"ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนในเมืองไทยกำลังขาดความสุขที่ควรจะได้
จากบุญที่เกิดเป็นมนุษย์ในเมืองพุทธ "
เมื่อผู้เขียนได้รับเมลจากกัลยาณมิตรรู้ใจท่านหนึ่ง สะดุดตากับประโยคนี้แล้วยิ่งอ่านชื่อผู้เขียนพระชยสาโร ภิกขุ หรือนามเดิมคือ ฌอน ชิเวอร์ตัน ( SHAUN CHIVERTON ) ซึ่งเป็นชาวอังกฤษ ยิ่งทำให้รู้สึกทึ่งต้องตามอ่านต่อไป
ท่านได้กล่าวว่า...มนุษย์อยากสุขแต่ไม่รู้จักสุข อยากหนีทุกข์แต่ไม่รู้จักทุกข์ สุ่มสี่สุ่มห้าเดินคลำไปคลำมาในความมืด เอาความหวังในความสุขข้างหน้าเป็นที่ปลอบใจ
จริงด้วยสิ...อย่าพึงวุ่นวายกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นหรือผ่านไปแล้ว ให้จิตใจสันโดษเรียบง่ายในอารมณ์ปัจจุบัน ทำสิ่งที่ถูกต้องในปัจจุบัน แก้ไขสิ่งบกพร่องไปเรื่อยๆ เท่าที่จะแก้ได้
ถ้าเราปลุกตนเองให้ตื่นอยู่กับความจริงอย่างนี้ อารมณ์จะขึ้นจะลงบ้างก็ไม่เป็นปัญหาทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏบนเวทีแห่งละครชีวิตก็ล้วนเป็นอาการของความจริงทั้งนั้น
โดยปกติชีวิตของมนุษย์ไม่เป็นสุขเพราะหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ ว่าเป็นเรา เป็นของเรา การฝึกให้เห็นสิ่งทั้งหลายตามความจริงถอดถอนอุปาทาน จนจิตเป็นอิสระพ้นจากบีบคั้นของกิเลสคือการเข้าถึงความสุขที่แท้จริง
พรุ่งนี้จะเป็นวันพระขอฝากข้อคิดในวันพระว่า....
"เราอย่าละเลยที่จะได้ความสุขจากความดีที่เราได้ทำเอาไว้ ส่วนหนึ่งของการพัฒนาตนเองอยู่ที่การฝึกอนุโมทนาในความดีของตัวเองบ้าง เมื่อเรารับรู้ว่าเราทำความดี ก็ให้กำลังใจตัวเรา หมั่นชื่นชมตัวเอง ความสุขนั้นก็เพิ่มขึ้น เรื่องง่ายๆทำกันได้มั้ยคะ "
บอกแล้วว่า...เมื่อใดที่เราสุขเป็น เราก็จะเป็นสุข
ขอบคุณครับ อาจารย์ ;)
ขอบคุณนะค่ะ
ได้ข้อคิดเยอะเลยค่ะ
สวัสดีค่ะ อาจารย์
เคยเห็นอาจารย์บันทึกนานแล้วค่ะที่โก
ดีใจที่อาจารย์กลับมาบันทุกเรื่องราวดีๆ อีกค่ะ
คนเราทุกคนก็ควรจะมีจุดมุ่งหมายของชีวิต เพราะถ้าไม่มีจุดมุ่งหมายก็จะกลายเป็นคนเลื่อนลอยไป จริงนะครับการเดินทางไปยังจุดหมายนั้นต้องอยู่บนความเป็นจริงและระมัดระวังไม่ให้เกิดทุกข์ทั้งแก่ตัวเองและผู้อื่น ไม่มีความทุกข์ก็คือความสุขสุขแล้ว ขอชื่นชมน้องหว้ามากเลยนะ
สวัสดีครับ อ.ลูกหว้า
เมื่อใดที่เราสุขเป็น เราก็จะเป็นสุข
ชอบค่ะ คำสรุปนี้ ขอบคุณนะคะ
พี่คะเป็นสิ่งที่คอยเตือนใจหว้าอยู่ตลอดเวลาค่ะ เพราะชอบบ่นๆๆกันว่าไม่มีความสุขเลย