ขนำ-(เพื่อ)พักจิต-(แบบ)ไร้สัญญาณ


นึกดี ๆ ผมได้ค้นพบว่าการเสียโอกาส หรือมีข้อจำกัดในบางเรื่องหากเรารู้เท่าทัน เราก็จะสามารถนำมาเป็นเครื่องมือได้เป็นอย่างดีทีเดียว หากรู้เท่าทัน และใช้ให้เป็น

     นานแล้วผมเคยบันทึกเรื่อง “(คน)ไร้สัญญาณ” ไว้ ในลักษณะการพักเพื่อทบทวน คิด เตรียมการ และนั่งทำงานคนเดียวเงียบ ๆ เมื่อยามที่ต้องการใช้สมาธิ สถานที่แห่งนั้นคือ ขนำในสวนยาง ที่ไม่มีใครพักแล้ว ผมไปขออยู่ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นบ้านของผมเลย เพราะผมมักจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ นอนที่นี่ จนผมเรียกว่าบ้าน มีเพียงไฟฟ้าใช้ให้แสงสว่างและเพื่อต่อโน้ตบุคเท่านั้น หากแต่ต่อมาผมก็พยายามที่จะขอใช้เสาดึงสัญญาณโทรศัพท์ ในยามกลางคืนที่เจ้าของเขาไม่ได้ใช้มาใช้เพื่อให้ต่อ GPRS ได้ และใช้ connected ออกสู่โลกภายนอกในระบบ Internet โดยเฉพาะการเก็บเกี่ยว ลปรร. และตีพิมพ์บันทึกใน GotoKnow.org เป็นหลัก

     วันนี้ (2 เม.ย. 49) ผมกลับจากไปร่วมประชุมแผนงานคนพิการที่ สวรส.ภาคใต้ มอ. ต่อด้วยการเข้าไปทำธุระที่ สปสช.เขตพื้นที่ (สงขลา) ณ ถนนเพชรเกษม อ.หาดใหญ่ ตั้งแต่เวลาประมาณบ่าย 2 ถึง 5 โมงเย็น มาเห็นว่าโทรศัพท์หมดเบตเอาตอนจะกลับแล้ว เลยตัดสินใจขับรถกลับจนมาถึงขนำใช้เวลาประมาณเกือบ 2 ชม. แบบมาเรื่อย ๆ เมื่อชาร์ตเบตโทรศัพท์แล้ว พบว่าระบบ GSM ใช้การไม่ได้เลย เป็นอย่างนี้ในช่วงเวลานี้มาประมาณ 3 วันแล้ว ขนำที่ ๆ ผมอยู่หากไม่ใช่ระบบ GSM จะใช้ระบบอื่นไม่ได้ แม้แต่ GSM ก็ต้องใช้เสาดึงสัญญาณช่วยและจะมีสัญญาณเพียง 1-2 ขีด เท่านั้น ความรู้สึกว้าวุ่นที่ติดต่ออะไรไม่ได้ และ connected ไม่ได้ ทำให้ครุ่นคิด รอ และรอ สัญญาณ นานหลาย ชม.แล้วก็ยังติดต่ออะไรไม่ได้เลย ไม่มีหมายเลขที่ท่านเรียกบ้างล๊ะ connected error บ้างล๊ะ หรือไม่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ หรือที่บ่อยที่สุดคือ สัญญาณไม่ครอบคลุม ผมตัดสินใจหลังจากนึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่บอกว่า...เมื่อมาถึงขนำแล้วจะทำตัวเป็นคนไม่มีสัญญาณ จะทำงานแบบ Offline รอจนเวลาที่สามารถ Online ได้ ก็ค่อยดำเนินการต่อจากที่เตรียมไว้

     ผมตัดสินใจเลือกว่าจะลองทำตัวแบบเดิมคือเป็นคนไม่มีสัญญาณสักคืนหนึ่ง เพื่อทดสอบใจตัวเองว่าเป็นอย่างไร (ตอนนี้กำลังเขียนบันทึกแบบ Offline) ขณะนี้รับรู้ได้ว่านิ่งในระดับหนึ่ง มีที่คิดหลุดออกไปบ้าง แต่ก็เชื่อด้วยใจตนเองว่าจะสามารถพักจิตได้ไม่ให้ฟุ้งซ่านออกไป ซึ่งเคยทำได้เสมอในอดีต คืนนี้ก็ต้องทำได้ ตอนเช้าก่อนตีพิมพ์บันทึกนี้ผมจะเขียนต่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง และเป็นอย่างไรครับ...

     ตอนตี 3 โดยประมาณ ผมลุกออกจากขนำ ขับรถไปบ้านพ่อ แต่เลี้ยวอ้อมไปพัทลุงมาก่อน เรื่อย ๆ เพลิน ๆ ... (มีอะไรอีกมากมายภายในสัญลักษณ์ ...)

     เช้าของวันที่ 3 เม.ย. 49 พบว่าตัวเองสงบได้มากเมื่อคืนที่ผ่านมา และสามารถสร้างสรรค์งานที่ควรจะต้องทำได้มากพอสมควร ผมรู้ว่าทำไมที่ผ่านมาผมไม่ค่อยนิ่ง หวั่นไหว มักจะเป็นกังวลกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาและเลือกตอบสนองในทันทีตามประสาคนใจร้อน หากแต่เมื่อผมใช้ข้อจำกัดที่มีอยู่เพื่อจัดการกับตัวเองในลักษณะเชิงบวก กลับพบว่าสามารถควบคุมจิตให้ก่อเกิดสมาธิได้ดีทีเดียว นึกดี ๆ ผมได้ค้นพบว่าการเสียโอกาส หรือมีข้อจำกัดในบางเรื่องหากเรารู้เท่าทัน เราก็จะสามารถนำมาเป็นเครื่องมือได้เป็นอย่างดีทีเดียว หากรู้เท่าทัน และใช้ให้เป็น เล่า ๆ ให้ฟัง และอาจจะบอกว่าต่อไปผมคงเป็นคนไร้สัญญาณบ่อยขึ้น และมากขึ้น

หมายเลขบันทึก: 26616เขียนเมื่อ 3 พฤษภาคม 2006 10:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 19 มีนาคม 2015 08:31 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (8)

ทำได้จริงเหรอ...

คิดเชิงบวก..มันยากมากไม่ใช่เหรอ...

 

ผู้ไม่ประสงค์ออกนาม (Dr.Ka-poom ลืมใส่ชื่อ)

     ไม่ยากหรอกครับ หากได้ช่วย ๆ กันประคับประคอง ช่วยเหลือกันไป (ยิ้ม อย่างรู้ทัน)

มาแซว..แซว...ให้อารมณ์ขัน

เห็นว่าคุณ"ชายขอบ"...ชอบแยกปลีกวิเวก..

โลกส่วนตัว...คงน่าอยู่นะคะ

*^__^*

ความสุขอยู่ที่ใจ

Dr.Ka-poom และ คุณบัวใต้น้ำ

     ขอบคุณครับที่ทำให้รู้สึกดี แจ่มใส และคิดอะไร ๆ ได้ต่อ

ในขณะที่กำลังปวดร้าว..และรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างไม่มีค่าอะไรมากนัก ชอบอยู่คนเดียว
ทำอะไรคนเดียว เหมือนมีโลกส่วนตัว ในขณะที่อีกโลกหนึ่งต้องจำยอมต่ออีกบุคคลตลอดชีวิต
ด้วยความรู้สึกที่ว่ารัก..(รักที่ดูเหมือนเป็นการขายจิตวิญญาณตนเอง)แต่หากจริงๆ แล้วเขาเป็นเพียงคนเดียว
ในโลกนี้ที่มีเป็นเพื่อน เพราะได้ตัดขาด...
เพื่อนออกไปจากชีวิตนานแล้ว เวลาไปไหนก็ไปด้วยกัน เวลาชีวิตส่วนใหญ่ถูกใช้ไปกับเขา ไม่มีเพื่อน
ไม่มีสังคม ไม่มีแม้เวลาที่เป็นส่วนตัว...ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยอยู่ในห้องพักอันหรูหรา..มองผ่านกระจก
ที่ถูกกั้นเป็นผนังห้องมองไปข้างนอก มองเห็นชีวิตคนอื่นๆ ดำเนินไป แล้วย้อนถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า
เรามาขังตัวเองอยู่ในห้องนี้ทำไม...ทำไมเราไม่ออกไปโลดแล่น..อยู่ข้างนอก...แต่ก็ไม่กล้า..กลัว
และต้องคอยเขาคนนั้นปกป้อง(คิดเอาเอง)ด้วยความรู้สึกที่โดดเดี่ยว

แล้วอยู่มาวันหนึ่ง...ชีวิตพลัดลงมาอยู่ในโลกหนึ่ง..เฝ้าวนเวียนที่ที่หนึ่งเจอคนๆหนึ่ง ที่มีการมองคนเป็นคน...
มองคนมีคุณค่า..แต่ก็ได้แค่มาแอบไม่คิดว่าเราจะมีค่ามากพอที่เขาอยากจะคุยด้วย...ไม่กล้า..
จนอยู่มาวันหนึ่งจดจดจ้องๆ เลยลองเขียนสิ่งที่โดนใจอะไรบางอย่างไปไม่ได้คาดหวังว่าจะมีใครมาพูดด้วยหรอก
แต่..แล้วเขาที่เราแอบเฝ้ามองนั้น..ก็หันมาคุยด้วย..ทำให้รู้สึกพองโตและมีความสุข..
ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้...มีสีสดใส..เราอาจอยู่ในที่ปลอดภัย..แต่นั่นก็ทำให้มีใครคนหนึ่งมาคุยด้วยได้
ชีวิตอิสระ...เริ่มรู้จัก..เหมือนได้เดินออกมาจากระจกที่กั้นตัวเองไว้ในห้องนั้น

และแล้วโลกก็เปลี่ยนไป...เริ่มก้าวขาออกมาสู่โลกกว้างด้วยมือของใครคนหนึ่งยื่นมาให้จับก้าวเดินออกมาจากความกลัว
จากความชอบ ก่อตัวเป็นความรัก...รักที่หลอมรวม..แห่งจิตวิญญาณ..
แต่..ก้าวเดินออกมาได้ไม่นาน...(รักที่ว่านั้นเริ่มจะดูเหมือนเป็นการครอบจิตวิญญาณ?)
ก็โดนคนเดิมนั้นหันกลับมามองแบบดุดุ...ว่าเดินผิดทาง ก้าวขาผิดข้าง..
ความกลัวเกิดขึ้นมาอีก...ครั้ง...ไม่กล้า ไม่มั่นใจ
ภาพเก่าๆ ที่เคยโดนในโลกเก่า..ๆ..ในห้องนั้นกลับมาอีกครั้ง
กลัว..
และเริ่มมองหาที่แคบๆ..ห้องสี่เหลี่ยมปิดกั้นตัวเองอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้..ขาดคนคอยปกป้อง..(ในความรู้สึกที่คิดเอาเอง)
ถึงมีหรือไม่มี..คนคอยปกป้อง...
แต่ความรู้สึก..โดดเดี่ยวก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
พร้อมกับความรู้สึกว่า"ตน"ไม่มีค่า...กลับมาอีกครั้ง

คุณชีวิต

     "ก็โดนคนเดิมนั้นหันกลับมามองแบบดุดุ...ว่าเดินผิดทาง ก้าวขาผิดข้าง..ความกลัวเกิดขึ้นมาอีก...ครั้ง...ไม่กล้า ไม่มั่นใจ"
     ผมว่าประโยคข้างต้นนี้แหละที่เป็นสาเหตุของสิ่งที่จะผิดพลาดอีกครั้ง ลองทบทวนและพิจารณาดี ๆ อย่าเปิดรับสิ่งที่รู้แน่ชัดแล้วว่าประสงค์ร้ายสิครับ ตั้งสติ คนดีคนนั้น (ใครคนหนึ่งยื่นมาให้จับก้าวเดินออกมาจากความกลัว) เขายังอยู่เป็นเพื่อน คอยปกปักพิทักษ์รักษา เพียงแต่วันนี้คุณได้ไว้วางใจเขาไหม และให้โอกาสเขาได้ทำหน้าที่ไหม หรือคุณ Block เขาเสียเอง
     เขียนเพื่อให้นึกได้และได้พิจารณา และเพื่อให้กำลังใจนะครับ

อ่านแกล้มเพลงเดือนต่ำดาวตกของครูทูลทองใจนะคะ ขนำปลายนา! สาวบ้านนา ปลายฝนแล้ว... ไม่มีสายวสันต์โปรยปรายลงมาพร่างพรมพรำ ให้สาวนานอนฟังเสียงพร่างพราว ราวดนตรีไพรดนตรีฝันดนตรีธรรมชาติอีกต่อไป หมอกบางๆ ยังเรี่ยรายพรายพลิ้วโอบตระกองกอดยอดภูและทิวไผ่ ยังห่มคลุมไปทั่วทั้งผืนนา..สีไพล รอสลายลาไปกับสายแสงแรกแห่งอรุณรุ่ง กบเขียดในนาพากันเลิกร้องระงมแล้ว เฝ้าจำศีล..ในรูมิสู้แล้ง ลำห้วยสายเล็กๆเริ่มแล้งแห้งน้ำ มีเพียงดอกไม้ป่าเริ่มบานสะพรั่งรับลมร้อน..ระริน ใบไม้พากันปลิดปลิวลิ่วร่อนว่อน เกลื่อนกล่นไปทั้งราวไพรราวป่า พาให้ทุกสัมผัสคราย่างเหยียบเกิดเสียงดังกรอบแกรบๆ วันนี้ สาวนาตั้งใจเข้าป่าเข้าไพรมาว่ายน้ำระเริงร่างใจ ในลำห้วยสวยใสสั่งลา อำลา ก่อนที่จะแห้งขอด ที่นะบัดนี้ ลำห้วยสายที่สาวนาเลือกนี้ยังมีน้ำเนืองนองสองฟากฝั่ง ไม่เหมือนลำห้วยบางลำเล็กๆ ที่เห็นแต่กรวดหินโผล่ระดะแล้ว สาวนาวักน้ำในลำห้วยใส่ปาก น้ำอันแสนหวานหอมด้วยรสธรรมชาติ ให้อาบเอิบในหอมห้วงหัวใจ รินไหลเข้าไปในดวงจิตดวงใจ วิญญาณดวงไพรอันแสนสงบงาม ให้รู้ค่าน้ำค่าดิน..นานเนา.. ที่ยามได้ดื่มกินจะชื่นจะอิ่มงาม ยิ่งกว่าการดื่มน้ำแร่แสนแพง ที่พากันเข่งโหมโฆษณาตามทีวี ที่สาวนาเคยเห็น เพราะน้ำที่นี่ดื่มฟรี และ ยังมีธรรมชาติรายรอบให้ยิ่งใสเย็นเป็นของแถม แกมด้วยความหอมแห่งมวลดอกไม้ป่า ที่กำลังพากันบานสะพรั่งรินโชยกลิ่นหอมหวานมาตามสายลมเย็น ที่ยิ่งเน้นให้หัวใจบรรเจิดบรรจง..เป็นยิ่งนักยามที่ได้พักตาพักใจ สาวนา ค่อยๆถอดเสื้อออกช้าช้า และนุ่งผ้ากระโจมอก โน่นดวงดอกข่าสีแดง บานแรงบานแฉ่งแข่งขับสีเขียวไพลเขียวตอง ลอดร่องเรียวไม้มาทายทักสาวนา และนั่น ชบาไพรดอกใหญ่สีส้มจัดจ้า ที่สาวนาอดใจไม่ได้ต้องขอเด็ดมาทัดแก้มแซมผม ก่อนที่จะค่อยๆเลื่อนตัวลง แหวกว่ายในสายน้ำอันแสนฉ่ำเย็น สาวนาดำผุดดำว่าย จนเข้าไปใกล้รากไทรเอน ที่มีเถาวัลย์พันห้อยระย้าย้อย ให้เหนี่ยวตัวเล่นราวชิงช้าไพร แล้วค่อยๆปล่อยตัวหล่นโครมคราม ในท่ามสายธารอันงามใสงามสวย ซึ่งเป็นฉากงามเคียงลำห้วย ด้วยดวงดอกจิกสีชมพูหวาน ที่กำลังหว่านโปรยปลิดปลิวพลิ้วพรายพรม ห่มหอมหวานไปทั่วทั้งธารน้ำรัก มีเพียงเสียงกู่ก้องของสรรพสัตว์ เสียงนกไพรแว่วมาตามสายลมพรมไหวไปกับยอดไม้ไหวเอนอ่อน สาวนานอนหลับตานิ่ง ให้จิกน้ำ..ดอกงามดอกชมพูร่วงพรูพราวใส่ร่าง ที่ยามนี้ทำตัวเบาแสนเบาให้ลอยเหนือน้ำ และราวไร้ร่างไร้จิต ฝึกสนิทผสานร่างไปกับธรรมชาติงามแห่งสายน้ำ ที่เบื้องล่างใสแสนใส จนเห็นกรวดเม็ดกระจ่างพร่างระยิบระยับวะวิบวับวะวับวาว รับสายแสงละออของดวงดอกแดด ที่ทอทอดลอดโลมไล้ ให้ลำห้วยนั้นยิ่งงามล้ำราวอัญมณีไพร มณีใจอันแสนล้ำเลอค่า...อย่างยากยิ่งหาคำใดมาอธิบาย.. สาวนา..มองฉากป่า ที่นะบัดนี้ราวเวทีฝัน ที่ถูกเติมแต่งแต้มด้วยฝีมือธรรมชาติ อย่างไม่กลัวเปลืองสี ที่ดาระดาดเต็มไปด้วยดวงดอกไม้ป่านานาพันธุ์ มีทั้งหางนกยูงฝรั่ง สร้อยอินทะนิล คูนเหลืองพราว ตะแบกพราวกลีบบางบางม่วงละมุน หอมกรุ่นด้วยดวงดอกกล้วยไม้ไพรตามคาคบ บ้างก็ผลิช่อตูมตั้ง บ้างก็กำลังชูช่อไสวแย้มบานประดับไพรพนา ที่สาวนา ไม่เคยอยากเด็ดกลับบ้าน เพราะกล้วยไม้ไพรนั้นจะงามเมื่ออยู่ตามคาคบไม้ ที่ราวสวรรค์จะชลอไว้ให้สาวนา มาเสพสุนทรีย์เพียงลำพังในยามนี้ในฤดูนี้ ที่ฤดีสาวนาเพียงผู้เดียวจะรู้เวลาบาน สาวนา..เพลินไพร. กับน้ำในลำห้วยใส จนเกือบสายัณห์ตะวันรอน ที่เริ่มอ่อนแสงจะอัสดง สาวนา..ค่อยๆคุ้ยหาเห็ด เห็ดหมู เห็ดหล่ม เห็ดโคน เห็ดขิง เห็ดข่า เห็ดถอบ เห็ดไข่ห่านเหลือง.. หากทว่าหายากยิ่งนักแล้วในฤดูกาลนี้ *ไม่เป็นไรสาวนาคิด*..ด้อมๆมองหาผักกูดผักหวาน แค่นี้ก็บานเบิกใจแล้ว ก่อนที่จะมาถึงกระท่อมไพร สาวนาตรงไปแวะเด็ดยอดกระถินริมรั้ว และตำลึงที่เลื้อยพัน นั่นชะอมอิ่มงามยอดเขียวใส.. สาวนาจะไปเก็บไข่ในเล้ามาคลุกเคล้าทอดแนมน้ำพริกก็คงอร่อยดี มีถั่วฝักยาวผักขิงกับพริกขี้หนูสวน และเติมใบกะเพราให้หอมหวลหอมอวลน่ากิน สาวนา อดใจไม่ได้คิดถึงเพลงสาวชาวสวนขึ้นมา จึงร้องฮัมเพลงเบาๆคลอเคล้าผลไม้ผักหญ้าริมรั้วบ้าน ที่งามวันงามคืน ให้สาวนากินไม่หมด ไหนจะกล้วยสวนกอยักษ์ที่ห้อยหวีหนักหวีไหว จนในวันนี้สาวนาต้องตัดมาห่มหอมรอง ด้วยใบตองอันงามราวสไบไพรสไบนางไม้ ไว้ใส่ตะกร้าคอยแจกญาติธรรมมิ่งขวัญกัลยาณมิตรวันไปวัด.. ที่ทุกคนราวนัดกันกินอาหารพิ้นบ้าน แบบชีวจิตที่เพิ่งฮิตตามไม่กี่ปีนี่เอง สาวนา..แสนมีความสุขสงบใจ ตั้งใจว่าคืนนี้จะทำกล้วยบวชชีและ เอาไปให้เพื่อนบ้านแถวนี้ ดีกว่านอนเปล่าให้เหงาเงียบใจ สาวนา..ค่อยๆไล้ตะเกียงในครัว และจุดไฟในเตาพร่างให้หอมกลิ่นไม้ปะทุ จนคุโชนแล้ว สาวนา ค่อยๆจัดแจงขูดมะพร้าว กับกระต่ายอย่างเร็วหากเบามือ และ ท่ามกลางแสงจันทร์เสี้ยวที่ทอทอดลอดไล้ ผ่านครัวโปร่ง โล่งแลด้วยไม้ไผ่สาน หากจะเห็นงามง่าย ของชีวิตสาวนาในท่ามกลางงามเหงื่อ ที่อวลอบไปด้วยรสมือ ที่คือชีวีชีวิตดิบเดิม งามเพิ่มค่าคำกุลสตรีไทย ที่งานครัวนั้นไซร้คือความละไมละมุน ให้ทุกคนอิ่มอุ่นท้อง..ครองรักยาวยืน.. และหลังเสร็จงานครัว ราตรีนี้ก่อนที่จะนิทรา สาวนาตั้งใจร้อยมาลัยมะลิ มะลิซ้อนมะลิลามะลิฉัตรอันแสนหอมกรุ่น ไว้พลีบูชาพระพุทธ กราบสวดมนต์ก่อนนอน เพี่ออธิษฐานจิตขอพร ให้พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์จงคุ้มครองป้องปักอ้าย คนดีที่แสนรักเอยแสนรักในกมล ในยามนี้ที่ไกลกัน ให้อ้ายนั้นปลอดภัย และมีแต่ความงามสงบในจิตใจดวงใสดวงดี มีแต่ความอิ่มในรสบุญการุณย์ธรรม มาน้อมนำห่มหอมใจ ไม่ว่าร่างใจจะอยู่ณ.แห่งหนไหน ให้มีพลังจิตติดต่อกันได้ ให้รู้ว่ายังมีสาวนารอคอยด้วยรักภักดี ยังมีจิตดวงดีดวงสวยดวงหอมงาม ด้วยความหนักแน่นมั่นคงซื่อตรงกับคำมั่นสัญญา มิลาเลือน จนกว่าเรือนกายจะแตกดับ หาก ทว่าเรือนจิตนั้น ก็ยังตามติดหลอมรวมผนึกแน่นเป็นหนึ่ง ในรักภักดิ์พลีมิมีวันสิ้นสลาย สาวนา.. จึงมีจิตเอิบงามนอนหลับตาสยายผมดอมดมดวงดอกไม้ ใกล้ชายคากระท่อมปลายนา ในท่ามแสงตะเกียงริบหรี่ไหวในม่านมุ้งสีขาว แม้นหนาวใจลำพัง ในกระท่อมแห่งรักแห่งหวังใกล้ลานฝันลานลั่นทม ใกล้ผืนนาอันอุดม ด้วยรวงเรียวระย้าย้อย ที่รอคอยเคียวเกี่ยวเก็บไม่ช้านาน กับดอกดวงจิตตระการราวอัญมณี ที่มิมีวันมอดแสงด้วยแรงแห่งปาฎิหารย์รัก อันจักโชนแสงสวยจรัสโชติช่วงชัชวาลไปตราบนานเนานิรันดร์..! http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=234 กระท่อมไพรวัลย์ แดน นี้มี กระท่อมไพร สุข กว่า แดน ไหน ในพนาป่านี้ปานว่า ดังจะเป็น กระท่อม รา ชา ดี กว่าแดนไหนในหล้า ป่าเขาลำเนา ไพร ฟัง เสียงพิณกอไผ่สี ดังหนึ่งมโหรี เป็นดนตรีขับขานมาให้ เวียงวังทอง ก็รองกระท่อม ไพร มี ป่าเป็นรั้วกว้างใหญ่ แดนไพรนี้เป็นประหนึ่งธานี มี แต่เราเหงาใจดังว่า ชวน ฉัน น่า อนาถใจแสนทวี ยัง ขาดนางเป็นราชินี ถ้า หาก แม้น มีกระท่อมไพรนี้สุขสมปอง ทิว เขาปานดังม่าน บัง หริ่ง ต่าง แตร สังข์ ดังเวียงวังสวรรค์หอห้อง วังเวงพา ปักษา แว่ว ร้อง ชะนีกู่ เรียกหาคู่ครอง ชวนให้ฉันปองกระท่อมไพรวัลย์... ************* http://thaipoem.com/web/songshow.php?id=4086 กระท่อมปลายนา กระท่อมปลายนา หลังนี้ ไงล่ะเจ้า คือเหย้าเรือนหอ ที่สร้างไว้รอ คอยนางนอ้ง แม้นไม่ ใหญ่โต โอฬาร ใช่ตึกสถาน วังทอง แต่ถัา เจ้าครอง จะยิ่ง สวรรค์ กระท่อมปลายนา หลังน้อย นี้ละเจ้า เทียบเท่า เมืองฟ้า ถ้าได้แก้วตา มาเคียงขวัญ น้องครองเป็นรา ชีนี ส่วนพี่ จะเป็น ราชันย์ร่วมกัน สร้างสรรค์ วิมาน ปลายนา จากแรงงาน หยาดเหงื่อ พี่สร้างขึ้นเพื่อ นางน้อง เพื่อเราทั้งสอง ร่วมครอง วิวาห์ โปรดเห็นใจพี่ มาเป็น เทพี กระท่อมปลายนา พี่รัก แก้วตา ยิ่งกว่า ดวงใจ กระท่อม ปลายนา หลังน้อย ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้ แม้ย่าง เดือนออก พรรษา เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร จะไป สู่ขอ ตาม ประเพณี กระท่อม ปลายนา หลังน้อย ยังคอยเจ้า ยังเฝ้า คอยน้อง เป็นผู้ครอบครอง กระท่อมไม้ แม้ย่าง เดือนออก พรรษา เก็บเกี่ยวในนา เมื่อไร จะไปสู่ขอ ตาม ประเพณี...
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท