เรื่องการกินวิตามินซีเสริม คงแล้วแต่ความเชื่อ และประสบการณ์ส่วนบุคคลของแต่ละคน ว่า เมื่อเป็นหวัด และกินวิตามินซีขนาดสูงกว่าปกติไปแล้ว อาการหวัดบรรเทาลงไหมและฟื้นตัวเร็วกว่าปกติหรือไม่
ด้วยขณะนี้ ดิฉันเป็นหวัดอยู่
แม้จะไม่ใช่หวัด 2009 ก็ทำให้วิตกอยู่เล็กน้อย
เพราะเกรงว่าการเป็นหวัดจะทำให้ร่างกายอ่อนแอ
อาจจะมีโอกาสติดไข้หวัดอื่นที่ร้ายแรงกว่า ซ้ำเข้าอีกก็ได้
จึงพยายามกินยา สมุนไพรฟ้าทะลายโจร
ทันที ที่มีอาการคัดจมูก จาม และแสบคอเล็กน้อย
พร้อมกับรีบบำรุงร่างกายอย่างเต็มที่ ด้วยอาหารครบทั้ง 5 หมู่
โดยเน้นผักสดและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ฝรั่ง มะละกอ ส้ม
เงาะ ตำลึง คะน้า กะหล่ำปลี กลั้วคอด้วยน้ำเกลือ 3
เวลา หลังอาหาร ดื่มน้ำสะอาดประมาณ 8-10 แก้วต่อวัน
กินวิตามินซีเสริมเป็นพิเศษอีกประมาณ 4,000
มิลลิกรัม/วัน และเข้านอนเร็วกว่าปกติ ขณะเดียวกัน
ก็อดคิดไม่ได้ว่า การกินวิตามินซีเสริมแบบ megadoses
ในช่วงนี้ จะให้ผลเสียอะไรไหม นอกจาก เสียเงิน
เพราะเรื่องการกินวิตามินซีเสริม
ก็มีข้อถกเถียงกันมากว่า จำเป็นหรือไม่
และกินเท่าใดจึงจะพอดี
ดิฉันจึงได้ไปค้นหาข้อดี
ข้อเสีย ในการกินวิตามินซีเสริม
และจะขอแบ่งปันให้ผู้ที่สนใจทราบ
และใช้วิจารณญาณกันตามอัธยาศัย
วิตามินซีหรือ กรดแอสคอร์บิค
(Ascorbic acid) เป็นสารอาหารที่ละลายได้ในน้ำ
ร่างกายไม่สามารถที่จะสร้างขึ้นเองได้
จึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานเข้าไป
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย
สามารถป้องกันและรักษาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้
ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นตัวสร้างคอลลาเจน
ซึ่งเป็นเส้นใยทำหน้าที่เชื่อมเนื้อเยื่อต่างๆ ไว้ด้วยกัน
เป็นตัวสร้างกระดูก ฟัน เหงือก และเส้นเลือด
เป็นตัวที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
และที่สำคัญอีกอย่างคือ
ช่วยให้แผลสดและแผลไฟไหม้หายเร็วขึ้น
ปกติ
คนเรา ไม่ได้ต้องการวิตามินซีมากนัก สำหรับคนอายุ 18 ปีขึ้นมา
the U.S. Food and Nutrition Board of the institute of
Medicine แนะนำให้กินแค่วันละ 90 milligrams มากที่สุด ไม่เกิน 2,000 milligrams
ต่อวัน
จริงๆแล้ว
การกินวิตามินซีในโดซสูงๆ ก็อาจไม่ได้ให้ผลร้ายอะไรนัก
แต่สำหรับบางคน อาจทำให้คลื่นไส้ เวียนหัว เหนื่อยอ่อน ท้องเสีย
เป็นนิ่วในไต มีกรดในกะเพาะสูงด้วยซ้ำไป
ตามประสบการณ์จริงๆจากตัวเองและคนใกล้ชิด::
ทุกคนในครอบครัว แม้กระทั่งคนอื่นๆที่รู้จักและสอบถามดู
ล้วนกินกินวิตามินซีเสริม ในช่วงปกติกันวันละเม็ด ไม่สูงกว่า
วันละ1,000 มิลลิแกรม ล้วนแต่ให้เหตุผลดังนี้
ข้อดี::
1.
เพื่อช่วยไม่ให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง
ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย
ได้ง่าย แต่ช่วงที่เริ่มจะเป็นหวัด
จะกินมากขึ้น เพื่อทำให้ ลดการอักเสบและช่วยซ่อมแซมส่วน
ที่สึกหรอของร่างกายทำให้ช่วงของการป่วยสั้นขึ้น
ฟื้นไข้เร็วขึ้น ไม่อ่อนเพลีย หรือทรุดโทรมนัก
แต่เมื่ออ่านข้อความใน the U.S. Food and Nutrition
Board ก็แปลกใจ
เพราะปรากฏว่า นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นว่า วิตามินซี
ไม่ช่วยให้ป้องกันหวัดธรรมดาได้
แต่อย่างไรก็ดี
สำหรับผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ผิดปกติอย่างมากๆ เช่น
นักสกีบนภูเขาที่มีหิมะ ทหารที่ประจำการบนที่หนาวเย็น หรือ
นักวิ่งมาราธอน vitamin C
กลับช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหวัดได้ประมาณ 50%.
ข้อมูลค้านกันอย่างไร
ชอบกล
2. สำหรับหญิงตั้งครรภ์ จะช่วยลดการติดเชื้อที่ urinary
tract แต่คงต้องเป็นวิตามินซีธรรมชาติ
3.วิตามินซี
ช่วยลดอาการหอบหืด
4.วิตามินซีปริมาณสูง
อาจช่วยหยุดยั้งโรคมะเร็งได้ เป็นต้น (ยังมีข้อดีอีกมาก
แต่จะขอเว้นไป เพราะไม่เกี่ยวกับเรื่องการเป็นหวัด)
ข้อเสีย ::
ของการได้รับวิตามินซี มากเกินไป ก็มีอยู่
เช่นการสะสมธาตุเหล็กตามกระดูกข้อต่อต่างๆ มากขึ้น และอาจทำให้เกิด
โรคเกาต์ได้ในที่สุด
หรืออาจเกิดนิ่วในไต
และอาจไปรบกวนการดูดซึมของทองแดงและซีลีเนียมได้
และสำหรับบางคน....การได้รับวิตามินซีเกินวันละ 10,000
มิลลิกรัม อาจทำให้ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อได้
และสำหรับหญิงตั้งครรภ์ the U.S. Food and Nutrition Board
ก็ไม่แน่ใจว่า การกินวิตามินซีในรูปอาหารเสริม
จะให้ประโยชน์หรือไม่ แต่ถ้าเป็นวิตามินซี
จากอาหารธรรมชาติ มีประโยชน์แน่นอน
เพราะจะไปช่วยลดอาการภูมิแพ้ในเด็กเมื่อคลอดออกมาได้
สรุปว่า::
เรื่องการกินวิตามินซีเสริม คงแล้วแต่ความเชื่อ
และประสบการณ์ส่วนบุคคลจริงๆ
แต่ส่วนตัวแล้ว เชื่อว่า วิตามินซี
ช่วยได้บ้างแน่นอน โดยเฉพาะช่วงเริ่มต้นจะมีอาการหวัด
ถ้ากินวิตามินซีเสริม จะรู้สึกว่าอาการหวัดบรรเทาลงเร็วขึ้น
และไม่ค่อยเพลีย และถ้าในกรณี
ที่ในบ้านในช่วงที่เริ่มเป็นหวัด ไม่มีผักผลไม้อะไร
ที่มีวิตามินซีเหลืออยู่ในตู้เย็นเลย คราวนี้ วิตามินซีเสริมนี้
ช่วยได้แน่ เพราะ
คนไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นมาใช้เองได้
ความเป็นมาของความเชื่อว่า
กินวิตามินซีมาก ๆแล้ว ช่วยป้องกันหวัดได้
ความเชื่อนี้มีมาอย่างสำคัญจากนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบิล
ชื่อ
ไลนัส เพาลิ่งก์ the Nobel Prize in Chemistry 1954 /the Nobel
Peace Prize 1962
แนะนำให้คนกินวิตามินซีในขนาดสูง ๆ เพื่อป้องกันหวัด มะเร็ง และโรคจิต
โรคประสาท
เพาลิ่งก์บอกว่า
สัตว์ส่วนใหญ่สร้างวิตามินซีขึ้นใช้เองได้ ยกเว้นคน
ลิงกอริลล่า หนูตะเภา และ ค้างคาวแม่ไก่ เขาบอกว่า
อาหารที่ลิงกอริลล่ากินในแต่ละวัน
แล้วคำนวณหาปริมาณวิตามินซีที่มีอยู่ในอาหาร
เหล่านั้น ผลออกมาว่า กอริลล่าหนึ่งตัว กินวิตามินซีวันละ 4,600
มิลลิกรัม
เมื่อเทียบน้ำหนักลิงกอริลล่ากับคนแล้ว เขาบอกว่า
ถ้าคนจะเอาอย่างกอริลล่า ก็ควรจะกินวิตามินซีวันละ 2,500
มิลลิกรัม
และนี่คือที่มาของคำแนะนำให้กินวิตามินซีในขนาดที่สูงกว่าธรรมดา
คำแนะนำอันนี้ ในวงการแพทย์ยังไม่ยอมรับ
และไม่มีการทดลองใดที่สนับสนุนทฤษฏีของเพาลิ่งก์ได้อย่างน่าเชื่อถือ
อยู่ที่ประสบการณ์ของแต่ละคน ว่า เมื่อเป็นหวัด
และกินวิตามินซีขนาดสูงกว่าปกติไปแล้ว
อาการหวัดบรรเทาลงไหมและฟื้นตัวเร็วกว่าปกติหรือไม่ ร่างกายของแต่ละคน
ไม่เหมือนกัน และมีการตอบสนองต่อยาหรือ วิตามิน ก็ไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์ของตนเองว่า
วิตามินซีเสริมชั่วคราวในโดซสูงหน่อย ให้ประโยชน์อย่างมาก
แต่สำหรับผู้อื่น
อาจไม่มีความแตกต่างแต่อย่างใดก็ได้
และเรื่อง high doses ของ vitamin
C ก็ยังมีอีกประเด็นหนึ่ง ที่เป็นเหตุผลว่า
ทำไมบางคนชอบกินวิตามินซีเสริมกัน คือ วิตามินซี เป็น
antioxidant ที่จะป้องกัน cells
ของเราไม่ให้ถูกทำลายจากพวก อนุมูลอิสระ (free
radicals) มากเกินไป และ Free
radicals นี้ ทางการแพทย์ก็อาจจะเชื่อกันว่า เป็นต้นเหตุ
ของโรคหลายโรค ซึ่งรวมถึงหวัดด้วย
::รูปส่วนประกอบทางเคมี
ของวิตามินซีจาก วิกิพีเดีย
::ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงจาก the
U.S. Food and Nutrition Board of the institute of
Medicine