กองทุนเพื่อสังคม


กองทุนที่อยากคบเด็กสร้างบ้าน อิ อิ

เดือนมิถุนายนของทุกปี เราจะได้นั่งทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

28 พค. 2552 เราเดินทางไปสิงคโปร์ด้วยความงงกับชีวิตช่วงปีที่ผ่านมา...

30 พค. 2552 เราเดินทางกลับจากสิงคโปร์ด้วยความรู้สึกที่ดีขึ้นนิดหนึ่ง...

 

นึกไปถึงเรื่องที่พี่มุกับพี่รินชวนเราไปญี่ปุ่นเมื่อปี 2549...

เราได้เห็นกลุ่มเยาวชนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่ม คิดดี  อยากทำธุรกิจคิดดี มีเด็กกลุ่มหนึ่งที่เราได้พบใน 2-3 เมืองที่พยายามทำธุรกิจที่เป็นประโยชน์กับผุ้อื่น เช่น การร่วมเป้นสหกรณ์เจ้าของร่วมในธุรกิจสินค้าจากประเทศโลกที่สาม เช่น ฟิลิปปินส์ ไทย เป็นต้น แต่เราก็ได้เห้นว่าเด็กเหล่านี้อยู่กับโลกแห่งความฝัน ยังไม่เป็นธุรกิจมากนัก ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเขียนโครงการ และประมูลขอทุน ใครอยากช่วยโครงการไหนก็บริจาคให้เงินเลยทีเดียว...  เคยสรุปว่าแบบนี้ไม่ดี เดี๋ยวเด้กๆจะติดเป็นนิสัยที่ขอเงินคนอื่นไปทำกินจนเคยตัว อิ อิ

ปี พ.ศ. 2550 เราทำธุรกิจด้วยเงินทุนตัวเอง แบบประเภทที่ธุรกิจที่สนองความต้องการตนเองและสังคม ด้วยความมองโลกในแง่ดีเกินไปและไม่ระแวดระวัง เราก็เลยได้รับบทเรียนราคาแพงด้วยการถูกโกงไปหลายบาททีเดียว

ช่วง3เดือนที่กลุ้มใจและเฝ้าแต่ถามตนเองนั้น เคยคิดจะเลิกคิดธุรกิจดีๆหลายครั้ง แต่ก็อยากที่เขาพูดกันว่า "สิ่งหนึ่งที่คนชั่วไม่มี คือ อุดมการณ์ เมื่อใดไม่มีประโยชน์ คนชั่วจะเลิกทันที แต่หากคนดี จะคิดเลิกทำสิ่งใดนั้นต้องคิดมาก เพราะคนดีคิดมากก่อนทำ และล้มเลิกความคิดนั้นยาก" ต้องขอบคุณเพื่อนหลายคนที่ช่วยพยุงจิตใจไว้ และขอบคุณพ่อแม่และครูบาอาจารย์ที่ให้กำลังใจและคำแนะนำจนผ่านวิกฤตนั้นมาได้ 

ปี 2551 ธุรกิจเริ่มอยู่ตัว เราเริ่มเข้าสู่การทำงานกับภาคการเมือง มีพี่ที่รักคนหนึ่งบอกว่า หากต้องการแก้ไขสังคม ให้เข้าไปเปลี่ยนที่โครงสร้าง ปี 2552 ครบรอบปีที่ทำงานช่วยการเมืองด้วยแรงกายแรงใจแรงสมองอย่างหนัก เราพบว่า การเมืองนี่แหละที่ทำให้โครงสร้างสังคมไทยห่างไกลจากสิ่งที่ควรจะเป็น การเมืองปัจจุบันไม่ได้นำทางสว่างให้สังคมไทย แล้วเราจะเดินไปอย่างไร

ดิฉันรู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากได้ไปพักสมองที่สิงคโปร์ แต่ก็ทุกข์ใจกับประเทศชาติไทยอันเป็นที่รัก คิดไปคิดมา กลับตั้งหลักเริ่มต้นจากที่เดิมดีกว่า

เรามีเวลา...

เรามีคนที่รัก...

เรามีขอบเขตที่จำกัด...

เรารู้สึกปลอดภัย...

เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ...

เราเปลี่ยนที่ตัวเรา...

นั่งคิดเหมือนย้อนไปเมื่อสามปีก่อน เราอยากทำธุรกิจรีสอร์ทดูแลผู้สูงอายุ ต้องใช้เงินมากเลย ตอนนั้นมองไม่เห็นอุปสรรคเพราะอยากทำมาก สุดท้ายก็ไปทำอย่างอื่น

ตอนนี้พอจะขยับขยายได้แล้ว ประสบการณ์ก็มากขึ้น ผิดถูกก็เจอมาพอสมควร ยอมรับว่ากว่าจะผ่านช่วงนั้นมาได้ ก็เหนื่อยพอควร แต่ปะป๊าบอกว่านักธุรกิจทุกคนต้องเจอแบบนี้ทั้งนั้น

เราคิดว่าภาคธุรกิจนำสังคมนะ นำการพัฒนาคน นำการเมือง หากภาคธุรกิจต้องการคนมีคุณภาพ ต้องการนักธุรกิจน้ำดีจำนวนมาก ระบบการศึกษาและหลักสูตรต้องผลิตคนแบบนี้ออกมา การเมืองต้องตามคุณภาพคน แต่ทางกลับกันทุกวันนี้สังคมแย่เพราะการพัฒนาคุณภาพคนแบบไม่มีทิศทาง บอกตัวเองไม่ได้ว่าจะเอาดีด้านไหน

เราอยากเปิดโรงเรียนสอนนักธุรกิจน้ำดี อิ อิ ตอนนี้ก็เปิดโรงเรียนอยู่แล้ว ว่าจะเพิ่มหลักสูตร "ผู้ประกอบการธุรกิจน้ำดี รับประกันการมีสัมมาอาชีวะ ประคับประคองจนธุรกิจรอด" กระทรวงศึกษาธิการของเราจะให้หลักสูตรนี้ผ่านไหมเนี่ย อิ อิ

จะตั้งกองทุนเพื่อลงทุนกับธุรกิจของเยาวชน โดยเป็นหุ้นส่วนในความฝันของเขา เขาถือหุ้นใหญ่ เราเป็นผู้ถือหุ้น และจะประคับประคองธุรกิจด้วย หากวันไหนเขาจะซื้อหุ้นคืนก็จะขายให้ด้วย

ความคิดอย่างนี้ จะเข้าท่า "การเป็นนักธุรกิจมีใจเพื่อสังคม" ไหมนะ

 

 

หมายเลขบันทึก: 265110เขียนเมื่อ 1 มิถุนายน 2009 23:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 20 พฤษภาคม 2012 10:57 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท