การอ่านถือเป็นหัวใจสำคัญของการเรียนรู้ ประชากรที่มีนิสัยรักการอ่าน ย่อมง่ายต่อการพัฒนาประเทศ จากการสำรวจขัอมูลพบว่าคนไทยอ่านหนังสือเพียงปีละ 2เล่ม หรือเฉลี่ยวันละ 7 บรรทัดอัตราการใช้กระดาษต่อหัวของคนไทยต่ำกว่าคนยุโรป หรือญี่ปุ่นหลายเท่าตัว มีคนไม่อ่านหนังสือถึง 22 ล้านคน หรือเกือบ 40% ของประเทศ ด้วยเหตุผลของ การไม่อ่านหนังสือเพราะไม่ชอบ ชอบดูโทรทัศน์ฟังวิทยุมากกว่า สำหรับในส่วนของหนังสือที่ชอบอ่านสรุปได้ว่าชอบอ่าน นิยายน้ำเน่า ข่าวดารา ในส่วนของเยาวชน อายุ 10- 14 ปี 60% ไม่ชอบอ่านและไม่สนใจ คนส่วนใหญ่จะไม่ชอบอ่าน วรรณกรรม บทความ บทวิเคราะห์ (ฐานเศรษฐกิจ : 2552 ) เมื่อเราศึกษาจากข้อมูลจะเห็นว่า เป็นการยากที่จะทำให้คนไทยหันมาสนใจเห็นความสำคัญของการอ่านหนังสือ รัฐบาล จึงได้นำวิกฤติการอ่านหนังสือของคนไทยสู่วาระแห่งชาติเพราะได้เล็งเห็นแล้วว่าตราบใดที่ยังปลูกฝังจิตสำนึกรักการอ่านหนังสือของคนไทยไม่ได้ ก็คงหวังไม่ได้ที่จะไปพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น ทางการศึกษา การเมือง สังคม หรือ เศรษฐกิจ ดังเช่นนโยบายการศีกษาที่เสนอเป็นวาระแห่งชาติที่น่าสนใจ และสมควรจะนำมาปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
" ส่งเสริมการอ่านเป็นวาระแห่งชาติ" คำแถลงนโยบายของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร. ม. ต. กระทรวงศึกษาธิการในโอกาสปฏิบัติผลงานในรอบ สองเดือน ในจำนวน 16 ข้อที่ได้ดำเนินการปฏิบัติไปแล้วในข้อ16 มีใจความสำคัญว่า ได้ผลักดันการอ่านเป็นวาระแห่งชาติโดยตั้งคณะกรรมการมีก.ศ.น.เป็นฝายเลขานุการ เนื่องจากการอ่านถือเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นโดยมุ่งเน้นซอฟต์แวร์ มากกว่า ฮาร์ดแวร์ ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาคือต้องระดมทรัพยากร ทั้งจากภาคเอกชน และภาคส่วนอื่นๆ จะเห็นว่าการส่งเสริมการอ่านเป็นสิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่รัฐบาลจะดำเนินการโดยลำพังไม่ได้ ต้องได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในสังคมโดยเฉพาะประชาชนที่จะเป็นผู้นำการอ่านมาสร้างป้ญญาให้ตนเอง เพื่อการแก้ปัญหาที่ดีมีเหตุผล มีวิจารณญาณ ในการตัดสินใจ
จุดประสงค์ในการอ่าน มี3 ประการ คือ 1. การอ่านเพื่อเก็บความรู้ และการอ่านเอาเรื่อง 2. การอ่านวิเคราะห์ 3. การอ่านเพื่อตีความ (Thai goodview@ hotmail. com ) เมื่อมาพิจารณาจากข้อมูลการอ่านหนังสือของคนไทยแล้ว คนไทยจึงขาดข้อมูลในการเก็บความรู้ การอ่านเอาเรื่อง การวิเคราะห์ และการตีความซึ่งเป็นจุดอันตรายที่ทำให้การพัฒนาหยุดชะงักล่าช้า เพราะขาดเครื่องมือในการนำมาใช้เยียวยาหรือ ฟื้นฟูปัญญาของคนไทย เพื่อนำไปสู่การพัฒนา สาเหตุสำคัญของการไม่ชอบอ่านหนังสือของคนไทยน่าจะมาจากสาเหตุต่างๆดังนี้ ปัญหาที่ตัวหนังสือ 1. หนังสือมีราคาแพง 2.เนื้อหาไม่น่าสนใจ เป็นเรื่องไกลตัว ไม่เหมาะที่จะนำมาประยุกต์ ใช้ในชีวิตประจำวัน 3.ขาดแหล่งค้นคว้าควรส่งเสริมให้มีห้องสมุดประจำหมู่บ้านหรือชุมชนให้มีที่อ่านหนังสือราคาประหยัด ไม่ต้องไปซี้อหา 4. ภาษาที่ใช้ในหนังสือควรใช้ภาษาที่ง่าย ต่อการทำความเข้าใจ โดย เฉพาะการรับแนวคิดจากนักเขียนต่างประเทศแล้วนำมาแปลแต่ขาดอรรถรส ความเป็นไทย ไม่ว่าจะเป็นสำนวนภาษา การใช้คำ หรีอโครงเรื่องที่ไม่เหมาะสม กับสังคมไทย การอ่านที่เข้าใจยาก สำหรับคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ 5. มีสื่ออื่นๆที่น่าสนใจมากกว่าหนังสือ
ปัญหาในด้านตัวบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พ่อแม่ขาดการส่งเสริมสนับสนุนนิสัยรักการอ่านให้กับลูก ระบบการสอนของไทยขาดการให้สร้างองค์ความรู้ด้วยตัวเอง ครูเป็นผู้กำหนดความรู้มากกว่าให้นักเรียนค้นคว้าจึงเกิดการชะงักงันทางการศึกษา การทำรายงานแทนที่จะจะค้นคว้าก็ทำเพืยงเพื่อให้ผ่านพ้นไป ปัญหาในตัวครู ครูรับระบบการเรียนแบบเดิมๆมาคือการเป็นผู้รับความรู้จากครูโดยตรง จึงถ่ายทอดแบบการคิดสู่คนรุ่นหลัง หรีอการเลียนแบบพฤติกรรม เด็กจึงขาดการคิดการอ่าน ครูไทยไม่ฝึกนิสัยใฝ่รู้ เด็กจึงไม่ได้รับการฝึกฝนการอ่าน หรือหากเด็กเหล่านั้นผ่านการอ่านเมื่อเกิดความคิดที่แดกต่าง เป็นสิ่งที่ครูรับไม่ได้ และในบางครั้งนักเรียนกึไม่ได้รับการฝึกฝนในด้านการคิดที่สร้างสรรค์ทำให้เกิดปัญหาระหว่างผู้เรียนและผู้สอนเนื่องจากคำถามที่ไม่สร้างสรรค์
จากเหตุผลดังกล่าว นโยบายการผลักดันการอ่านสู่วาระแห่งชาติ จะต้องเริ่มผลักดันที่คนรุ่นใหม่เพื่อคนรุ่นใหม่จะได้นำการเลียนแบบที่ดีสู่คนรุ่นต่อไป ไม่เช่นนั้นนโยบายจะสำเร็จไม่ได้ การพัฒนาที่ตัวครูการปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบการแก้ปัญหาที่การสร้างนิสัยรักการอ่าน ถือเป็นจุดสำคัญในการพัฒนาประเทศในทุกๆด้าน เมื่อคนไทยมีนิสัยรักการอ่านเหมือนประเทศที่ประชากรเห็นความสำคัญของการอ่าน ประเทศเหล่านั้นจึงมีความเจริญก้าวหน้า คนไทยก็เช่นกันเมื่อผ่านความสำเร็จจากวาระแห่งชาติในด้านการอ่านก็พร้อมที่จะนำพาประเทศไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนและยืนอยู่บนลำแข้งของตัวเองโดยไม่ต้องคอยรับนโยบายและทำตามประเทศที่มีประชากรทีมีปัญญาอันเกิดจากการอ่านหนังสือ ที่ถือเป็นปัจจัยหลักของการพัฒนาคนนำพาสู่การพัฒนาประเทศ
ขอบคุณมากสำหรับความรู้ มีประโยชน์ต่อการศึกษามาก