ด่วน! ก.ค.ศ.ไฟเขียวเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่-เน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าเอกสาร


ด่วน! ก.ค.ศ.ไฟเขียวเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่-เน้นผลสัมฤทธิ์มากกว่าเอกสาร

 

ขอเลื่อนข้ามชั้นด้วยวิธีพิเศษได้ จาก"ชำนาญการ"เป็น"เชี่ยวชาญ"

ก.ค.ศ.ไฟเขียวเกณฑ์ประเมินวิทยฐานะใหม่ ประเมิน 3 ด้านคุณธรรมจรรยาบรรณผลงานเชิงประจักษ์-แฟ้มสะสมงาน และคุณภาพ นร. ตั้งเกณฑ์ผลสัมฤทธิร้อยละ 60 พร้อมตั้ง กก.ประเมิน 3:1 อ.ก.ค.ศ.เขตฯ ยังกุมชะตา เตรียมประชาพิจารณ์ก่อนประกาศบังคับใช้



วันที่ 28 พ.ค.52 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ เปิดเผยถึงผลการประชุมคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา(ก.ค.ศ.) เมื่อเร็วๆ นี้ ว่าที่ประชุม ก.ค.ศ.ได้รับทราบความคืบหน้าการดำเนินการปรับปรุงหลักเกณฑ์ และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีและเลื่อนวิทยฐานะ (ว 25 ปี 2548 และ ว 2 ปี 2551) ตามที่ได้มอบหมายให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ดำเนินการ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

คุณสมบัติของผู้ขอรับการประเมิน เห็นควรให้ผู้ขอรับการประเมิน ต้องมีระยะเวลาในการดำรงตำแหน่งและวิทยฐานะ ตามที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน ตำแหน่งและมาตรฐานวิทยาฐานะ โดยให้ยื่นขอรับการประเมินได้ เมื่อได้รับเงินเดือนต่ำกว่าขั้นต่ำของวิทยฐานะที่ขอรับการประเมิน ไม่เกิน 1 ขั้น ถ้าขอรับการประเมินด้วยวิธีพิเศษ ผู้ขอรับการประเมินจะต้องมีเงินเดือนต่ำกว่าขั้นต่ำของวิทยฐานะ ที่ขอรับการประเมินไม่เกิน 2 ขั้น

สำหรับการประเมิน กำหนดให้มีการประเมิน 3 ด้าน คือ ด้านวินัยคุณธรรมจริยธรรมพิจารณาจากประวัติการรับราชการ (ก.พ.7) และคำรับรองของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน เกณฑ์การตัดสิน ใช้เกณฑ์ผ่านและไม่ผ่าน, ด้านความรู้ความสามารถ พิจารณาจากประจักษ์พยาน แฟ้มสะสมงานที่แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่พัฒนาตนเองและพัฒนางานในวิชาชีพอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องได้คะแนนประเมินไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70

และด้านผลการปฏิบัติงาน ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ผลการพัฒนาคุณภาพ ผู้เรียน มีค่าน้ำหนักร้อยละ 60 พิจารณาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ/หรือผลการทดสอบของหน่วยงานที่แสดงให้เห็นว่า ผู้เรียนได้มีการพัฒนาด้านการเรียนรู้หรือพัฒนาการด้านอื่นๆ และส่วนที่ 2 ผลงานทางวิชาการ มีค่าน้ำหนักร้อยละ 40 เป็นรายงานการศึกษาค้นคว้า หรือผลการวิจัยในชั้นเรียน ที่มีจุดมุ่งหมายในการแก้ปัญหาด้านการเรียนของผู้เรียน มีการศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและองค์ความรู้ต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและนำไปสู่การสรุปองค์ความรู้ เพื่อการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนต่อไป โดยเกณฑ์ตัดสินด้านนี้ จะต้องได้คะแนนประเมินผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 คะแนนผลงานทางวิชาการไม่ต่ำกว่าร้อยละ 65 และคะแนนรวมเฉลี่ยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70


“ส่วนการตั้งคณะกรรมการประเมินนั้น กำหนดให้มีกรรมการประเมิน 3 คนต่อผู้ขอ 1 ราย และประเมินทั้ง 3 ด้าน โดยวิทยฐานะชำนาญการ ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ตั้งจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯให้ความเห็นชอบ, วิทยฐานะชำนาญการพิเศษให้ อ.ก.ค.ศ.เขตพื้นที่ฯ ตั้งจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.ให้ความเห็นชอบ, วิทยฐานะเชี่ยวชาญและเชี่ยวชาญพิเศษ ให้สำนักงาน ก.ค.ศ.ตั้งจากบัญชีรายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่ ก.ค.ศ.ให้ความเห็นชอบ ทั้งนี้ให้ยื่นขอรับการประเมินได้รอบปีละ 1 ครั้ง และกำหนดให้ขอเลื่อนข้ามวิทยฐานะ ด้วยวิธีพิเศษจากวิทยฐานะชำนาญการเป็นวิทยฐานะเชี่ยวชาญได้”


นายจุรินทร์ กล่าวและว่า เกณฑ์ใหม่นี้เน้นประเมินผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นหลัก มากกว่าเน้นผลงานทางเอกสาร ซึ่งสำนักงาน ก.ค.ศ.จะนำต้นร่างดังกล่าวไปรับฟังความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้อง ก่อนจะนำมาจัดทำเป็นประกาศหลักเกณฑ์วิทยฐานะหลักเกณฑ์และวิธีการให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา มีและเลื่อนวิทยฐานะ เพื่อลงนามประกาศใช้ต่อไป

 

ที่มา สยามรัฐ วันที่ 28 พฤษภาคม 2552

อ้างอิงจาก http://www.kroobannok.com/13087

หมายเลขบันทึก: 264455เขียนเมื่อ 29 พฤษภาคม 2009 23:00 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2012 07:01 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท