุดๆ (เช่น กลุ่มเก่งทำถูก กลุ่มอ่อนทำผิด เป็นต้น) แต่ข้อสอบบางข้อก็แย่อยู่เหมือนกัน (เช่น กลุ่มเก่งทำผิด แต่กลุ่มอ่อนกลับทำถูก เป็นต้น) ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ คัด แล้วท่านก็จะได้ข้อสอบที่ดี มีคุณภาพที่น่าเชื่อถือไว้ใช้กับนักเรียนที่น่ารักน่าชังของท่านในรุ่นต่อ ๆ ไป ครับผม (ต้องการติดต่อครูนุรักษ์ มือถือ 089-7174088, 087-2485992) ครั้งต่อไปจะนำเสนอวิธีการหาค่าความเชื่อมั่น(Reliability)ของแบบทดสอบทั้งฉบับ สวัสดีครับ
เป็นบทความที่ดีมากค่ะกำลังหาค่าความยากง่ายของข้อสอบอยู่เลยค่ะขอบคุณนะคะ
สามารถศึกษาเพิ่มเติมจากหนังสือวิจัยทั่ว ๆ ไปได้