เดินชมทุ่งที่เมืองหงสาเวลานี้ พบเห็นแปลงปลูกข้าว “ระบบกะเสดสุม (ดำนาแบบก้ากีบเดียว)” ให้ผมเฝ้าติดตามอยู่หลายแปลง ไม่ว่าที่ทุ่งนามัน ทุ่งนาธาตุ ทุ่งหนองหอย หรือทุ่งอีเฒ่า ได้ความว่าได้รับการสนับสนุนจาก โครงการชลประทานขนาดหน้อยประชาชนคุ้มครอง โดยเงินกู้จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB)
การปลูกข้าวด้วยวิธีนี้บ้านเราเรียก “การปลูกข้าวระบบประณีต” ภาษาสากลเขาเรียก (System of Rice Intensification, SRI) ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกที่ประเทศมาดากัสการ์เมื่อ ๒๕ ปีก่อน ต่อมาได้แพร่ขยายไปมากกว่า ๒๐ ประเทศ โดยท่านได้โฆษณาไว้ว่า ให้ผลผลิตสูงถึงไร่ละ ๑๒๐๐ กิโลกรัม (๗.๕ ตัน/เฮกตาร์) นอกจากนั้นยังมีข้อดีตรงที่ประหยัดเมล็ดพันธุ์ข้าวมากกว่าได้ ๖เท่า และประหยัดการใช้น้ำได้มากกว่าครึ่งหนึ่งของปริมาณน้ำที่ใช้ปกติ (แต่เขาลืมบอกไปว่าทำให้นาข้าวมีอภิมหาวัชพืชมากกว่าปกติหลายเท่า)
วิธีการปลูกข้าวแบบนี้ ท่านให้เพาะกล้าใส้กระบุงไม้ไผ่ไว้ พอกล้าอายุได้ ๑๔วัน ก็ย้ายลงปลูกในแปลงนาที่ได้คาดไถไว้เรียบร้อย ระยะการปลูก ๓๐ X ๓๐ ซม. โดยการปลูกใช้ต้นกล้าเพียงหนึ่งต้นเท่านั้น สำหรับการให้น้ำท่านให้ใส่น้ำพอท่วมแปลง คือสูงกว่าพื้น ๐.๕ ซม. สลับกับการปล่อยน้ำออกอย่างละ ๕ วันในช่วง ๓ สัปดาห์แรก จากนั้นให้ขังน้ำสลับกับปล่อยน้ำทุกๆ ๑๐ วัน และหยุดให้น้ำสองสัปดาห์ก่อนการเก็บเกี่ยว
วิเคราะห์ดูข้อดีของการปลูกข้าวด้วยวิธีนี้ นอกจากจะทำให้ได้ผลผลิตสูงตามที่ได้มีรายงานการทดลองมาแล้ว ยังช่วยประหยัดเมล็ดพันธุ์ ช่วยประหยัดน้ำอีกด้วย ในเรื่องสภาวะโลกร้อนที่ชาวนาไทยกำลังตกเป็นจำเลยของชาวโลก ว่าการทำนาแบบขังน้ำนั้นทำให้เกิดการปลดปล่อยก๊าชที่ทำให้เกิดโลกร้อนมากมาย (ประเทศไทยถูกจัดอันดับที่ ๘ ของโลกเรื่องการปลดปล่อยก๊าซโลกร้อน) ซึ่งกลไกของการเกิดก๊าซจากการทำนาจะเป็นอย่างไรนั้นผู้เขียนก็ได้คืนความรู้ให้ท่านอาจารย์สุพจน์หลังจากสอบวิชา “submerge soil (ดินขังน้ำ)” ไปเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนโน้นเรียบร้อยแล้ว แต่ก็คิดว่าการปล่อยน้ำสลับกับการขังน้ำเพียงเล็กน้อยเช่นนี้จะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเจ้าปัญหานี้ได้
แต่ข้อจำกัดของการปลูกข้าวแบบประณีตที่ผมเห็นก็มีหลายประการที่ต้องแก้ไข เช่น ปัญหาด้านวัชพืชในแปลงนา ปัญหาข้าวถูกหอยและปูกัดทำลายเพราะต้นกล้าขนาดเล็กมากแถมยังมีเพียงต้นเดียว นอกจากนี้ยังมีข้อจำกัดที่ว่าสภาพที่นาต้องมีน้ำอุดมสมบูรณ์พร้อมที่จะระบายน้ำออก และขังน้ำได้ทุกเมื่อได้มีโอกาสได้อ่านรายงานการทดลองในบางประเทศ พบว่าการปลูกข้าวโดยวิธีนี้ได้ผลผลิตสูงกว่าการทำนาแบบธรรดาอยู่บ้าง แต่ก็ต้องขึ้นกับปัจจัยหลายๆอย่าง การทดลองในเมืองไทยของกรมการข้าวรายงานว่าได้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกข้าวแบบทั่วไป ๑๒% ผลการทดลองในศรีลังการายงานว่าการปลูกข้าวแบบประณีตได้ผลผลิตสูงกว่าการทำนาหว่าน ๒๐% ส่วนรายงานผลการทดลองในประเทศลาวซึ่งทำแปลงทดลองอยู่ ๕ แห่ง พบว่ามีเพียง ๒ แห่งที่ได้ผลผลิตสูงกว่าการปลูกข้าวแบบธรรมดา เนื่องจาก ดินไม่อุดมสมบูรณ์ และต้นข้าวถูกทำลายโดยหอยและปู
ส่วนผลการปลูกข้าวแบบ “กะเสดสุม” ที่เมืองหงสาจะเป็นอย่างไรนั้น ไว้ปลายปีผมจะนำมารายงานครับ
สวัสดีค่ะ
ไม่เจอกันนานมากแล้ว
มีความสุขสบายดีบ่
ยังได้นำเรื่องที่ไม่เคยรู้มาให้รู้อีก
ขอบคุณค่ะ
เมื่อไหร่จะกลับเมืองไทย
สวัสดีครับพี่
ในภาพทำไมดำนาคนเดี่ยวครับ ปกติจะลงแขกกัน
วันนี้ ยังคุยกับพ่อครูบาฯ ที่สวนป่าอยู่เลยว่าคิดถึงพี่มาก...
และนั่น ยังรวมถึง ความชื่นชมในศักยภาพ ด้วยนะครับ
แล้วผมจะส่งหนังสือไปให้ที่ไหนดีล่ะ..ทีนี้
สวัสดีค่ะ
สวัสดีครับ อาจารย์เปลี่ยน (ผมอ่านภาษาอังกฤษว่าปาลียอน เหมือนภาษาฝรั่งเศสจัง)
ผมสนใจเรื่องนาก้ากีบเดียวมากครับ เคยดูในทีวีของลาว สนใจอยากลองทำที่บ้าน แปลงเล็ก ๆ กะว่าทดลองดูก่อน นอกฤดูปกติ เป็นนาแซง (นาแล้ง ตามภาษาลาว หรือนาปรังในภาษาไทย ที่จริงคำว่าปรัง เป็นภาษาเขมร แปลว่าแล้ง เหมือนกัน)
อาจารย์มีข้อมูลเรื่องพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมในการทำนาก้ากีบเดียว ที่เหมาะสำหรับนาปรังบ้างไหมครับ ผมปรับที่ยังไม่เสร็จ กะว่าจะได้เริ่มเพาะกล้าประมาณเดือนมีนา
อาจารย์ช่วยตอบทางอีเมล์ด้วยนะครับ ขอเบอร์โทรด้วยก็ดี ตอนนี้ผมอยู่มุกดาหาร ใกล้ลาวมาก แต่ยังไม่เคยไปดูนาก้ากีบเดียว