ผมคงไม่ใช่นักบันทึกที่ดีเท่าไหร่นัก เพราะตั้งแต่เรียนจบ ผมเองก็ผละออกจากโลกภายนอกเข้าวัดไปเดือนกว่าๆ และเมื่อกลับมาสู่เส้นทางกิจกรรมอีกครั้งก็ปรับเปลี่ยนสถานะการทำงาน จากการเป็นเพียงนิสิตก็รู้สึกจะเติบใหญ่ขึ้นเป็นเจ้าหน้าที่ไปซะแล้ว แต่ก็ยังดีที่คงอยู่กับการทำกิจกรรมอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่กลุ่มไหล ของเราตอนนี้ต่างฝ่ายต่างก็แยกย้ายกันไปตามวิถีแห่งชีวิตตนเองยังคงไม่หวนกลับมาเป็นกลุ่มก้อนได้เหมือนดังแต่ก่อน
อย่างไรก็ดีหลังจากที่ผมพยายามคิดหาแนวทางที่ว่าเราจะทำอย่างไรให้การทำงานนั้นเป็นธรรมชาติกับอัตลักษณ์ของตัวเองมากที่สุด บอสส (พี่พนัส) ก็พยายามเต็มที่ในการคิดหารูปแบบกิจกรรมให้สอดคล้องกับสังคม (จนเครียด) แล้วก็มีแนวความคิดเรื่องทอดเทียนในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งจุดประสงค์หลักของงานนี้มี หลักใหญ่ๆอยู่ว่า เป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันแม่แห่งชาติ และเป็นการสืบทอดประเพณีอีสานในการทอดเทียนระหว่างช่วงพรรษา พร้อมกับการปลูกฝังให้นิสิตได้เป็น “ลูกในบ้าน ว่านในสวน” ของชุมชน
ผมเองก็พยายามเต็มที่ในการสรรหาเงินต้นทุนให้กับองค์กรต่างๆที่พร้อมกันไปทอดเทียนในพรรษากว่า 19 องค์กร เป็นเงินตั้งต้น องค์กรละ 1,500 บาท โดยหลักๆเป็นส่วนของสโมสรนิสิต องค์การนิสิต สภา แล้วก็กลุ่ม ชมรมต่างๆ แล้วทุกคนก็ร่วมกันจัดหางบประมาณเพิ่มเติมกันเองตามวิถีของกิจกรรม มมส (ขอรับบริจาค) แต่ในส่วนของผมเองนั้นก็วางไว้ว่าเราจะยกบุคลากรของงานกองกิจ และผู้ที่สนใจทั้งหมดไปร่วมกันถวายเทียนที่วัดกู่แก้ว ด้วยการตั้งโจทย์ให้กับตัวเองว่าจะไม่มีเงินตั้งต้นเลยสักบาท ซ้ำยังจะหาเพิ่มให้กับองค์กรนิสิตที่สนใจแต่ทุนทรัพย์ไม่พออีกต่างหาก จึงเกิดการตั้งต้นผ้าป่า ขอรับบริจาคทุนทรัพย์จากผู้มีจิตศรัทธาขึ้น ภายกองกิจการนิสิตก่อน
ช่วงแรก บอสสพนัสเราก็เปิดโปรโมชั่นด้วยการแจกหนังสือ “เรียนนอกฤดู” ผลงานการเขียนของท่านเอง ให้เป็นที่ระลึกกับผู้ที่บริจาคเกิน 50 บาทขึ้นไปสำหรับคนกองกิจ พร้อมกับ นำต้นผ้าป่าไปรบกวนบอกบุญ ยังกลุ่ม นบก.รุ่น1-3 โดยยังให้หนังสือเป็นที่ระลึกเหมือนเดิมแต่ขอเพิ่มค่าตั้งต้นเป็นคนละ 100 บาทขึ้นไป (ขอหักค่าต้นทุน 50 บาท จากราคาขาย 100) รวมแล้วครั้งนี้เราได้ยอดเงินบริจาค กว่า 2,800 บาท
เท่านั้นคงยังไม่พอเท่าไหร่สำหรับวิถีที่เราเคยทำมา เราจึงใช้วิธีการแบบพื้นบ้านและเรียบง่ายท่ามกลางสายฝนที่ผิวแผ่วลงมาให้ความชุ่มฉ่ำตลอดสายด้วยการ ขับลำ เป็นกลอนยาว ขอรับบบริจาคกับชาวตลอดน้อย (ชุมชนแห่งการพึ่งพาของเรา) ด้วยทีมงานที่ผมเองพยายามชักชวนน้องๆนิสิตมาด้วยใจที่บริสุทธ์ในการทำงาน เพียงแค่ เวลาสามสิบกว่านาที ที่เราเดินร้องลำอยู่ในตลอดน้อยแห่งนี้ ทั้ง พ่อค้า แม่ขาย หญิงชายชาวนิสิต มมส ก็ร่วมกันทุ่งเทพลังศรัทธาผ่านสายฟ้าฝน เป็นเงินกว่า 3,050 บาท
เตรียมตัวก่อนไปรับบริจาค (ไหว้อ้อยอครู)
ทีมงานขอรับบริจาค (กลุ่มไหลบางส่วน)
เงินเยน
ผมเองก็ทั้งร้องทั้งเล่นอยู่กับพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบโดยก็ไม่ได้รู้หรอกว่าการขอรับบริจาคในครั้งนี้มันสมควรไหม ? แต่ที่ผมทำทั้งหมดก็เพียงเพราะว่าใจที่รักในการทำแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรมา หากเป็นการได้ร่วมทุกข์สุขกับเหล่านิสิตที่เป็นน้องๆที่เคยร่วมกันทำงานมา ผมว่านี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่ผมเองภูมิใจในการเป็นนิสิตมาก่อน ไม่ได้มัวนั่งห่วงภาพพจน์ของตัวเองเท่าใดนัก วันนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งครั้งที่ผมนอกกรอบแบบหากรอบไม่ได้อีกแล้ว แต่ด้วยศรัทธาผมจึงกล้าที่จะนอกมันออกไป ขอขอบคุณทุกท่านที่ยังคงเรียกผมว่าโฆษกนักขออยู่เหมือนเดิม และผมก็ยงเป็นขุนแผ่นดินเย็นที่ยังให้บอสสต้องชี้นำอยู่เหมือนเดิม ทั้งๆที่น่าจะชี้ชัดตัวเองได้แล้ว
เรื่องบางเรื่อง...ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราต้องลงมือเอง..
เราต้องนึกว่า ตอนนี้ ตัวเองมีอะไรเป็นเครื่องมือบ้าง..
นิสิต สามารถทำแทนเราได้ เราก็ต้องสวมบทบาทเหมือนที่พี่เคยทำ คือ ดูแล ติดตาม..และอยู่ข้างๆ ในยามลงพื้นที่
การเป็นเจ้าหน้าที่ใหม่ ย่อมได้เปรียบคนแก่ชราก็ตรงมีน้องนุ่งเป็นเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรม สิ่งนี้เราต้องพิสูจน์ ว่าเรามี...และมีอยู่จริง...พวกเขาไม่ใช่คนของเรา แต่เป็นผู้ร่วมชะตากรรม...เป็นคนที่เราต้องสร้างเรื่อง "จิตอาสา" ...
แท้ที่จริงแล้ว...พี่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เราต้องถอดหัวโขนไปทำเช่นนั้นเสียทั้งหมด แต่กำลังดูว่า ในฐานะเจ้าหน้าที่นั้น เรามีมุมคิดและพลังเคลื่อนได้มากแค่ไหน...เพียงใจนำพา..ศรัทธานำทาง...(หรือยัง)
....
กรณี หนังสือนั้น
มันเป็นเครื่องมือหนึ่งที่สร้างมา โดยคิดล่วงหน้าแล้วว่า จะนำมาใช้ในเทศกาลต่างๆ ...
สำหรับ จนท.ในองค์กร ไม่มีความจำเป็นต้องหักต้นทุนใดๆ..
แต่สำหรับ จนท.นอกองค์กร จำเป็นต้องหักค่าต้นฉบับ เพราะคนละกลุ่มเป้าหมายเท่านั้นเอง
จากนี้ไป ..
หากต้องนำหนังสือเล่มนี้ไปเป็นเครื่องมือแก่นิสิต...ใครบริจาคมากกว่า 50 บาทขึ้นไป ก็แจกหนังสือนี้เป็นที่ระลุกแก่พวกเขา ก็ถือว่าเป็นเรื่องไม่เสียหาย อย่างน้อย เขาควักเงินเพิ่มขึ้นจากที่นิยมบริจาค 20 มาเป็น 50-70 บาทแล้ว ได้หนังสือไปอ่านสักเล่ม พี่ว่าคุ้มสุดคุ้ม
อย่างน้อยก็ได้อ่านเรื่องของตัวเอง...
บางครั้ง เราซื้อกาแฟดื่มในแต่ละวัน-เหล้าปั้นในแต่ละเหยือก มันก็ยังแพงกว่าหนังสือที่แจกและขายเลยด้วยซ้ำไป
....
นักกิจกรรม กับนักกิจการ..มันต่างกันเยอะเลย
มีต้นทุนอยู่ในตัว...ต้องใช้ให้คุ้ม...
เรียนรู้ตอนนี้อย่างสุดชีวิต คือสิ่งที่ดีที่สุด เพราะหากอะไรพลิกผัน ...ตัวเอง จะได้ยืนได้ด้วยตัวเอง
เพราะพี่ๆ ..ก็คงดูแลพวกเราได้ไม่นาน นักหรอก
มาเป็นกำลังใจให้น้องรัก
สู้ ๆ ให้สูเจ้าสู้ต่อไป
เปะที่สุด
ถ้าเป็นนู๋นะ
คงป่วงอีกนาน