โรคที่มากับความล่มสลายทางสิ่งแวดล้อม


ไข้หวัดใหญ่ 2009 รุกเข้าบ้านป่า เมืองดอยแล้วนะ..

และแล้ว...วันนั้นก็มาถึง มาอย่างไม่คาดคิด โรคไข้หวัด 2009 จู่โจมบ้านป่าเมืองดอยของผมเสียแล้ว ข้อมูลล่าสุด (วันที่ 20 กรกฏาคม 2552) มีผู้ติดเชื้อในจังหวัดแม่ฮ่องสอน 32 ราย แต่ยังไม่มีการเสียชีวิต

ผมได้เล่าที่มาที่ไปของโรคใหม่ตัวนี้ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดใหม่ๆ ตอนนั้นยังไม่มีคนไทยติดเชื้อเลย มันช่างมาด่วนเร็วเช่นนั้น ไม่นึกเลยว่าจะทะลุทะลวงมาถึงแม่ฮ่องสอน จังหวัดริมชายขอบพม่า เพื่อนๆและลูกหลานติดเชื้อกันเป็นแถว ต้นตอก็คือมีผู้นำเข้า ก็คนแม่ฮ่องสอนนั่นแหละที่ไปอบรม ประชุมสัมมนาแถวกรุงเทพฯ พัทยา แล้วนำติดตัวมาฝากพี่น้องในพื้นที่ จนทำให้(ผู้รู้)หลายคนแทบเป็นโรคประสาท รวมทั้งผมด้วย ที่ไม่ยอมให้ลูกไปโรงเรียนได้เกือบเดือนแล้ว มีหลายคนถามว่า ผมวิตกจริตมากไปหรือเปล่า ผมว่าเปล่านะ ผมรู้ดีถึงความรุนแรงของโรคนี้ ถ้ารักษาไม่ทัน (พอติดเชื้อแล้ว ลามง่าย ตายง่าย และหายเร็ว) มันเป็นปีศาจมรณะสำหรับคนที่ไม่รู้เท่าทัน และคนที่มีโรคประจำตัวมากๆ เพื่อนพยาบาลที่ศรีพัฒน์ รพ.มหาราชเชียงใหม่บอกว่า ที่นั่นก็ปิดข่าว รู้ไหมมีผู้ป่วยติดเชื้อที่มารักษาที่นั่นแล้ว 26 ราย ผมไม่ทราบเหมือนกันว่า ทำไมกระทรวงสาธารณสุขโดยเฉพาะสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดต้องปิดข่าวเรื่องนี้ ทั้งๆที่ควรกระจายข่าวให้ประชาชนรับทราบ พร้อมทั้งบอกวิธีป้องกันให้เขาด้วย (ติดอาวุธทางปัญญา)

ผมทนไม่ได้ เมื่อทราบข้อมูลจึงนำออกรายการวิทยุเปิดเผยข้อมูลให้ประชาชนรับทราบ ทันทีที่ออกอากาศมีโทรศัพท์เข้ามาหาผมไม่ขาดสาย ต่อมาอีกไม่กี่วันเมื่อถูกสื่อทวงถามมากๆจึงมีการเปิดเผยข้อมูลขึ้น ปัญหามันอยู่ตรงที่ว่า หลายคนไม่เป็นอันกินอันนอน วิตกจริตกลัวติดโรค กลัวลูกหลานไม่ปลอดภัย ยกตัวอย่างผมคนหนึ่งซึ่งมีลูกชายเพียงคนเดียว จึงต้องให้หยุดเรียน จัดสภาพบ้านเป็นห้องเรียน สอนให้แม่ของเขาเตรียมความพร้อมให้ลูกคล้ายในโรงเรียน ลูกอาจขาดด้านสังคม ไม่เป็นไรดีกว่าเสี่ยงตายเป็นไหนๆ มาตรการของโรงเรียนแต่ละแห่งก็ไม่เหมือนกัน บางโรงเรียนปิดเรียน บางโรงเรียนให้นักเรียนที่เจ็บป่วยลาพักผ่อนอยู่ที่บ้าน (ไม่ให้มาโรงเรียน) นั่นเป็นวิธีการแก้ปัญหาของโรงเรียนแต่ละแห่ง

มีคำถามว่า    หากโรคนี้ระบาดเรื้อรังเป็นปี 2 ปี แล้วเราจะทำอย่างไร ผมไม่เชื่อมั่นในวัคซีนที่นักวิทยาศาสตร์ไทยผลิตขึ้น (ที่นำไข่ไก่มาจากเยอรมัน และนำเชื้อมาจากรัชเชีย) นักวิทยาศาสตร์ไทยยังขาดประสบการณ์ แม้จะมีคณะกรรมการ 3 ฝ่ายคัดกรองก่อนใช้จริง ตามเกณฑ์ขององค์การอนามัยโลกก็ตาม

แต่..เห็นคุณค่าสมุนไพรไทย คือฟ้าทะลายโจร ผมออกข่าวให้ประชาชนใช้สมุนไพร ปรากฏว่าฟ้าทะลายโจรแค็ปซูลที่แพทย์แผนไทย รพ.ศรีสังวาลย์ผลิตขึ้น ขายเกลี้ยงภายในวันสองวันเท่านั้นเอง หลายคนรวมทั้งผมต้องใช้ใบสดมาต้มกิน (ขมมาก) จึงฝากบอกสมาชิกทั้งหลายให้ป้องกันตนเองตามที่หมอแนะนำดังนี้

1. ใช้หน้ากากอนามัย ปิดปากปิดจมูกเมื่ออยู่ในที่ทำงาน หรือเมื่อไปในที่มีคนหมู่มาก

2. ล้างมือเป็นอาจินต์ จะใช้เจลก็ได้ ไม่ใช้เจลก็ได้ (ผมสอนลูกผมอายุ 2 ขวบกว่าล้างมือจนติดเป็นนิสัย โดยจัดอ่างล้างมือ สบู่ พร้อมผ้าเช็ดมือให้ที่บ้าน)

3. อย่าสัมผัสผู้ป่วยเด็ดขาด

4. หลีกเลี่ยง การเข้าโรงแรมใหญ่ๆ นั่งเครื่องบิน รถโดยสารที่ใช้แอร์ โรงพยาบาล ร้านอินเตอร์เน็ต โรงมหรสพต่างๆ

5. กินอาหารที่มีประโยชน์พวกวิตามิน กระเทียม หอมแดง ถ้ากินได้ให้กินฟ้าทะลายโจรวันละ 2 ครั้ง

6. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

7. อย่าเสี่ยงกับสภาพที่จะทำให้เราเป็นหวัด เช่นอยู่ในที่ร้อนเกิน เย็นเกิน ตากฝน ตากลม นอนเปิดอกเป็นต้น

ถ้ารู้จักป้องกันตัวเอง รู้เท่าทันมัน ผมว่าโอกาสที่จะติดโรคก็คงมีน้อย หลังจากนั้นก็คงต้องฝากผีฝากไข้ไว้กับธรรมชาติ ธรรมชาติจะจัดการกับจุลชีพเหล่านี้เองตามกฏของเมลเดล ผมหวังเช่นนั้น มากกว่าที่จะพึ่งพา หมอ หรือนักวิทยาศาสตร์ เพราะที่สุดแล้วคนกลุ่มนี้ก็อาจเอาตัวไม่รอดเช่นกัน

ด้วยความปราถนาดี

ลุงเก

หมายเลขบันทึก: 278654เขียนเมื่อ 21 กรกฎาคม 2009 11:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 08:06 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท