เปิดเทอมใหม่เปิดใจคุณครู
วันเปิดเทอมใหม่
บรรดาคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองหลายท่านคงจะมีความวิตกกังวลใจไม่น้อยเกี่ยวกับการปรับตัวของบุตรหลาน
จะมีพ่อแม่ไม่กี่คนที่เคยมีประสบการณ์หรือเคยผ่านเหตุการณ์ในวันเปิดเทอมใหม่ของหนูๆวัยอนุบาลมาแล้ว
ผมเองเคยมีลูกเรียนอยู่อนุบาลและมีลูกศิษย์อนุบาลผ่านมาแล้วกว่า ๒๐
รุ่น ดังนั้นจึงขอนำประสบการณ์ที่ผ่านมานำมาบอกเล่าสู่กันฟัง
เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับท่านที่สนใจ
นำไปปรับใช้ตามที่เห็นสมควร
การเตรียมตัวลูกน้อยในวันเปิดเทอมใหม่
คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองควรจะลองปฏิบัติดังนี้
๑)
พาลูกหลานไปเยี่ยมชมโรงเรียนก่อนเปิดเทอมเพื่อสร้างความคุ้นเคย
๒)
ควรบอกกับลูกหลานว่าหนูจะได้มาพบคุณครู และจะได้พบเพื่อนๆมากมาย
เพื่อให้เด็กไม่วิตกกังวลและเกิดความมั่นใจว่าจะไม่ถูกทอดทิ้ง
๓) วันแรกของการไปโรงเรียน
ถ้าผู้ปกครองไปส่งด้วยตนเองไม่ควรอยู่โรงเรียนกับเด็กทั้งวัน
ควรมอบความไว้วางใจ
ยอมมอบบุตรหลานให้กับคุณครูแม้ว่าเด็กอาจจะร้องไห้ก็ต้องใจแข็ง
เพื่อให้เด็กติดครู ติดโรงเรียน (ส่วนครูเขาก็จะมีวิธีหลอกล่อ
ใช้จิตวิทยาจูงใจให้เด็กมีความอบอุ่นใจและอยากอยู่กับคุณครู)
๔)
กรณีที่ผู้ปกครองได้ให้คำมั่นสัญญาอะไรกับบุตรหลาน
จะต้องรักษาคำมั่นสัญญาให้มั่นเหมาะ เช่น
สัญญาว่าจะมารับหลังเลิกเรียนก็ต้องมารับตามเวลาไม่ใช่ว่าปล่อยให้เด็กรอจนถึงเย็นก็ยังไม่มา
เป็นต้น อย่าลืมว่าเด็กจะจดจำสัญญาแม่นมาก
คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองจะสัญญาอะไรต้องคิดให้รอบคอบก่อนว่าทำได้หรือไม่
ไม่เช่นนั้นถ้าท่านไม่ทำตามสัญญาเด็กจะไม่เชื่อใจท่านอีกเลย
เด็กเรียนรู้ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม
ในช่วงสัปดาห์แรกเด็กๆจะได้รับการแนะนำจากคุณครูให้รู้จักเพื่อนๆ
คุณครูและสิ่งต่างๆที่อยู่ในโรงเรียน
เด็กจะเกิดการเรียนรู้และเริ่มปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อม
ซึ่งผิดแผกแตกต่างกับที่บ้าน
จะมีเด็กบางคนที่ปรับตัวได้ง่ายและอาจมีบางคนที่ปรับตัวค่อนข้างยาก
อาจจะมาจากการเลี้ยงดูที่แตกต่างกัน
บางครั้งเด็กมาโรงเรียนไม่ยอมทานข้าว
ไม่ยอมปัสสาวะหรือถ่ายอุจจาระซึ่งเป็นหน้าที่ของครูที่จะคอยสังเกต
ช่วยเหลือ แนะนำ
สำหรับเด็กที่มีปัญหาในการปรับตัว
คุณพ่อ คุณแม่ ผู้ปกครองสามารถช่วยได้ดังนี้
๑) หมั่นสอบถามว่าลูกมาโรงเรียนรู้จักใครบ้าง
ลูกทานข้าวได้หรือไม่ อาหารอร่อยหรือเปล่า และมีเพื่อนแล้วหรือยัง
เป็นต้น
๒) หมั่นติดต่อสื่อสารกับคุณครู เช่น
โรงเรียนจะมีสมุดสื่อสารใส่ไปในกระเป๋านักเรียน
เมื่อกลับไปถึงบ้านควรเปิดอ่าน
และเขียนสมุดสื่อสารกับคุณครูหรืออาจใช้โทรศัพท์พูดคุยกับคุณครู
เพื่อร่วมมือกันช่วยเหลือแนะนำนักเรียน
๓) ถ้าเด็กไม่อยากมาโรงเรียน
คุณพ่อคุณแม่ต้องใจเย็นอย่าไปบังคับขู่เข็นหรือคาดคั้นจะลงโทษ
ควรใช้วิธีปลอบโยนแล้วค่อยสอบถามหาสาเหตุว่าทำไมจึงไม่อยากไปโรงเรียนและควรแจ้งให้ครูประจำชั้นทราบด้วย
เพื่อจะได้แก้ไขปัญหาร่วมกันอย่างตรงประเด็น
เตรียมความพร้อมทุกๆด้าน
เมื่อเด็กมาอยู่ในโรงเรียน
เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของคุณครูในการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กทุกๆด้าน
ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ
สังคม และสติปัญญา
ดังนั้นโรงเรียนจึงได้จัดหน่วยประสบการณ์การเตรียมความพร้อมให้กับเด็กในลักษณะการฝึกทักษะประสบการณ์ผ่านการเล่นโดยอาจจะเล่นกับเพื่อนๆ
หรือเล่นตามลำพัง
ซึ่งเด็กจะเกิดการเรียนรู้ในขณะที่เล่นกับเพื่อนๆหรือการเล่นตามลำพัง
ตามความสนใจของตนเอง
เท่าที่เคยมีประสบการณ์
พบว่า คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองบางท่านใจร้อน อยากให้ลูกๆอ่านออก
เขียนได้ อยากให้ครูมอบการบ้านให้ลูกๆ ซึ่งถือว่าเป็น
"เจตนาดีแต่ประสงค์ร้าย"
เพราะขัดกับหลักการเตรียมความพร้อมให้กับเด็กวัยก่อนวัยเรียน
หากเด็กได้รับการ "เตรียมความพร้อมทุกๆด้านอย่างสมดุล" แล้ว
เท่ากับเป็นการวางฐานรากที่เข้มแข็ง มั่นคง
และในอนาคตเด็กๆเหล่านี้ก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกๆด้านในภายภาคหน้าอย่างแน่นอน
ปฐมพงศ์ ศุภเลิศ
๗ พ.ค.๒๕๔๙
การศึกษาของเราเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นอีกหลายด้าน เศรษฐกิจ
สังคม สภาพแวดล้อม วัฒนธรรม เป็นต้นการศึกษาระดับปฐมวัย
แม้จะมีหลักการ วิธีการเป็นที่ยอมรับชัดเจนอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ทำให้การศึกษาปฐมวัยเบี่ยงเบนไปได้มากมาย ขอจงเข้าใจและทำใจ