มโนมยิทธิ


                                             

ปัญหาของผู้ไม่เคยฝึกมาก่อน... หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

หลวงพ่อ:-"คำว่า มโนมยิทธิ แปลว่า มีฤทธิ์ทางใจ มโนมยิทธินี่เป็นการเตรียมอภิญญาจะเรียกวิชชาสามตรงๆก็เข้มเกินไป จะเรียกอภิญญาก็ยังอ่อนอยู่เป็นการเตรียมอภิญญา เตรียมเพื่อรับอภิญญาหก วิชชาสามจริง ๆ ไปไม่ได้ แต่เห็นได้นั่งอยู่ตรงนี้ สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระอริยะ สามารถคุยกันได้ นั่งอยู่ตรงนี้สามารถคุยกับเปรตได้ คุยกับอสุรกายได้ คุยกับพวกสัตว์นรกได้แต่ก็นั่งอยู่ตรงนี้เอง ทีนี้สำหรับมโนมยิทธินี่ก็เป็นอภิญญาทางใจส่วนหนึ่งต้องถือว่าเป็นกึ่งหนึ่งของอภิญญา เพราะว่าสามารถเอาจิตไป เอากายในไปทว่าถ้าเป็นอภิญญาจริง ๆ เขายกตัวไปเลย จะไปสวรรค์ไปพรหมเขาเอาตัวไปเลยนั่นต้องใช้กำลังเข้มแข็งกว่า สูงกว่าแต่ว่ากันโดยผล มีผลเสมอกัน เพราะไปเห็นมาได้เหมือนกัน"

ผู้ถาม:-"หลวงพ่อคะ ถ้าอย่างดิฉันต้องการฝึกบ้าง ต้องใช้เวลากี่วันคะ....?"
หลวงพ่อ:-"ก็สุดแล้วแต่คุณจะทำได้ ถ้าคนทำได้เร็วไม่ถึงวันก็ได้อันนี้จริง ๆ นะ ถ้าทำได้เร็วใช้กำลังใจถูกต้อง โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้หญิงนี่จะได้เร็วมากเพราะพวกผู้หญิงนี่ไม่ค่อยสงสัย เพราะตัวสงสัยเป็นตัวนิวรณ์ส่วนใหญ่จริง ๆ พวกผู้หญิงนี่มักจะเป็นได้วันแรก นี่พูดถึงส่วนใหญ่นะแต่พลาดมาวัน ๒ วันที่ ๓ ก็มี ใช้เวลาไม่มากหรอก เราไม่ต้องนับเดือน ไม่ต้องนับปีกันถ้าคุณจะฝึก คุณต้องไปซ้อมกำลังใจเสียก่อน ถ้าซ้อมกำลังใจให้ทรงตัว มาวันแรกก็ได้มันอยู่ที่ความเข้าใจ คือ ไม่ต้องทำอะไรมาก ทรงอารมณ์ไว้เฉย ๆหายใจเข้านึกว่า นะ มะ หายใจออกนึกว่า พะ ธะไม่ต้องทำให้มันเครียดหรอก ให้มันชินเท่านั้นเองคำว่า ชิน หมายความว่า ถ้าให้เราภาวนาอย่างนี้เมื่อไร เราภาวนาได้ไม่ต้องไปนั่งเครียดทั้งวันทั้งคืน ซ้อมให้ทรงตัวนะ"
ผู้ถาม:-"หลวงพ่อคะ อย่างเรามีความศรัทธา จะฝึกมโนมยิทธิเรามีความจำเป็นไหมคะที่เราจะต้องรู้รายละเอียดในความหมายของคำภาวนา นะ มะ พะ ธะ"
หลวงพ่อ:- "ก็ไม่ต้องไปละ อยู่ที่เดิมน่ะ ถ้าฉลาดแบบนั้นไปไหนไม่ได้เขาให้ภาวนาเพื่อเป็นกำลังของสมาธิเท่านั้นเขาไม่ต้องใช้ปัญญา ปัญญาเขาใช้ส่วนอื่น ถ้าขืนฉลาดแบบนั้นก็อยู่ที่เดิมการเจริญพระกรรมฐาน เขาต้องไปตามจุด ต้องเฉพาะกิจที่เขาจะสอนให้แจกแจงนั่นต้องปฏิบัติในธาตุ ๔ เขาเรียกว่า จตุธาตุววัตถาน ๔ แต่อันนี้ไม่ใช่เขาต้องการภาวนาเพื่อเป็นกำลังของจิต เพื่อให้จิตเป็นทิพย์ชื่อเหมือนกัน แต่ใช้กิจต่างกันอย่างกับทัพพีเขาใช้คนหม้อข้าว เป็นทัพพีสำหรับหุงข้าวถ้าเขาไม่มีช้อน เอามาตักข้าวเข้าปาก นี่มันกลายเป็นช้อนไป ใช่ไหม.....นี่ก็เหมือนกัน ต้องใช้เฉพาะกิจของเขา ถ้าเรื่อยเปื่อยไปก็พัง รับรองได้เลยถ้าเรื่อยเปื่อยไป นอกรีตนอกรอย อีกแสนชาติก็ไม่ได้ต้องฉลาดพอดี ไม่ใช่ฉลาดเกินพอดี กิจอันนี้เขาทำเพื่ออะไรถ้าเราจะแจงเป็นธาตุ ๔ ก็ไม่ใช่ลักษณะนี้นั่นต้องหวลเข้าไปหาสุกขวิปัสสโก ไม่ใช่ฉฬภิญโญหมวดแต่ละหมวดของกรรมฐาน ปฏิบัติไม่เหมือนกัน"
ผู้ถาม:-"หลวงพ่อคะ บางคนเขาภาวนาว่า "พุทโธ" แต่ว่าทำไมเขาไปได้คะ....?"
หลวงพ่อ:-"ถ้าเขาไปได้แล้ว อะไรก็ได้ ให้มันสตาร์ทติดเสียก่อนถ้าไปได้แล้วจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา นึกปั๊บมันถึงเลย กำลังเขาพอ เข้าใจไหม.....คือว่า คำภาวนาที่เราใช้กันหนัก เพราะเรายังไม่คล่องแบบเขียนหนังสือน่ะ อ่านหนังสือวันแรก สองวัน สามวัน เขียน ตัว ก.ไม่ได้ ถ้าเขียนคล่องแล้ว นึกเมื่อไรเขียนได้เลย ใครเขาพูด ก็เขียนได้เลยเหมือนกันถ้าคล่องจริง ๆ ไม่ต้องภาวนา พอนึกปั๊บมันถึงทันที"
ผู้ถาม:-"หลวงพ่อคะ บทสตาร์ทนี่ ต้อง "นะ มะ พะ ธะ" อย่างเดียวหรือคะ"สัมมา อรหัง" ได้ไหมคะ...?"
หลวงพ่อ:-"เอาแล้ว หาเรื่องตกร่องอีกแล้ว มันมีหลายสิบบท ไม่ใช่บทเดียวแต่ว่าบทนี้เท่านั้น ขณะที่ไปอยู่จึงจะคุยกับคนข้าง ๆ ได้นอกนั้นเขาไปเงียบ จบจุดแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง
ฉันคิดว่า ถ้าไปกันเงียบๆ ชาวบ้านเขาจะหาว่าโกหก ฉันจะตัดตัวนี้คือปัจจุบันเห็นแล้วคุยได้เลย ถามทางโน้นก็บอกทางนี้ได้ทันที เขาต้องการอย่างนี้ฉันยังจำคำแนะนำของหลวงพ่อปานได้ เมื่อก่อนฉันจะบวชฉันบวชนี่ ฉันไม่ได้บวชตามประเพณีกับเขา บวชเพื่อพิสูจน์พระศาสนาพระศาสนาว่า สวรรค์มีจริง นรกมีจริง ฉันจะไปเที่ยวหลวงพ่อปานท่านบอกความต้องการของแกน้อยไป ข้าต้องการมากกว่านั้น แต่ว่าแกบวชแล้ว แกต้องรับคำสอนอย่างคนโง่นะ"อย่างคนโง่"ก็หมายความว่า ท่านบอกตรงนี้จุดไหนก็ไปแค่นั้นแหละ เดี๋ยวก็ถึงอันนี้ถูกต้อง เพราะท่านรู้จักทาง ท่านก็นำตรงถ้าเราฉลาดเกินไป ก็เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาอีกฉันอยู่กับหลวงพ่อปานเดือนเดียว ฉันได้หมด เพราะฉันยอมโง่อย่างลูกสาวของฉันนี่มันฉลาดมากเกินไปอย่างนี้เขาเรียกว่า "ฉลาดหมาไม่กิน" ใช่หรือเปล่า........?"
ผู้ถาม:- "ใช่ค่ะ"
หลวงพ่อ:- "ถ้าหมากิน เอ็งหมดไปนานแล้ว"
หลวงพ่อพูดให้กำลังใจว่า:-"ค่อย ๆ ทำไปนะ ไม่ต้องใช้เวลาให้มาก ไม่ต้องไปใช้เวลาที่สงัดนั่งเล่นทำอะไรเล่นก็ตาม นึกอะไรก็ภาวนาหายใจเข้า นึก "นะ มะ" หายใจออก นึกว่า "พะ ธะ" สองสามครั้งก็ได้ถ้ามันฝืนขึ้นมาก็เลิกกัน ต้องการให้อารมณ์ชินอย่างเดียว เวลาเขาฝึกจะได้ไม่แย่งกัน ให้แยกกันเสียให้เด็ดขาดยามปกติเราต้องการความสุข เราภาวนา "พุทโธ" ของเราไปแต่บางขณะเช่นเวลานี้ ฉันจะเอา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ยอมให้ "พุทโธ" มาแย่งไม่กี่วันหรอกอย่างมากก็ ๒-๓ วันถ้าลองจนชินดีแล้ว เราต้องการภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก็ให้อยู่แค่ "นะ มะ พะ ธะ"พุทโธให้แยกไป ถ้าเราต้องการภาวนา "พุทโธ" ก็ "พุทโธ" ไปตามปกติ อันนี้ก็ใช้ได้ค่อย ๆ ทำไปนะ อยู่ที่ความเข้าใจตัวเดียว ใครจะคุมหรือไม่คุมไม่สำคัญ ต้องภาวนาถูกต้องตามแบบเขา ไม่งั้นพระพุทธเจ้าก็ไม่วางแบบไว้ซิถ้าภาวนาอย่างไรก็ได้ พระพุทธเจ้าจะวางแบบไว้ทำไม สอนเสียอย่างเดียวก็พอใช่ไหม....""พุทโธ" น่ะเป็นสายของสุกขวิปัสสโกเขาสายสุกขวิปัสสโก ไปไหนไม่ได้ ได้แต่ตัดกิเลสสายเตวิชโชก็มีคำภาวนาตั้งหลายสิบแบบแต่ถ้า "นะ มะ พะ ธะ" เป็นการเตรียมเพื่ออภิญญา จึงไปได้กรรมฐานไม่ใช่ว่าทำอย่างเดียว แบบจริง ๆ มี ๔๐ แบบถ้าเราใช้อะไรก็ใช้แบบที่ถูกต้อง ไม่งั้นไปไม่ได้"
ผู้ถาม:-"สมมุติว่าหนูฝึก "พุทโธ" หลวงพ่อจะฉุดหนูไปได้ไหมคะ.........?"
หลวงพ่อ:-"ได้ ฉุดลงใต้ถุนไปไม่มีทาง จะฉุดได้ยังไง พระพุทธเจ้าท่านยังไม่ฉุดใคร
หลวงพ่อจะไปฉุดเอ็งเข้า ดีไม่ดีเขาจะมาตีเอาตายโทษหนักเสียด้วย โทษถึงประหารชีวิต
เรื่องอื่นยังพอทำเนา บรรเทาโทษได้ แต่ว่าเรื่องนี้ประหารชีวิตกันเลยนะ หนอยแน่........
ไม่ได้หรอก ไอ้หนู ต้องฝึกเองแล้วทำไมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ไม่ได้.........?"
ผู้ถาม:- "รู้สึกว่ามันเหนื่อยคะ"
หลวงพ่อ:- "แล้วที่ด่าชาวบ้าน ทำไมทำได้ล่ะ..........?"
ผู้ถาม:- "หนูไม่เคยด่าใครคะ ครั้งเดียวไม่เคยค่ะ....."
หลวงพ่อ:- "น่ากลัวไปล่อหลายเที่ยว"
ผู้ถาม:- (หัวเราะ)
หลวงพ่อ:-"ไอ้นี่ต้องคิดซิว่า "พุทโธ"เหมือนกับนั่งอยู่กับบ้านถ้าเราจะไปอเมริกา เดินไปมันก็ไม่ไหว ก็ต้องขึ้นเครื่องบินไปแบบ "นะ มะ พะ ธะ" เขาฝึกเพื่อหาเครื่องบินไปการฝึกในพระพุทธศาสนา เขามีตั้ง ๔ ประเภทถ้าแบบใหญ่จริง ๆ มี ๔๐ แบบ แบบย่อยอีกนับพันอย่าง"นะ มะ พะ ธะ" เป็นส่วนหนึ่งของอภิญญา แต่ก็ยังไม่เข้าถึงอภิญญาจริง ต้องถือว่าเตรียมเพื่ออภิญญา นี่เขามีจำกัดนะแต่ว่าการปฏิบัติแบบนี้เขาก็มีหลายสิบแบบนะถ้าเป็นแบบเก่า คนข้าง ๆ ถามไม่ได้ ฉันก็ไม่อยากสอนใครฝึกแบบนี้ ถ้าไปได้ คนข้าง ๆ สามารถถามได้ตลอดเวลา ไปถึงไหน ๆ เล่าได้ตลอดเวลาถ้านอกจากนี้ไปก็นั่งเงียบอยู่คนเดียว เลิกแล้วกลับมาจึงเล่าสู่กันฟังอย่างนี้ฉันว่าของเก่านั้นของดี แต่ว่าพวกที่เขามีความสงสัย ก็จะคิดว่าพวกนี้มาโกหกจึงไปหาแบบนี้มา แบบนี้ก็ไม่ได้สร้างเอง เป็นของพระพุทธเจ้าเหมือนกันคนข้าง ๆ สามารถถามได้เวลานี้ไปถึงไหน แล้วจะบอกได้ตลอดเวลาหาอย่างนี้มา ๒๓ ปี กว่าจะพบตำรานี้ ไม่ใช่ค้นคว้าเองนะทราบอยู่ว่าของพระพุทธเจ้าท่านมีแต่ตำราที่เราฝึกเราไม่พบ กว่าจะพบก็สิ้นเวลาบวชไป ๒๓ ปีแต่ว่าวิธีอื่นน่ะทำได้ ถ้าเพื่อส่วนตัวนี่ทำได้ตั้งแต่พรรษาต้น แต่ว่าเราจะรู้เราก็ต้องรู้คนเดียว เลิกมาแล้วจึงมาเล่าสู่กันฟัง ทีนี้สำหรับคนรับฟังก็จะหาว่าโกหก อย่างสมมุติว่า พ่อเขาตาย แม่เขาตาย เขาถามว่าพ่อแม่เขาอยู่ที่ไหนตามผีนี่ตามง่ายกว่าตามคน ต้องการจะพบใคร มันพบทันทีถ้าเราจะเอาให้แน่นอน เมื่อพบแล้วก็ให้เขาแสดงตัวเวลาที่เป็นมนุษย์รูปร่างเป็นอย่างไร แสดงให้ดูซิ เวลาป่วยยังไง ผอมหรืออ้วนอาการป่วยที่คนพอจะรู้ได้ขอให้บอก พวกที่เขาถามเขารู้ว่าเคยป่วยแบบไหนเขาอาจจะไม่รู้ทั้งหมดรู้จุดใดจุดหนึ่งนะ เขาจะบอกให้ฟังถ้าถามถึงโรค มีอยู่หลายราย เขาบอกว่าที่หมอหรือพยาบาลบอกว่าตายด้วยโรคนั้น ๆจริง ๆ มันไม่ใช่ เขาตายอีกโรคหนึ่ง แต่พยาบาลเขาเข้าใจว่าโรคนั้นนี่เราต้องถามอาการที่คนอื่นจะรู้ เขาทำท่าให้ดูเสร็จเรียบร้อยแล้วก็บอกคนข้างๆว่าพบแล้ว เวลาที่มีชีวิตอยู่ รูปร่างเป็นอย่างนี้ ใช่ไหม......และอาการที่จะตายจริง ๆ มีลักษณะแบบนี้ใช่ไหม..... คนนี้สมัยที่มีชีวิตอยู่เป็นคนใจดี หรือชอบหัวเราะ หน้าบึ้งขึงจออะไรก็ตาม ถามเขา เขาบอกตามความจริงทั้งหมด คงเข้าใจแล้วนะ สำหรับท่านที่ยังมีความสงสัยในคำภาวนาและการฝึกแบบนี้แต่ก็คงจะสงสัยอย่างอื่นอีก จึงขอนำปัญหาและคำตอบให้คลายสงสัยเสีย"
ผู้ถาม:-"หลวงพ่อคะ ถ้าหากฝึกมโนมยิทธิสามารถขึ้นไปข้างบนได้แล้วจะหลงวกวนอยู่บนนั้นไหมคะ....?"
หลวงพ่อ:-"แหม......อีหนูเอ๊ย อยากให้หลงจริง ๆ ถ้ามันไปติดอยู่วิมานใดวิมานหนึ่ง แหม...ดีจริง ๆ"
ผู้ถาม:- (หัวเราะ) "ไม่หลงใช่ไหมคะ.......?"
หลวงพ่อ:- "ไม่หลงหรอก"
ผู้ถาม:-
"แล้วที่ครูเขาแนะนำว่าไปที่วิมาน วิมานอยู่ที่ไหนคะ..........?"

หลวงพ่อ:-"ถ้าเราไปถึงพระนิพพานได้ วิมานบนพระนิพพานก็ต้องมีเมื่อไปถึงนิพพานได้เขาจะบอก ๒ จุด เพราะว่าครูเขาไม่มีเวลาสอนมากถ้าเราขึ้นไปบนสวรรค์ ดูวิมานของเรามีไหม.....ถ้าไม่มีก็ไปดูวิมานของเราที่พรหมมีไหม..... ถ้าไม่มีก็เหลืออยู่แห่งเดียวที่นิพพาน แสดงว่าชาตินี้ตายแล้วไปนิพพานแน่ ถ้าหากว่าวิมานที่สวรรค์ยังมีอยู่ หรือยังมีอยู่ที่พรหมและวิมานที่นิพพานมีอยู่ แสดงว่าจิตเราจับวิปัสสนาญาณได้เล็กน้อย แต่มันหมองมันไม่แจ่มใสแต่วิมานเราอยู่จุดที่แน่นอนอันนี้แจ่มใสถ้าวิปัสสนาญาณเราดีพอ จิตเราเข้าถึงโคตรภูญาณ วิมานข้างล่างนี่จะหายหมดมันจะเหลือหลังเดียวข้างบน ถ้าเหลือหลังเดียวข้างบน ตายแล้วมันไม่มีที่อยู่ ต้องไปอยู่หลังนั่นแหละถ้าพอถึงนิพพานแล้วยังถามว่าไปไหนอีกถ้าอารมณ์ใจยังพอใจในการเที่ยวก็แสดงว่ากิเลสยังหนาอยู่ถ้าเที่ยวไป ๆ ไม่ช้ามันจะเบื่อเที่ยว จิตมันจะรักอารมณ์อยู่จุดหนึ่ง คือขึ้นไปนิพพานมันก็ไม่อยากขึ้น มันอยากจะตัดขันธ์ ๕ สบาย ๆ อารมณ์จิตเป็นสุขแต่ก็มีเกณฑ์บังคับว่า นิพพานต้องไปทุกวันเพื่อให้จิตมันจับเป็นเอกัคคตารมณ์แปลว่า จิตมันเป็นหนึ่งเดียว ต้องการอย่างเดียวคือนิพพาน ให้มีความผูกพันแล้วไปนิพพานไปที่ไหน....?นิพพานมี ๒ จุดที่เราจะไปก็คือ ที่ประทับของพระพุทธเจ้าและก็วิมานของเราถ้าเราไม่เห็นพระพุทธเจ้า เรานึกถึงท่าน ท่านจะมาทันทีคือว่าจิตอย่าปล่อยพระพุทธเจ้า ให้จิตมันเกาะไว้เป็นอารมณ์ ทีนี้ตายแล้วก็มาที่นี่แหละ เรื่องของชีวิตมันจะตายเมื่อไรก็ช่าง คือว่าอย่าไปคิดว่ามันจะอยู่อีก ๒ ปีตื่นขึ้นมา เราคิดว่าเราอาจจะตายวันนี้ มันถึงจะถูกอันนี้เป็น มรณานุสสติกรรมฐาน ใช่ไหม......ถ้าวันนี้มันจะตายมันจะไปไหน ตื่นขึ้นมาปั๊บ เราคิดว่าเราจะตายวันนี้ จิตพุ่งปรู๊ดขึ้นนิพพานเลยขึ้นไปแล้วสัก ๒-๓ นาทีก็ช่าง ให้อารมณ์มันสดชื่น พิจารณาขันธ์ ๕ เท่านั้นแหละถ้าจิตตอนเช้าเราจับเป็นอารมณ์ไว้ แล้วกลางวันเราก็ไม่ได้นึกถึงนิพพานมัวนั่งพูดกับเพื่อนบ้าง ทะเลาะกับเพื่อนบ้าง ขัดคอกับเพื่อนบ้าง หลบหน้าเจ้าหนี้บ้างตามเรื่องตามราวนะ บังเอิญตายวันนั้นมันก็ไปนิพพานเพราะตอนเช้าเราตั้งอารมณ์ไว้แล้วใช่ไหม.....คืออารมณ์ตอนเช้า เวลาที่จิตมันสบายตั้งอารมณ์ไว้เลย ตั้งอารมณ์ไว้ก็อย่าตั้งไว้เฉย ๆ ไปเลย ไปนั่งอยู่ข้างหน้าพระพุทธเจ้าให้จิตมันชื่นใจเวลานั่งข้างหน้าพระพุทธเจ้ามันสบายใจ ใช่ไหม........ท่านสวย ท่านสว่าง ดูแล้วไม่อิ่มไม่เบื่อ อารมณ์มันก็มีความสุขคิดว่าที่นี่เป็นที่ที่เราจะมาในเมื่อขันธ์ ๕ มันพัง ให้ทำแบบนี้นะ"
ผู้ถาม:-"แล้วอย่างสมมุติว่า คนที่เขาฝึกได้แล้ว เขาไปได้เขาก็เห็นวิมานของเขาแสดงว่าเขามีวิมานอยู่ ถ้าหากเราอยู่อย่างนี้ เราทำแต่ความดี เราจะมีวิมานไหมคะ......?"
หลวงพ่อ:- "เราก็มีบ้านอยู่"
ผู้ถาม:- "หนูอยากมีวิมานค่ะ"
หลวงพ่อ:- "ไปสร้างกุฏิสักหลังซิ"
ผู้ถาม:- "มีจริง ๆ หรือคะ?"
หลวงพ่อ:-"วิมานน่ะ เขามีด้วยกันทุกคน ถ้าทำความดีแต่ว่าเราจะสามารถไปเห็นวิมานของเราหรือไม่อย่างการก่อสร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างกุฏิ สร้างส้วม สร้างศาลาอะไรก็ตามเถอะเราเอาเงินไปร่วมกับเขาด้วยความตั้งใจจริง วิมานจะปรากฏเลยเราจะรู้หรือไม่รู้อยู่ที่การฝึกจิต อย่างที่เขาฝึก "นะ มะ พะ ธะ" กัน"

                                 

                 คัดลอกจากหนังสือ หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒
                                            หลวงพ่อพระราชพรหมยาน

http://www.bloggang.com/

 

คำสำคัญ (Tags): #มโนมยิทธิ
หมายเลขบันทึก: 272910เขียนเมื่อ 2 กรกฎาคม 2009 20:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 21:00 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (13)

จงรู้เห็นตามสิ่งที่ปรากฏขึ้นทุกขณะอย่างนิ่มนวล

แล้วจะรู้ว่ามโนมยิทธิคืออะไรขอรับ

P  ขอบพระคุณค่ะ คุณธรรมฐิต ที่แนะนำค่ะ

อยู่กับธรรมะมีแต่ความสุขกายสุขใจ ขอบพระคุณ

เคยรู้จักเเละได้ยินค่ะเพราะคนข้างตัวนับถือเเละเครพหลวงพ่อฤาษีลิงดำเเละหลวงพ่อปานวัดบางนมโคยังเคยได้สวดคาถาเงินล้านค่ะครูลี

P ขอบพระคุณท่าน ผอ ที่มาเยือนค่ะ อยู่ใกล้ธรรมะแล้วใจเยือกเย็น ดีค่ะ

P ค่ะ คุณสุธีรา ขอให้คุณพบเจอแต่สิ่งดีๆนะคะ

HAVE A NICE LONG WEEKEND KA

มารับธรรมะด้วยค่ะ

เพิ่งทราบว่า ครูลีลาวดีเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

ผมมี MP3 เสียงหลวงพ่อ หลายแผ่น ไม่ทราบว่าสนใจไหมครับ

 

P อนุโมทนาด้วยนะคะ คุณแฮมเบอร์เกอร์กุ้ง

P ยินดีมากเลยค่ะ ท่านรอง อย่าลืมล่ะ

สวัสดีค่ะ

ครูตาอ่านพอรู้เรื่องบ้าง เพิ่งรู้เรื่อง มโมยิทธิ ค่ะ ขอบพระคุณมากนะคะ

P อ่านเหนื่อยไหมคะ คุณครูตา อิอิ ยาวมากเลย แต่มีประโยชน์มากค่ะ

ขอบคุณเนื้อหาครับจะนำไปปฏิบัติ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท