แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้อง คือการพัฒนาจากฐาน ไม่ใช่พัฒนาจากยอดอย่างที่ทำกันมา ๙ ปี และเกิดผลให้ผลการศึกษาเสื่อมลง การพัฒนาจากฐานคือพัฒนาที่โรงเรียน/ครู ที่จัดการเรียนรู้ได้ผลดี โดยส่งเสริมให้ขยายเครือข่ายวิธีจัดการศึกษาที่มีคุณภาพออกไป ส่งเสริมให้ครูที่มีผลงานดีได้ศึกษาต่อ ทำวิทยานิพนธ์เพื่อสร้างความรู้เชิงทฤษฎีจากผลการปฏิบัติ
บันทึกการเมืองไทย : วิจารณ์นโยบายการศึกษาของรัฐบาลอภิสิทธิ์
ที่จริงความคิดของข้าพเจ้าเจียมตัวว่าตนเองไม่ถนัดในเรื่องการเมือง มองว่าความเห็นเชิงนโยบายเรื่องต่างๆ ขอมักจะไม่ค่อยเหมาะสมต่อสภาพของวิธีคิดแบบเอาการเมืองเป็นตัวตั้ง จึงไม่ค่อยได้ออกความคิดเห็นเชิงวิจารณ์นโยบายของรัฐบาล แต่นี่คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ขอร้องไว้ว่า อยากให้ช่วยให้คำแนะนำต่อการทำงานของรัฐบาลด้วย ท่านคงจะเห็นว่า ในที่ประชุมที่เราเป็นกรรมการร่วมกันนั้นให้ความเห็นแปลกๆ อยูบ่อยครั้ง เข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่าบ้าง แล้วแต่กรณี
ข้าพเจ้าเองก็อยากให้รัฐบาลนี้อยู่บริหารประเทศไปนานหน่อย เพื่อเยียวยาบาดแผลและวางรากฐานเรื่องหลักๆ ของประเทศ เพราะศรัทธาในความเอาจริงเอาจังของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ แม้ว่ารัฐบาลผสมชุดนี้จะขี้เหร่อยู่ไม่น้อย จึงลองเสนอความเห็นผ่านบันทึกใน บล็อก นี้ โดยไม่รับรองว่าความเห็นนี้จะถูกต้องหรือไม่
นโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาลมี ๘ ข้อ ที่เด่นที่สุดคือข้อ ๑ ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยมีข้อความดังนี้ “ปฏิรูปการศึกษาทั้งระบบ โดยปฏิรูปโครงสร้างและการบริหารจัดการ ปรับปรุงกฎหมายให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ และระดมทรัพยากรเพื่อการปรับปรุงการบริหารจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานจนถึงระดับอุดมศึกษา พัฒนาครู พัฒนาระบบการคัดเลือกเข้าสู่มหาวิทยาลัย พัฒนาหลักสูตร รวมทั้งปรับหลักสูตรวิชาแกนหลักรวมถึงวิชาประวัติศาสตร์ ปรับปรุงสื่อการเรียนการสอน พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์ ปรับบทบาทการศึกษานอกโรงเรียนเป็นสำนักงานการศึกษาตลอดชีวิต และจัดให้มีศูนย์การศึกษาตลอดชีวิตเพื่อการเรียนรู้ที่เหมาะสมในแต่ละพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมการกระจายอำนาจให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเพื่อนำไปสู่เป้าหมายคุณภาพการศึกษาและการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นคุณธรรมนำความรู้อย่างแท้จริง”
ที่ว่าเด่น เพราะเป็นเรื่องสำคัญสุดยอดต่ออนาคต แต่แนวทางดำเนินการซ้ำรอย ความผิดพลาดเดิม คือหลงเน้นปฏิรูปโครงสร้าง ไม่เน้นปฏิรูปกระบวนการจัดการเรียนรู้ของนักเรียน ถ้าทำตามที่เสนอก็จะไม่พ้นผลแบบเดิม คือคุณภาพของผู้จบการศึกษาลดลง ในขณะที่คุณวุฒิและผลประโยชน์ของครูและผู้บริหารการศึกษาดีขึ้น
แนวทางของการปฏิรูปการศึกษาที่ถูกต้อง คือการพัฒนาจากฐาน ไม่ใช่พัฒนาจากยอดอย่างที่ทำกันมา ๙ ปี และเกิดผลให้ผลการศึกษาเสื่อมลง การพัฒนาจากฐานคือพัฒนาที่โรงเรียน/ครู ที่จัดการเรียนรู้ได้ผลดี โดยส่งเสริมให้ขยายเครือข่ายวิธีจัดการศึกษาที่มีคุณภาพออกไป ส่งเสริมให้ครูที่มีผลงานดีได้ศึกษาต่อ ทำวิทยานิพนธ์เพื่อสร้างความรู้เชิงทฤษฎีจากผลการปฏิบัติ โดยเชื่อมโยงนักการศึกษาระดับยอดในมหาวิทยาลัยเข้าไปเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งจะทำให้มีการพัฒนาศาสตร์ด้านการเรียนรู้ที่เหมาะสมต่อเด็กไทยยุคปัจจุบัน จากสภาพจริงภายในสังคมของเรา เชื่อมโยงกับศาสตร์ด้านการเรียนรู้ยุคใหม่ของโลก
ที่จริงการกล่าวหาว่าแนวทางปฏิรูปการศึกษาที่ใช้กันอยู่เป็นแนวทางที่ผิดพลาดเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้มาก ไม่สามารถเขียนรายละเอียดออกมาได้ทั้งหมด ถ้ามีการจัดประชุมระดมความคิดเรื่องนี้ข้าพเจ้ายินดีเข้าร่วมด้วย หากนัดล่วงหน้านานๆ เพื่อให้จัดเวลาเข้าร่วมได้
ข้อวิจารณ์ของข้าพเจ้า เป็นการวิจารณ์วิธีดำเนินการตามนโยบาย ไม่ใช่ตัวนโยบาย ซึ่งนโยบายข้อ ๑ เชื่อมโยงกับข้อ ๓ คือการพัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีข้อความดังนี้ “พัฒนาครู อาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้ได้ครูดี ครูเก่ง มีคุณธรรม มีคุณภาพ และมีวิทยฐานะสูงขึ้น ลดภาระงานครูที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอนตามโครงการคืนครูให้นักเรียน มีการดูแลคุณภาพชีวิตของครูด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และจัดตั้งกองทุนพัฒนาคุณภาพชีวิตครู ควบคู่ไปกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศที่เน้นการพัฒนาเนื้อหาสาระและบุคลากรให้พร้อมรองรับและใช้ประโยชน์จากระบบเทคโนโลยีสารสนเทศได้อย่างคุ้มค่า”
ซึ่งก็ว่าที่ผ่านมาดำเนินการผิด เป็นการสร้างวัฒนธรรมที่ผิดให้แก่วงการศึกษา คือวัฒนธรรมบ้า (คลั่ง) ปริญญา หรือคุณวุฒิในกระดาษ ไม่เน้นคุณวุฒิในการปฏิบัติหรือผลงานต่อศิษย์ เรื่อง “ผลงาน” เพื่อปรับตำแหน่ง ก็เป็นผลงานในกระดาษ (บางคนจ้างทำ) คำว่า “ทำผลงาน” ไม่เชื่อมโยงกับศิษย์ แต่เชื่อมโยงกับกระดาษ ครูที่ได้ดีมักไม่ใช้ “ครูเพื่อศิษย์” แต่เป็น “ครูเพื่อนาย” หรือ “ครูที่มีปริญญา” ข้าพเจ้าฟันธงว่า วิธีพัฒนาครู ด้วยวิธีที่ไม่เชื่อมโยงกับผลประโยชน์ของศิษย์ เป็นวิธีที่ผิดและไม่คุ้มค่า แต่อาจได้ผลทางการเมือง ได้คะแนนเสียง
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับนโยบายข้อ ๕ ที่เน้นส่งเสริมอาชีวศึกษา แต่ก็กังวลว่าวิธีปฏิบัติจะผิดทาง คือเน้นพัฒนาจากยอด ซึ่งจะไม่ก่อผลให้เกิดศักดิ์ศรีความภาคภูมิใจ และยอมรับนับถือ ในทักษะเชิงเทคนิค และความรับผิดชอบเอางานเอาการสู้งานของผู้จบการศึกษา
นโยบายข้อ ๕ เน้นจัดกลุ่มสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา และเน้นการพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ ซึ่งเห็นด้วย โดยนโยบายข้อ ๕ มีดังนี้ “ยกระดับคุณภาพมาตรฐานการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาไปสู่ความเป็นเลิศ โดยการจัดกลุ่มสถาบันการศึกษาตามศักยภาพ ปรับเงินเดือนค่าตอบแทนของผู้สำเร็จการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้สูงขึ้น โดยภาครัฐเป็นผู้นำและเป็นแบบอย่างของการใช้ทักษะอาชีวศึกษาเป็นเกณฑ์กำหนดค่าตอบแทนและความก้าวหน้าในงาน ควบคู่กับการพัฒนาองค์ความรู้และนวัตกรรมด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา”
แต่แนวทางดำเนินที่ผ่านมาเน้นการขยายตัวของอุดมศึกษามากกว่าความเป็นเลิศ และยังไม่มีวิธีจัดการระบบให้มีความเป็นเลิศหลากหลายแบบ เพื่อเป้าหมายที่แตกต่างกัน แต่ก็มีศักดิ์ศรีและความภาคภูมิใจในความเป็นเลิศในรูปแบบและเป้าหมายของตน
ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับนโยบายข้อ ๗ ที่มุ่งส่งเสริมการใช้ประโยชน์เชิงสร้างสรรค์จากเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยมีข้อความในนโยบายดังนี้ “ส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศเชิงสร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด เพื่อเสริมสร้างการเรียนรู้” โดยในเชิงปฏิบัติว่าภาครัฐมีศักยภาพน้อยมากที่จะทำเรื่องนี้เอง ภาครัฐควรดำเนินการแบบเชื่อมโยงเครือข่าย และร่วมมือกับหน่วยงานภาคประชาสังคมที่มุ่งดำเนินการเรื่องนี้อยู่แล้ว
นโยบายข้อ ๘ มีว่า “เร่งรัดการลงทุนด้านการศึกษาและการเรียนรู้อย่างบูรณาการในทุกระดับการศึกษาและในชุมชน โดยใช้พื้นที่และโรงเรียนเป็นฐานในการบูรณาการทุกมิติ และยึดเกณฑ์การประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาเป็นหลักในการยกระดับคุณภาพโรงเรียนที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และส่งเสริมความเป็นเลิศของมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและวิจัยพัฒนาในภูมิภาค รวมทั้งเสริมสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตในชุมชน โดยเชื่อมโยงบทบาทสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา และสถาบันทางศาสนา”
อ่านแล้วข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกสองด้านที่ตรงกันข้ามไปพร้อมๆ กัน ที่ชอบใจคือเป้าหมายเป็นหนึ่งในภูมิภาค แต่ที่เป็นห่วงคือกลิ่นไอของ เทคโนแครต ที่ขีดวงบทบาทหรืออำนาจที่เน้นภาครัฐเป็นหลัก ยังไม่ได้ร่องรอยของวิธีคิดดำเนินการแบบแนวราบหรือเน้นเครือข่ายเป็นหลัก
เอาเข้าจริง ข้าพเจ้าไม่ได้วิจารณ์ตัวข้อความในนโยบาย แต่วิจารณ์วิธีประยุกต์ใช้นโยบายลงสู่การปฏิบัติ โดยมีสาระสำคัญคืออย่างหลงทางแบบที่เป็นมาแล้ว ๙ ปี
18 กรกฏาคม 52
ที่มา มติชนรายวัน วันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11239 หน้า 22วิจารณ์นโยบายการศึกษาของรัฐบาลอภิสิทธิ์
ไม่มีความเห็น