การเดินทางของชีวิต....(๑)
“แยกความอยากของตัวเองกับความอยากของคนอื่น”
การเดินทางของชีวิตมาถึงจุดหนึ่งที่ได้พบคือคำบอกกล่าวว่า “แยกความอยากของตัวเองกับความอยากของคนอื่น” เป็นการเจอตอตัวใหญ่เลยที่เดียวเพราะการแยกความรู้สึกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากหากจะแยก ที่บอกเป็นตอใหญ่ก็เพราะว่าความอยากของตัวเองกับความอยากของคนอื่นมันคือ ความอยากเห็น อยากให้เป็น ยากน่า....
เส้นทางการทำงานของข้าพเจ้ากับชีวิตทันควบคู่กันมาตลอด บางครั้งข้าพเจ้ายอมรับว่าแยกแทบไม่ออก บางครั้งข้าพเจ้าทำงานจนลืมใช้ชีวิตปกติ คิดงานตลอด ไม่ได้ว่าเก่งนะ ที่คิดเยอะเพราะโง่ เลยกลัวพลาดทำให้ต้องระวัง หากให้แยกความอยากของตัวเองออกจากความอยากเห็น อยากให้เป็นของงานมันจึงยากสำหรับข้าพเจ้า
ชีวิตส่วนตัวข้าพเจ้าอยากเป็นอะไรก็พยายามทำเพื่อให้ได้อย่างที่อยากเป็น แม้ไม่ได้ทั้งร้อยก็ยังรู้สึกดีกว่าไม่ได้เลย ความพยายามมีมาตลอดเส้นทางการเดิน จากที่เคยเขียนไว้ในบทความหนึ่งที่ชื่อว่า “ปลายทางเราอยู่ที่ไหน” ในหนังสือทำไปเรียนไป หากทำเป็นกราฟลำดับเลขที่เริ่มจากศูนย์ หากจุดสูงสุดคือสิบ ข้าพเจ้าคงได้ระดับหก
ชีวิตครอบครัว พี่น้อง ข้าพเจ้าอยากเห็น อยากให้น้องชายคนเดียว(มีพี่ชายเยอะมากสี่คน พี่สาวสามคน) ได้มีชีวิตครอบครัวของเขาเองที่ดี ไม่ลำบากก็บอก พูดคุยตลอด ด้วยความรู้ ประสบการณ์กี่อย่างที่ผ่านมาในชีวิตที่คิดว่าหากเขาทำแล้วจะดีขึ้น(ไม่ใช่สำเร็จนะ) ก็คุยตลอด เหมือนคนเข้มงวดนะแต่ยอมรับความจริงตลอดเช่นกัน ว่า สุดท้ายต้องตัวเขาเองนั่นแหละไม่ใช่ข้าพเจ้า
ในนิยามของ(ข้าพเจ้า) “ความอยาก” มันเป็นความนึกคิด รู้สึก แต่สิ่งที่จะทำต่อจากความรู้สึก นึกคิดมันคือ การกระทำ ที่จะส่งผลให้เกิดหรือไม่ หากเราแค่ “อยาก” แต่ไม่ “กระทำ” มันก็คงเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นไม่มีผลต่อใครทั้งสิ้น ยกเว้นตัวเอง ไม่เป็นไรเพราะอยากรู้สึกเองไม่ได้ตามอยากก็เพราะไม่ทำก็เสียความรู้สึกเอง จริงไหม
กับคำบอกกล่าวข้างต้น แบ่งความอยากของตัวเองกับของคนอื่น หากมาทบทวนตัวเองแล้วมองในมุมของการทำงานของข้าพเจ้า คือ การอยากเห็นพี่น้องเครือข่าย ประชาชน ได้ปลดแอกตัวเอง ออกจากพันธนาการต่าง ๆ ที่ใครก็ไม่รู้มาสนสะพายให้ ข้าพเจ้าท้าทายตลอดการทำงานเหมือนกันว่า หากแน่จริงต้องกล้าปฏิเสธเป็น หากสิ่งที่ใครไม่รู้หยิบยื่นให้ ไม่ใช่สิ่งที่เขา ชุมชนต้องการ ซึ่งที่ผ่านมาข้าพเจ้าเห็นแต่การไม่ปฏิเสธ (ไม่ได้หมายความว่าไม่มี) รับตลอด แล้วก็มักได้ยินคำว่า เหนื่อย วิ่งตลอด ประชุมตลอด ถึงกระนั้นความอยากเห็นของข้าพเจ้าก็มิได้ไปหยุดอะไรของเขาได้เลย การกระทำของความอยากข้าพเจ้าทำได้เพียงการพูดคุย เพื่อให้เขาทบทวนว่าใช่หรือไม่ แค่นี่คือสิ่งที่แปลความอยากสู่การกระทำ เพราะข้าพเจ้าไม่มีอำนาจใด ๆ มีเพียงความหวังดีและอยากให้เขาไม่ต้องเหนื่อย เพราะต้องวิ่งตามกระแสก็เท่านั้น
ในมุมครอบครัว ส่วนตัวข้าพเจ้าแยกไม่ได้มากนัก แค่ได้บางประเด็น เพราะอย่างที่บอกข้าพเจ้าใช้มาตรฐานเดียวกัน ด้วยถือว่า พี่น้องเครือข่าย พี่น้องคลานตาม เพื่อน คือ คนที่ข้าพเจ้าหวังดีด้วยทั้งนั้น หากความอยากเห็นเกิดขึ้นการกระทำก็ไม่ต่างกัน ได้แค่การพูดคุย ให้ข้อคิด ให้หยุดเพื่อทบทวนตัวเอง หากใช่ก็ทำต่อไป(อย่าบ่น..เหมือนบทความกำ..กรรม.)
สุดท้ายข้าพเจ้าก็ทำได้เท่านี้จริง ๆ ด้วยประโยคที่ว่า “คนที่รู้ดีที่สุดคือคนที่ผ่านมาแล้ว คนที่ยังไม่ผ่านถือว่าไม่มีประสบการณ์ ไม่สามารถพูดหรือสอนคนอื่นได้ มีเพียงตำรามันก็แค่การอ่านเพื่อรับรู้ไม่ลึกซึ้งเท่าพบเจอและเรียนรู้” ประโยคนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้พบกับคำว่าสุดท้ายของบทความนี้ เช่นกัน ข้าพเจ้าไม่ได้สอนใครทั้งนั้น แต่ข้าพเจ้าบอกเล่าพูดคุยถึงสิ่งที่เห็น บวกกับสิ่งที่อ่าน เรียนรู้จากตำราบ้าง เห้อ.... ลำบากจังพูดให้ฟัง เล่าให้รู้ ...โดนข้อหาว่าสอน ขอโทษ มา ณ โอกาสนี้ด้วย...ละกัน
...................................................
อีกบทเรียนหนึ่งที่ได้พบในเส้นทางชีวิต