ตามตารางการปฏิบัติงาน วันนี้ผู้วิจัยกับอาจารย์พิมพ์ตั้งใจว่าจะเดินทางไปที่องค์กรออมทรัพย์ชุมชนบ้านร้อง อำเภอเมือง จังหวัดลำปาง เพื่อไปเก็บ (ภาพ) บรรยากาศการอบรมการเลี้ยงกบ ซึ่งทางกลุ่มเกษตรบ้านร้องจัดขึ้น แต่ก็ต้องยกเลิกกำหนดการกระทันหัน เพราะ ได้รับการแจ้งจาก อ.นวภัทร์ ประธานองค์กรออมทรัพย์ชุมชนบ้านเหล่า (เถิน) ซึ่งตั้งใจว่าจะไปร่วมการอบรมพร้อมกับสมาชิกกลุ่มแม่บ้านของบ้านเหล่าอีก 4-5 คน ว่าทางกลุ่มเกษตรบ้านร้องขอเลื่อนการอมรมออกไปก่อน เนื่องจาก ติดปัญหาเรื่องวิทยากร และ งบประมาณที่ขออนุมัติไม่ทัน
ว่าด้วยเรื่องการอบรมเลี้ยงกบของกลุ่มบ้านร้องนี้เอง เป็นที่มาของบันทึก "ฝัน (ใกล้) จะเป็นจริง" ของผู้วิจัยซึ่งได้เขียนบันทึกลงใน Blog ไปแล้ว แต่จากการพูดคุย (อีกครั้ง) กับ อ.นวภัทร์ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้ทราบว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับแนวความคิดไปจากเดิม กล่าวคือ ตอนแรกที่ได้พูดคุยกันไว้จะเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบ้านร้องกับกลุ่มบ้านเหล่า แต่ต่อมาเมื่อได้มีการพูดคุยกันใหม่ ปรากฎว่ามีข้อสรุปใหม่เกิดขึ้น คือ ทางกลุ่มบ้านเหล่าจะลงทุนเลี้ยงกบที่บ้านเหล่าเอง โดยจะอาศัยกลุ่มบ้านร้องในเรื่องความรู้ , วัตถุดิบ และการตลาด ซึ่งทางกลุ่มบ้านร้องยินดีให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
อ.นวภัทร์ ให้เหตุผลของการตัดสินใจลงทุนเลี้ยงกบว่า จากการที่ตนเป็นประธานกลุ่มแม่บ้านและเป็นประธานกองทุนสวัสดิการชุมชน (กลุ่มวันละบาท) ด้วย ทำให้เห็นว่า ในชุมชนยังมีความต้องการของชาวบ้านอีกมากในเรื่องการประกองอาชีพ โดยเฉพาะฤดูที่ว่างเว้นจากการทำการเกษตร ชาวบ้านจะว่างงานกัน หางานทำไม่ค่อยได้ ซึ่งทางกลุ่มต่างๆในชุมชนก็พยายามที่จะแก้ปัญหา อย่างกลุ่มแม่บ้าน ตอนนี้ก็ริเริ่มในการสร้างอาชีพหลายอย่าง เช่น โรงงานอิฐบล็อก ซึ่งกำลังจะเปิดเป็นโรงงานที่ 2 ในเร็วๆ นี้ , กลุ่มขายกล้วยปิ้ง แต่ขายได้เฉพาะช่วงหน้าหนาวเท่านั้น เพราะ ช่วงอื่นไม่ค่อยมีกล้วย ถึงจะมีก็ลูกเล็ก ลีบ เมื่อนำมาปิ้งหรือมาแปรรูปก็จะไม่ค่อยอร่อยเท่าที่ควร ทางกลุ่มจึงทำขายเฉพาะหน้าหนาวเท่านั้น (ผู้วิจัยขอการันตีว่ากล้วยปิ้งของกลุ่มนี้อร่อยมากจริงๆค่ะ) ฯลฯ
การริเริ่มสร้างอาชีพให้กับชาวบ้านในชุมชนมีปัญหาอุปสรรคอยู่หลายอย่าง สิ่งหนึ่งที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือ อาชีพที่ทางกลุ่มร่วมกันสร้างขึ้นมายังไม่เพียงพอกับความต้องการของคนในชุมชน ดังนั้น ในฐานะประธานกลุ่มแม่บ้าน อ.นวภัทร์ จึงมีความคิดที่จะขยายอาชีพอื่นๆให้เพิ่มมากขึ้น "การเลี้ยงกบ" ก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพที่ทางกลุ่มมีความสนใจและตั้งใจเป็นอย่างมากที่จะทำให้เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งประจวบเหมาะกับการที่ได้ทราบว่าทางกลุ่มบ้านร้องมีการเลี้ยงกบขาย และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เนื่องจาก มีฐานความรู้ในเรื่องการเลี้ยงกบอยู่แล้ว รวมทั้งมีตลาดป้อนวัตถุดิบและรับซื้อกบที่สำคัญ คือ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ทางกลุ่มบ้านเหล่าจึงได้พูดคุย (ในเบื้องต้น) เกี่ยวกับความร่วมมือในการเลี้ยงกบกับกลุ่มบ้านร้อง ซึ่งทางกลุ่มบ้านร้องยินดีให้ความร่วมมือและความช่วยเหลือเป็นอย่างดี จากตรงนี้ อ.นวภัทร์ เห็นว่า ลู่ทางอาชีพเลี้ยงกบน่าจะไปได้ดี จึงรวบรวมผู้ที่สนใจเพื่อที่จะไปร่วมเรียนรุกับทางกลุ่มบ้านเหล่า
สำหรับในส่วนของการบริหารจัดการ อ.นวภัทร์ บอกว่า ตอนนี้เท่าที่คุยกัน ทางกลุ่มจะนำเงินที่ทางกลุ่มมีอยู่มาลงทุนซื้อวัตถุดิบในการเลี้ยงกบให้กับสมาชิกที่สนใจ โดยซื้อผ่านกลุ่มบ้านร้อง และจะขายผลผลิตผ่านกลุ่มบ้านร้องด้วย ส่วนผลกำไรที่ได้จะแบ่ง 80% ให้กับสมาชิกที่เป็นผู้เลี้ยง ส่วนอีก 20% จะหักเข้ากลุ่ม
การสนทนาเรื่อง "การเลี้ยงกบ" เพียงเรื่องเดียว ทำให้ผู้วิจัยเห็นความรู้ที่กลุ่มสะท้อนออกมาอย่างชัดเจนหลายอย่าง เช่น
1.การรู้จักศักยภาพและความสามารถของตนเอง กลุ่มบ้านเหล่าสะท้อนความรู้ตรงนี้ออกมาอย่างชัดเจน โดยในการสนทนาตอนหนึ่งมีคำกล่าวที่ว่า "หากเราไม่อาศัยคนที่มีความรู้ กลุ่มที่ความรู้ มีประสบการณ์ หวังที่จะเลี้ยงเอง จัดการเอง รับรองว่าไปไม่รอด เพราะ เราไม่มีความรู้ที่เพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยง การดูแล การตลาด ปัญหาของกลุ่มต่างๆที่ล้มไปเป็นจำนวนมากก็เพราะเรื่องเหล่านี้ บางกลุ่มผลิตดี แต่หาตลาดไม่เป็น บางกลุ่มมีตลาด แต่สินค้าไม่มีคุณภาพ ทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกัน กลุ่มจึงจะอยู่ได้"
2.การแสวงหาพันธมิตรและพึ่งพาอาศัย เกื้อกูลซึ่งกันและกัน เพราะ คงจะไม่มีคน/กลุ่ม/องค์กรใดสามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยวโดยไม่พึ่งพาอาศัยใคร ในวันนี้กลุ่มบ้านเหล่าพึ่งพาศัยกลุ่มบ้านร้อง ในอนาคตข้างหน้าหากกลุ่มบ้านร้องมีความต้องการอะไร กลุ่มบ้านเหล่าก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือ
เรื่องของ "กบ" (ภาคที่หนึ่ง) ต้องขอจบแต่เพียงเท่านี้ค่ะ หากมีความเคลื่อนไหวจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไปค่ะ