การบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
หมายถึง การบริหารที่เน้นผลผลิต (Outputs) และผลลัพธ์
(Outcomes) โดยมีตัวชี้วัดผล (Indicators)ที่เป็นรูปธรรม
อาจเขียนเป็นสมการได้ ดังนี้
ผลสัมฤทธิ์ (Results) = ผลผลิต (Outputs) + ผลลัพธ์
(Outcomes)
มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษที่แตกต่างกัน เช่น Results-Based
Management, Management for, Results, Results Oriented
Management เป็นต้น
ซึ่งทุกชื่อมีแนวความคิดหลักเหมือนกัน
การบริหารที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์เป็นรูปแบบการบริหารที่เน้นความรับผิดชอบ
(Accountability)
ของรัฐบาลต่อประชาชนที่จะต้องแสดงผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนว่า
รัฐบาลได้ใช้งบประมาณแผ่นดินอย่างมีประสิทธิภาพและได้ผลอย่างไร
โดยการแสดงถึงว่าได้มีผลงานอะไรบ้าง
ได้ให้บริการประชาชนในเรื่องใดบ้าง
ผลงานหรือบริการเหล่านั้นเป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตต่อการทำมาหากินของประชาชนอย่างไร
และรัฐบาลจะต้องสามารถอธิบายต่อประชาชนได้ว่ากิจกรรมที่ทำลงไปนั้น
เป็นการใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างประหยัด
มีประสิทธิภาพก่อให้เกิดประสิทธิผลและคุ้มค่าเพียงใด ซึ่งเทียบเคียงได้กับภาคเอกชน
ที่ประเมินผลงานจากกำไรของบริษัท
ความเป็นมา การบริหารในรูปแบบใหม่นี้ได้มีการพัฒนาและทดลองปฏิบัติในประเทศที่พัฒนาแล้วมาร่วม
20 ปี เช่น สหราชอาณาจักร (1980) แคนาดา
(1980) นิวซีแลนด์ (1984) สหรัฐอเมริกา (1990)
เป็นต้น โดยรัฐบาลประเทศเหล่านั้น
ต่างประสบปัญหาด้านเศรษฐกิจอย่างมากในเรื่องการแข่งขันทางการค้าระหว่างประเทศ
การใช้จ่ายของรัฐที่มีสัดส่วนสูงเมื่อเทียบกับรายจ่ายรวมทั้งประเทศ
ปัญหาการขาดดุลของงบประมาณภาครัฐ
และปัญหาเรื่องความล่าช้าในการบริการประชาชน
รัฐบาลประเทศเหล่านั้นจึงพยายามปฏิรูประบบบริหารเพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชนคืนมา โดยนำเทคนิคบริหารที่มุ่งเน้นผลสัมฤทธิ์มาใช้
สำหรับประเทศไทยได้นำแนวคิดการบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์มาใช้เป็นเครื่องมือในการปฏิรูประบบราชการ
ซึ่งมีแรงผลักดันมาจากกระแสโลกาภิวัฒน์
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี วิกฤตเศรษฐกิจ
การเข้าสู่สังคมแห่งการเรียนรู้
ความต้องการมีส่วนร่วมของประชาชนมีมากขึ้น
รวมทั้งภาคเอกชนมีความเข้มแข็งมากขึ้น
ในขณะที่การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่บทบาทของรัฐก็ยังไม่ปรับบทบาทใหม่
ประชาชนเองก็ตื่นตัวที่จะได้รับบริการจากรัฐที่มีคุณภาพและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 ก็กำหนดไว้ชัดเจน
เพื่อแก้ไขสภาพปัญหาที่ปรากฎมาชั่วนาตาปีอันเกิดจากความเก่าล้าสมัยของระบบ
การบริหารแบบรวมศูนย์อำนาจ
กฎระเบียบเทคโนโลยีวิธีปฏิบัติงานไม่ทันสมัย ค่าตอบแทน
สวัสดิการแก่บุคลากรไม่เหมาะสม
ความไม่รับผิดชอบและขาดคุณภาพของบุคลากร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาจากการทุจริตประพฤติมิชอบที่เป็นเหลือบเกาะกินการพัฒนาประเทศ
รัฐบาลจึงปฏิรูประบบราชการโดยเริ่มต้นจากการกำหนดโครงสร้างกระทรวงเป็น
20 กระทรวง 136 กรม จำแนกตามกลุ่มภารกิจ 3 กลุ่ม
คือกลุ่มกระทรวงนโยบายพื้นฐานของรัฐ 6 กระทรวง
กลุ่มกระทรวงยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ 10 กระทรวง
และกลุ่มกระทรวงขนาดเล็กที่เป็นภารกิจเร่งด่วนของรัฐบาล 4
กระทรวง
ภารกิจหลักในการปฏิรูประบบราชการนอกจากปรับโครงสร้างบทบาทภารกิจเป็นเรื่องแรกแล้วยังต้องปฏิรูปวิธีการงบประมาณ
ปฏิรูประบบบุคคล ปฏิรูปกฎหมาย
และปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงานของเจ้าหน้าที่รัฐ
ซึ่งต้องทำทั้งระบบ ดังนั้น จึงต้องกำหนดนโยบาย
เป้าหมาย
ผลสัมฤทธิ์ของงานและกำหนดผู้รับผิดชอบไว้อย่างชัดเจน
แนวคิดการบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ การบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การบริหารที่มุ่งเน้นความประหยัด (Economy) ความมีประสิทธิภาพ (Efficiency) และความมีประสิทธิผล (Effectiveness) นั่นเอง ความประหยัด คือ การใช้ปัจจัยนำเข้าหรือทรัพยากรน้อยที่สุด ราคาต่ำที่สุด เวลาน้อยที่สุดในการผลิต ความมีประสิทธิภาพ คือ การเปรียบเทียบระหว่างปัจจัยนำเข้ากับผลผลิต ถ้าใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดและเกิดผลผลิตสูงก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูง ความมีประสิทธิผล คือ การเปรียบเทียบระหว่างวัตถุประสงค์กับผลผลิตและผลลัพธ์ หากบรรลุตามวัตถุประสงค์ก็ถือว่า เกิดประสิทธิผล ซึ่งดูจากทั้งปริมาณและคุณภาพ
เทคนิคที่เกี่ยวข้องการบริหารที่มุ่งผลสัมฤทธิ์จะเกี่ยวข้องกับเทคนิคการบริหารที่สามารถนำมาใช้ในการบริหารได้ หลายเรื่อง เช่น
ไม่มีความเห็น