สำนักงานเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรมีการปฏิบัติตามระบบการจัดการคุณภาพ GAP พืช ภายใต้โครงการส่งเสริมการผลิตพืชปลอดภัยและได้มาตรฐาน มาตั้งแต่ ปี 2548 จนถึงปัจจุบัน มีเกษตรกรที่ผ่านการประเมินความพร้อมเพื่อเข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพ GAP แล้ว 7,991 ราย แต่มีเกษตรกรที่ได้ใบรับรอง GAP พืชแล้วเพียง 3,231 แปลง
ในกระบวนการผลิตพืชให้ปลอดภัยและได้มาตรฐานตามระบบ GAP พืช นั้น มีหลักปฏิบัติสำคัญ 8 ข้อ ที่เกษตรกรต้องปฏิบัติและผ่านการประเมิน จึงจะได้ใบรับรอง Q GAP พืชจากกรมวิชาการเกษตร ดังนี้
1. แหล่งน้ำและคุณภาพน้ำที่ใช้ในกระบวนการผลิตต้องไม่มีการปนเปื้อนสิ่งที่
เป็นอันตราย
2. พื้นที่ปลูกที่ไม่มีความเสี่ยงจากสารพิษที่จะทำให้เกิดการตกค้างหรือปนเปื้อน
ในผลิตผล
3. การใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างถูกต้องและเหมาะสม
4. การเก็บรักษาและการขนย้ายผลิตผลในฟาร์มต้องสะอาด ปราศจากสาร
ปนเปื้อน
5. การบันทึกข้อมูล เกี่ยวกับการใช้วัตถุอันตรายและกระบวนการผลิต
6. ผลิตผลปลอดภัยจากศัตรูพืช
7. การจัดการกระบวนการผลิต เพื่อให้ได้ผลผลิตคุณภาพ
8. การเก็บเกี่ยวและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
สำนักงานเกษตรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ได้จัดเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่าง
เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรในประเด็นเกี่ยวกับการดำเนินงานโครงการส่งเสริมการผลิตพืชปลอดภัยและได้มาตรฐาน ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์การทำงานโดยมองถึงสิ่งที่เป็นปัญหาก่อน แล้วนำสิ่งที่ได้พบมาเปรียบเทียบในสิ่งที่เคยทำกับสิ่งที่ควรทำ และพบว่าที่ผ่านมาปัญหาสำคัญที่เกษตรกรไม่สามารถปฏิบัติได้ตามระบบ GAP พืช คือ การจดบันทึกและการเก็บสารเคมีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในข้อกำหนดเรื่องการใช้วัตถุอันตรายทางการเกษตร โดยได้องค์ความรู้ในการส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถปฏิบัติตามในเรื่องการจดบันทึกและการเก็บสารเคมี ดังนี้
เจ้าหน้าระดมสมองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การจดบันทึก มี 5 ประเด็นใหญ่ที่สามารถนำไปส่งเสริมเกษตรกรได้ ดังนี้
1. การสร้างความรู้ความเข้าใจ โดย
1) อธิบายถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการจดบันทึก
2) ให้ความรู้การจดบันทึกแก่เกษตรกร
3) ให้คำแนะนำโดยชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างระหว่างการจดและไม่จดบันทึก
2. การฝึกปฏิบัติ/ทดลองทำ โดย
4) ฝึกปฏิบัติการจดบันทึก
5) มีการทดสอบการใช้แบบจดบันทึก
3. ปรับวิธีการจดบันทึกให้เหมาะสม โดย
1) ใช้แบบบันทึกแบบง่าย สั้น กระชับ
2) บันทึกตามความเข้าใจของเกษตรกร ไม่ต้องยึดตามหลักวิชาการมากเกินไป
3) ให้ลูกหลานเป็นผู้จดบันทึกโดยเกษตรกรเป็นผู้บอกรายละเอียดให้จด
4. การติดตามอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินผลและนำปัญหาที่เกิดขึ้นไปปรับปรุง
วิธีการให้เหมาะสม
5. การสร้างแรงจูงใจ โดยการให้รางวัลแก่เกษตรกรที่มีการจดบันทึกได้ดี
ส่วนการเก็บสารเคมี มี 3 ประเด็นใหญ่ที่สามารถนำไปส่งเสริมเกษตรกรได้ ดังนี้
1. การสร้างความรู้ความเข้าใจแก่เกษตรกร โดยบอกให้เห็นถึงประโยชน์และ
โทษของการเก็บสารเคมี
2. แนะนำจากประสบการณ์ โดย
1) ให้เกษตรกรรู้ถึงวิธีการที่ถูกต้อง ได้แก่ การแบ่งประเภทสารเคมีตาม
การใช้ให้ชัดเจน ดัดแปลงอุปกรณ์และสถานที่ที่มีอยู่แล้วมาเป็นสถานที่เก็บ เพื่อไม่ให้เกษตรกรเห็นว่าต้องมีภาระเพิ่มจากการทำสถานที่เก็บสารเคมี
2) การป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ได้แก่ ควรมีป้ายบอกประเภท
สารเคมีติดไว้ให้ชัดเจน จัดเก็บให้พ้นมือเด็ก/สัตว์เลี้ยง เก็บให้ห่างจากแหล่งน้ำและบ้านพักอาศัย และมีกองทรายไว้กลบกรณีสารเคมีตกแตก เป็นต้น
3. ศึกษาดูงานในแหล่งที่มีการปฏิบัติที่ดี เพื่อเป็นแนวทางแก่เกษตรกรที่
สามารถนำไปประยุกต์ปฏิบัติในฟาร์มของตนเองได้
เจ้าหน้าที่นำผลสรุปจากเวทีกลุ่มย่อย นำเสนอในกลุ่มใหญ่ และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
และนี่ก็คือความรู้ที่เจ้าหน้าที่ได้ร่วมกันแลกเปลี่ยนเรียบนรู้จากประสบการณ์ เพื่อนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับเกษตรกร ถึงแม้อาจจะมีเกษตรกรเพียงบางส่วนที่เห็นความสำคัญและมีความพร้อมในการผลิตพืชปลอดภัยและได้มาตรฐาน จริงๆ ซึ่งปัจจัยหลักที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกษตรกรมีการผลิตพืชปลอดภัยและได้มาตรฐาน คือราคาและตลาดรับซื้อผลผลิต จะเห็นได้ว่าเกษตรกรที่มีการผลิตผลผลิตเกษตรเพื่อการส่งออกจะให้ความสำคัญและมีความพยายามเข้าสู่ระบบการจัดการคุณภาพ GAP มากกว่าเกษตรกรทั่วไป
ขอบคุณครับ กำลังทำ GAP เหมือนกันครับ เป็นประโยชน์มากครับ
มาเยี่ยมชม กับเกษตรชัด นะ
ขอบคุณมากนะ ที่นำความรู้มาแบ่งปันกัน ครับ
สวัสดีค่ะ พี่สิงห์ป่าสัก
คุณเจษฎา
พี่เกษตรยะลา
หนุ่มร้อยเกาะ
คุณสุริขาติ
ยินดีร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ งานส่งเสริมการเกษตรเนี่ยไม่มีวันหยุดนิ่ง ต้องคิด/เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ขณะเดียวกันก็ต้องทบทวนและไม่ลืมของเก่าด้วยค่ะ