ใจมันตื่น สมองยังเลื่อนไหล แต่มือมันสับสน เลยหยุดเงียบหายไปหลายวัน แต่ตากับใจก็ยังเปิดดูอยู่เรื่อยๆ มากบ้างน้อยบ้าง ตามเวลาของคนที่ไม่ค่อยได้เปิดจอเครื่องคอม
อ่านเรื่องเคเอ็ม ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจ คงมีแต่ความสนใจ ซึ่งตัวเองก็ไม่ได้สังกัดองค์กรใด เมื่อมองว่าการจัดการความรู้ เป็นการจัดการเพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์ผลกับองค์กร ด้วยการนำเอาชีวิต จิตวิญญาณของคนที่กระทำกิจกรรมในการดำรงชีพ ด้วยความจริงใจมีหัวใจที่จะทำในสิ่งที่ตนทำหน้าที่อยู่ให้ดีที่สุด อย่างมีความสุข และมีความหวัง โดยผลสำเร็จขององค์กรเป็นสิ่งที่ปราถนา
เหมือนกับมีบุญหนุนนำ เมื่อเดือนที่แล้ว ได้เข้าร่วมกิจกรรมการจัดการเรียนรู้ของจังหวัดชุมพร ซึ่งมีอาจารย์ไอศูรย์ ภาษยวรรณ์ เป็นวิทยากรหลัก ตอนแรกๆที่นั่งฟังการบรรยาย รู้สึกว่ามองเคเอ็มเป็นภาพกว้าง แต่เมื่อมานั่งย้อนความหลังที่ประทับใจ รู้สึกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตมากมายที่เรารู้สึกประทับใจ ยิ่งพอมีเวลาได้อ่านข้อแนะนำจากอาจารย์ วิจารณ์ พานิช ความเข้าใจก็เพิ่มเติมขึ้นมามาอีกมาก หลายเรื่องที่ตัวเองเข้าไปสัมผัสล้วนมีความประทับใจทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเกิดกลุ่มกล้วยหอมทองที่ละแม กับสหกรณ์ผู้บริโภคในประเทศญี่ปุ่น ที่เขียนนำเสนอไว้ในบล้อกก่อนหน้านี้ การได้สัมผัสกับครูอุดมการณ์ด้านการศึกษาทางเลือกที่ละแม การร่วมงานกับทีมงานประชาสังคมชุมพร อะไรก็แล้วแต่ การรำลึกภาพชีวิตของเราย้อนหลัง อย่างตั้งใจ ทำให้เราเกิดความเข้าใจ ต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละช่วง แต่ละตอนเป็นอย่างดียิ่ง
โดยเฉพาะ ถ้าเรานั่งเงียบๆตั้งสติให้ดีแล้ว จะมีภาพความงดงามแห่งอดีต ล่องลอยวนเวียนล้อมรอบ จิตใจเรามากมายเหลือเกิน
เมื่อคิดว่า ณ วันนี้เราไม่มีองค์กร ที่สังกัด แต่ เรามีชีวิตที่จะต้องตื่น ยืน เดิน นั่ง ทำอะไรก้ได้ สุดท้ายพักผ่อน และ นอนหลับ และก็ตื่น วนเวียนอยู่อย่างนี้ ทุกวี่ทุกวัน จนกว่า จะมีอะไรก็ไม่รู้ ทำให้เราหยุดหายใจ และหยุดการใช้ชีวิต นิรันด์
เลยนั่งเรียบเรียงตัวเองว่า เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา ในสวนของเราก็ได้ทำกิจกรรมต่างๆเหมือนกับสวนของเพื่อนบ้านทั่วไป คือ ไถพรวน ฉีดยา กำจัดวัชชพืช แต่แล้วเมื่อจู่ๆ เราหยุดการใช้สารเคมีในสวนของเราโดยสิ้นเชิง ทำใมจึงเป็นเช่นนั้น เพราะอะไร เราเกิดความรู้สึกอยากรักษาต้นไม้ที่มันงอกเงยขึ้นมาบนดิน และต้นไม้ต้นนั้นเราไม่เคยเห็นมาก่อน กอใผ่ ริมหนองน้ำ เราปล่อยให้เจริญเติบโตโดยไม่ทำลาย เราเริ่มเลี้ยงผึ้งโพรงด้วยความรู้สึกผูกพัน เราเริ่มฝึกทำในสิ่งที่เราไม่เคยทำหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ทุกสิ่งที่เราทำ เราจำภาพที่บรรพบุรุษ เคยปฏิบัติให้เราเห็นตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นการเผาถ่าน การนำถ่านไม้มาใช้ในครัวเรือน การนำสมุนไพรมาปลูก และทดลองใช้ทดลองกิน ไม่ว่าจะเป็น รางจืดเถา ย่านาง ฟ้าทะลายโจร เคเอ็ม ต้องรวบรวมมาจากวิธีปฏิบัติ ดังนั้นทุกอย่างที่ปฏิบัติจึงถูกนำมาเรียบเรียงไว้ในระบบความคิด
เมื่อสามวันที่ผ่านมาขี่มอร์เตอร์ไซด์ไปเยี่ยมญาติ ในหมู่บ้านไกล้กัน พบว่าพวกเขากำลังมีสีหน้าเป็นทุกข์ สาเหตุเพราะหลานชายวัยรุ่น ไม่กลับบ้าน จากการรับฟังในเวทีเสวนากลุ่มเครือญาติสรุปได้ว่า หลานชาย วัยรุ่นคงจะหนีไปเที่ยวชนิดไม่สนใจว่าใครจะเป็นห่วงอย่างใร ถัดมาอีกวันไปซื้อของในตลาดได้ยินคนขับรถ ที่ทำหน้าที่ขับรถรับส่งนักเรียน จากหมู่บ้านต่างๆไปส่งโรงเรียนในเมือง คุยกันว่า เด็กนักเรียนที่นั่งบนรถ เมื่อมาถึงกลางทาง จะมีอยู่กลุ่มหนึ่ง ลงจากรถโดยไม่ไปถึงโรงเรียน แต่ตอนเย็น เมื่อรถมารับกลับบ้านเด็กเหล่านั้นก็จะขึ้นรถกลับบ้านตามปกติ
รับฟังตามประสาคนเคเอ็ม คือชอบฟัง แต่ฟังแล้วถือว่าเป็นเรื่องปกติของสังคมในวันนี้ เพราะข่าวคราวที่ออกมานำเสนอ ทั้งทางทีวี ทางวิทยุ มันเป็น พฤติกรรมสังคมที่เกือบเป็นปกติ ของรายงานข่าวในยุคปัจจุบัน
ตอนเย็นก่อนที่จะคันมือคันไม้ กลับมาบันทึก ฉบับนี้ ได้ไปเจอหนุ่มคนหนึ่งเป็นคนที่รู้จักสนิทสนมกัน กำลังนั่งขมักเขม้นเขียนคำตอบลงในสมุด เข้าไปนั่งคุยไกล้ๆอยู่พักหนึ่ง แกก็ยังคร่ำเคร่งเขียนบันทึกลงในสมุด อดใจไม่ได้เลยถามว่าทำอะไรอยู่ แกบอกว่า กำลังทำงาน และบอกต่อไปว่า ทำการบ้านให้เด็ก ก็ไม่ได้สนใจอีกนั่นแหละ แต่แกพูดขึ้นเองว่า แย่นะสมัยนี้เด็กมันก้าวหน้าถึงกับจ้างทำการบ้านกันแล้ว
ผมสะดุ้งในใจ นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีที่ผ่านมา ที่เคยมีเพื่อนเปิดบริการรับจ้างทำ (ว ) และ ผมช่วยพิมพ์ ช่วยเย็บรูปเล่ม ทำมาหากินกัน ด้วยความสนุกสนาน ตามแต่ใครจะจ้าง แต่แล้ว ณ วันนี้ สิ่งเหล่านั้นมันจะลงสู่สายเลือดอย่างล้ำลึกขนาดนี้เชียวหรือ
กลับมาบ้าน ยืนดูต้นเงาะที่ ผลแดงเรื่อห้อยอยู่เต็มต้น คิดว่าจะเก็บไปขายก็เสียเวลา เพราะพวกพ่อค้าข้างถนนยืนโบกมือรับซื้อ กิโลกรัมละ 3 บาท ผมปลูกเงาะไว้เพียง 6 - 7 ต้น ไม่มากมาย แต่เมื่อมันเป็นลูก ก็กินไม่หมด เมื่อไม่ได้ขายก็ไม่เป็นไร เพราะมันไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย
หัวปลาของเคเอ็ม เกิดขึ้น จากความรำลึกย้อนหลัง ทำให้มองภาพความต้องการของตัวเอง ได้ชัดเจน และเขียนขึ้นมา
ฟื้นน้ำ เราพยายามทำอย่างดีที่สุดตามกำลังทรัพย์ของตัวเอง
ฟ้นดิน เรางดการใช้เคมีทุกชนิด 10 กว่าปีมาแล้ว และ ณ วันนี้เรา พบไส้เดือนดิน ที่มีความสมบูรณ์ และรู้สึกว่ามันมีความสุขที่จะเป็รถไถให้กับเราตลอดกาล
ดับบ้าน ลูกหลาน ต้องเรียนรู้สิ่งที่อยู่รอบตัว อย่างเข้าใจ เรียนรู้หน้าที่ในการเกิดมาเป็นคน
ดับถิ่น เราต้องอนุรักษ์ ให้ได้ พืชประจำถิ่น สัตว์ที่เคยมีอยู่ นก ตะกวด ไก่ป่า กุ้งหอย ปู ปลาในหนอง เราจะไม่ปล่อยให้ใครแอบเข้ามาทำลายเหมือนที่ผ่านมา
คืนกลับชุมชน อย่างน้อย ก็มีอะไรให้ลูกหลานได้รับรู้ และเข้าใจ ว่าชุมชนที่เราอยู่นี้ความจริงคืออะไร
เรื่องการจัดการความรู้ ทำให้เราเกิดระบบคิดได้ดีจริงๆ ขอบคุณ ทุกท่านที่ให้ความกระจ่างครับ
...แม่นแล้ว..ฟื้นน้ำ ฟันดิน(ไม่ต้องฟันจะดีกว่า)ตับบ้านตับถิ่น(ชอบมาก)คืนกลับชุมชน..ฝากความคิดถึงๆธนาคารต้นไม้และชุมพร..ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขและโชคดี..ยายธี
ขอชื่นชมมา ณ ที่นี้ด้วยจิตคารวะในความจริงใจที่พี่โอภาสได้ถ่ายทอดเรื่องราวดี ๆ ให้พวกเราได้เรียนรู้กัน...