หุบปากประกาศ หมายความว่า แสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัว เป็นของจริงกว่าที่จะเปิดปากประกาศ ซึ่งส่วนมากก็เป็นแต่เรื่องพูด หรือ ดีแต่พูด...ที่เอามาพูดเป็นคำพูดได้นั้นไม่ใช่ธรรมะ...
พวกเรามีหลักอย่างนี้กันหรือเปล่า? คือว่าสิ่งที่แท้จริงเป็นสิ่งที่พูดด้วยปากไม่ได้ แต่ต้องแสดงด้วยการกระทำ หรือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น จนมันปรากฏอยู่ข้างใน...
ธรรมะแท้จริงพูดไม่ได้ด้วยปาก ธรรมะแท้คัดลอกดไม่ได้ ถ่ายทอดด้วยปากไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเลอะเทอะ ส่วนธรรมะพูดได้ด้วยปาก ด้วยเสียงนั้น มีทางคัดลอกได้ แล้วก็เลอะเทอะ ยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก ก็ยิ่งเลอะเทอะมาก
“
ปฏิบัติบูชา”
...เวลานี้คือชั่วโมงแห่งความมืดมนทางจิตวิญญาณ
ท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บที่ไร้ยารักษา ความอดอยาก ทุกข์ยาก
สงครามแห่งความโลภและความเกลียดชัง พัดโหมกระหน่ำ
ถ่าโถมกระทบโลกแห่งพุทธธรรมให้สั่นคลอนอ่อนแรง
สงฆ์หลายสำนักกำลังทะเลาะเบาะแว้ง
ด้วยความยึดมั่นในทิฐิมานะและผลประโยชน์ สร้างความขมขื่นแห่งการแตกแยก
แม้พุทธธรรมจะยังเต็มเปี่ยมด้วยธรรมรสแห่งปัญญาอันได้ถูกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นจวบจนปัจจุบัน
ก็ด้วยการฝึกฝนปฏิบัติจริงของเหล่าอริยธรรมาจารย์ผู้ปฏิบัติชอบ
แต่กระนั้นผู้คนกลับหลงมัวเมา
ได้แต่ถกเถียงหลักพระธรรมในเพียงเปลือกนอกเชิงปรัชญา
มนตราและพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์หมดแล้วซึ่งคุณค่าและความหมาย
กลายเป็นเพียงเรื่องความเชื่องมงายไร้สติ
พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติชอบกำลังสูญเสียธรรมบันดาลใจ
หมดแรงเวลาไปกับกิจนิมนต์ตามบ้าน แสดงธรรมและพิธีกรรมเล็กน้อย
เพียงหวังผลตอบแทนทางวัตถุ
ณ เวลานี้
จะมองไปทางใด ก็แทบจะไม่พบพุทธสาวกผู้ยังดำรงไว้ซึ่งวินัยสูงสุด
อันกอปรด้วยไตรสิกขาครบองค์สาม; ศีล สมาธิ และปัญญา
อันเป็นรากฐานของการฝึกฝนตนเอง เพื่อการเข้าสู่ความดี ความงาม
และความจริงภายใน;
เมื่อไร้ซึ่งผู้ปฏิบัติชอบบนเส้นทางแห่งอารยะนี้แล้ว
พุทธธรรมก็ถูกใช้เพียงเพื่อเป้าหมายทางการเมืองและทางสังคม
เป็นเพียงการสร้างภาพ ความน่าเชื่อถือ เพื่อเกียรติยศ ชื่อเสียง
หรือผลประโยชน์ส่วนตนเพียงเท่านั้น พลังกุศลทางธรรมที่แท้กำลังจางหาย
ไร้ซึ่งการปฏิบัติบูชา
จะหาผู้อุทิศกายถวายชีวิตเพื่อพุทธธรรมอย่างแต่ก่อนได้ยากยิ่ง
จิตธรรมสั่นคลอน
สะท้อนการสูญเสียศรัทธาในไตรรัตนะ...
เชอเกียม ตรุงปะ
รินโปเช
(แปลจาก
Sadhana of Mahamudra)
หากเราย้อนมองอดีต เรียนรู้จากบทเรียนที่ผ่านมา
เพื่อจะได้ไม่ก้าวผิดซ้ำรอยเดิมอีก เราจะพบว่า
ยามใดที่ธรรมาจารย์ผู้ปฏิบัติชอบได้จากโลกนี้ไป
พลังแห่งการเรียนรู้และการสร้างสรรค์ของท่านที่ส่งผลต่อผู้คนและสังคมในวงกว้าง
จะก่อให้เกิดพลวัตรที่น่าสนใจอย่างหนึ่งในสังคมของคนรุ่นถัดไป
พลวัตรอันนี้ได้ถูกชี้ให้เห็นโดยนักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อ แม็กซ์
เวเบอร์ (Max Weber) เขาเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า
“
การเปลี่ยนแปลงจากศักยภาพการสร้างสรรค์ของปัจเจก
สู่วัตรปฏิบัติที่ตายตัว”
สิ่ง
สิ่งแรกที่เกิดขึ้น คือความพยายามที่จะให้คำนิยาม หาบทสรุป
กับผลงานอันมหาศาล
หรือความคิดสร้างสรรค์อันหลากหลายของธรรมาจารย์ผู้นั้น
บนพื้นฐานของความกลัว ไม่ว่าจะเป็นความกลัวการสูญเสีย
ความไม่กล้าที่จะก้าวเผชิญบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนตนเองโดยปราศจากอาจารย์
สิ่งที่ตามมาก็คือ องค์กรทางศาสนา หรือ สายปฏิบัติที่เต็มไปด้วยกฎกรอบ
อันเป็นความพยายามที่จะสร้างตัวตายตัวแทนให้แก่ธรรมาจารย์ท่านนั้น
แต่กระนั้นก็ยังมีพลวัตรในอีกลักษณะหนึ่งซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกัน
มันคือปรากฏการณ์ที่ศักยภาพของธรรมาจารย์ได้ถูกหลอมรวมและก้าวข้ามโดยศิษย์
ผู้ได้รับแรงดลใจในการฝึกฝนปฏิบัติตนอย่างไม่ย่อท้อ
ศักยภาพของปัจเจกจึงได้ถูกถ่ายทอด
ส่งผ่านสู่ผู้คนรุ่นถัดไปอย่างไม่ถูกตัดขาด
พลวัตรนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการอุทิศตนของผู้กล้า
ผู้อยู่นอกกฎกรอบขององค์กรทางศาสนาใดๆ
ผู้ซึ่งมองเห็นความทุกข์ในสังสารวัฏอย่างชัดแจ้ง
นำไปสู่แรงบันดาลใจในการฝึกฝน
อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นอย่างสุดความสามารถ
พุทธธรรมที่มีชีวิตนั้นจะต้องเป็นพุทธธรรมที่สามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับวิถีชีวิตและเหตุปัจจัยของผู้คนในสังคมปัจจุบันได้อยู่เสมอ
การประยุกต์ที่ว่าหาใช่เป็นการเสกสรรปั้นแต่ง เพิ่มลูกเล่นทางภาษา
หรือทำหน้าปกหนังสือธรรมะให้น่าอ่านมากขึ้น แต่มันหมายถึง
การปฏิบัติบูชา
นำปณิธานสูงสุดของธรรมาจารย์ท่านนั้นๆมาปฏิบัติอย่างถวายชีวิต
จนสามารถนำไปสู่กระบวนการการเรียนรู้ หลอมรวมศักยภาพในตนเอง
เข้าสู่สายธารธรรมแห่งการตื่นรู้ สู่ธรรมรสแห่งพุทธธรรมอันหอมหวน
เชื้อชวนให้คนรอบข้างได้มาแบ่งปัน
เราทุกคนในฐานะผู้ปฏิบัติธรรมเดินตามรอยของเหล่าอริยปัจเจก เฉกเช่น
ท่านอาจารย์พุทธทาส
จำเป็นที่จะต้องเข้าใจถึงความหมายและคุณค่าของการปฏิบัติบูชาให้ลึกซึ้ง
การปฏิบัติบูชาของศิษย์
จะเป็นหนทางเดียวที่จะนำไปสู่ความงอกงามทางธรรมอันหลากหลาย
เป็นการสร้างสรรค์ใหม่ๆที่มีชีวิต
เป็นหนทางแห่งการก้าวข้ามข้อจำกัดของเหตุปัจจัยในอดีต
สู่การแตกหน่อธรรมอันเป็นสิ่งสร้างสรรค์อันน่าจะเกิดขึ้นได้
ด้วยพื้นฐานการฝึกฝนด้านในอย่างจริงจังของศิษย์
หน่อพระธรรมที่ว่านี้จะแตกต่างออกไปในสภาวะการรู้แจ้งของแต่ละบุคคล
ซึ่งหาใช่เป็นเรื่องเสียหาย
เพราะความหลากหลายของการตื่นรู้ในปัจเจกนี้เอง
ที่จะทำให้พุทธธรรมสามารถสืบสานเป็นธารใจให้ผู้คนรุ่นหลังได้ดื่มกินอย่างไม่รู้หมดรู้สิ้น
แต่สิ่งที่ผู้เขียนมองเห็นในโอกาสครบรอบ ๑๐๐
ปีชาตกาลของท่านอาจารย์ในปีนี้ นอกเสียจากความพยายามที่จะศึกษา
รวบรวมรักษา ตีความและเผยแพร่
คำสอนของท่านอาจารย์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
อีกด้านหนึ่งก็ดูจะหนีไม่พ้นแนวคิดที่จะผลักดันให้เกิดงานเฉลิมฉลอง
นิทรรศการ งานปาหี่ใหญ่โต วิจิตรวิลิศมาหรา วูบวาบ ตระการตา
แต่หาเนื้อแท้ แก่นสาระ มาเป็นอาหารทางจิตวิญญาณกันแทบไม่ได้
ทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องงานเฉลิมฉลอง
ก็ได้ยินแต่กระบวนการยกย่องท่านอาจารย์ขึ้นเป็นปูชนียบุคคล
แบกท่านไปวาง
ไปไว้บนแท่น บนหิ้ง
เพื่อจะได้กราบไหว้บูชากันได้อย่างถนัดถนี่ มืออ่อน เท้าอ่อน
ปากก็แซ่ซ้องสรรเสริญ
อย่างไร้ซึ่งจิตวิญญาณของการปฏิบัติบูชาเอาเสียเลย
เรากำลังถูกหลอกหลอนด้วยผีท่านอาจารย์พุทธทาส ผีในที่นี้ คือ
ความทรงจำเดิมๆที่เรามีต่อท่าน เป็นความทรงจำที่เราไม่ยอมปล่อยวาง
จนกลายเป็นการยึดติดในตัวบุคคล ไร้ซึ่งการนำหัวใจแห่งคำสอนมาปฏิบัติ
หลอมรวม และก้าวข้ามประสบการณ์ในอดีต
สู่การเรียนรู้เหตุปัจจัยในปัจจุบันขณะ สิ่งที่น่าเศร้าก็คือ
ความทรงจำที่เราพยายามสงวนรักษากันไว้นั้น หาใช่ “พุทธทาส”
ที่แท้แต่อย่างใด
ผู้คนพยายามจะรักษารอยเท้าของท่านราวกับว่ามันมีชีวิต
ถึงเวลาที่เราจะต้องตระหนักได้แล้วว่า
รอยเท้าที่เราบูชาหาใช่ฝ่าเท้าที่ท่านอาจารย์ใช้เดินแต่อย่างใด
เรากำลังกราบไหว้รอยเท้า โดยหารู้ไม่ว่าเราเองกำลังย่ำอยู่กับที่
ไร้ความก้าวหน้าทางจิตวิญญาณใดๆ
เหมาะสมแล้วหรือที่จะปฏิบัติต่อท่านอาจารย์ราวกับท่านเป็นวัตถุ?
ท่านอาจารย์ไม่ใช่ตึกอิฐแดงที่สวนโมกข์ ท่านอาจารย์ไม่ใช่เสาห้าต้น
ท่านอาจารย์ไม่ใช่ลานหินโค้ง ท่านอาจารย์ไม่ใช่สระนาฬิเกร์
ท่านอาจารย์ไม่ใช่โรงมหรศพทางวิญญาณ
ท่านอาจารย์ไม่ใช่หนังสือธรรมโฆษณ์ ไม่ใช่กาพย์กลอน รูปหล่อ รูปปั้น
รูปวาดใดๆ
....แต่ท่านอาจารย์ คือ เส้นทางของผู้แสวงหาคุณค่าในตน “พุทธทาส” คือ
การมอบกายถวายชีวิตแก่ไตรรัตนะ
เพื่อประโยชน์สุขที่แท้แก่เพื่อนมนุษย์ “พุทธทาส” คือ
การเสียสละชีวิตเพื่อการฝึกฝนภาวนา ลดทิฐิอัตตา
เรียนรู้คุณค่าและศักยภาพที่แท้ของจิตที่ว่างจากมายาภาพตัวตน
ท่านอาจารย์ คือ สายธารธรรม คือ ความงามที่สัมผัสได้ในชีวิตนี้
ด้วยการฝึกฝนด้านใน สู่จิตใจที่ขยายกว้าง
นำมาซึ่งความพร้อมที่จะรับฟังเสียงแห่งความทุกข์ (ศีล) น้อมนำใคร่ครวญ
ฝึกฝนสัมผัสความทุกข์นั้นด้วยหัวใจที่ตั้งมั่น (สมาธิ)
จนสามารถมองเห็นธรรมชาติอันผันแปรไม่จริงแท้แห่งทุกข์ (ปัญญา)
นำไปสู่แรงใจในการอุทิศชีวิตทั้งชีวิตเพื่อ
การร่วมทุกข์ร่วมสุขกับผู้อื่น
การทำให้ดูอยู่ให้เห็นของผู้ปฏิบัติจริงเป็นการแสดงธรรมในความว่าง
ให้เห็นหนทางที่จะร่วมทุกข์กับเพื่อนมนุษย์โดยจิตไม่ต้องเป็นทุกข์
ท่านอาจารย์คือความตื่นรู้ภายในตน คือ
คุณค่าและความงามแห่งการสร้างสรรค์ทางปัญญา
ที่ผุดบังเกิดขึ้นจากความง่ายงามตามธรรมดาของจิตที่ถูกฝึกฝน
การสืบสานปณิธาน “พุทธทาส” จึงหาใช่การวัดรอยเท้าของท่านว่ากว้าง
ยาวเท่าไร หนทางเดียวที่จะสืบสานปณิธานพุทธทาสให้คงอยู่ ก็คือ
การให้ความสำคัญกับการปฏิบัติภาวนา
ให้คุณค่ากับเส้นทางแห่งการเรียนรู้ฝึกฝนจิตใจ
จนได้เข้าไปสัมผัสพลังแห่งการตื่นรู้
สู่การดำรงจิตใจในพื้นที่ว่างแห่งการเรียนรู้ด้านใน หลอมรวมเป็น
“พุทธทาสภายใน” ที่ไม่มีวันตาย
เพราะท่านอาจารย์พุทธทาสไม่เคยสอนให้เรายึดมั่นอยู่ในอดีต
ไม่เคยสอนให้เรายึดติดในตัวบุคคล
ท่านสร้างสรรค์หนทางหลากหลายให้ผู้คนได้หันกลับมาอยู่กับปัจจุบันขณะ
และปัจจุบันขณะนี่เอง คือสิ่งที่เราควรยึดติด ซึ่งก็คือ
การไม่ติดกับรอยเท้าใดๆ
รอยเท้าเป็นเพียงเครื่องนำทางสู่กระบวนการเรียนรู้แห่งชีวิต
เพื่อจะใช้สองเท้าที่เรามี ย่างก้าวบนเส้นทางของการปฏิบัติภาวนา
วิปัสสนาคุณค่าภายในตน นี่คือสิ่งที่เราทุกคนน่าจะนำมาใคร่ครวญพิจารณา
เพื่อการปฏิบัติบูชา สืบสานปณิธานพุทธทาสในโอกาสครบรอบ ๑๐๐
ปีชาตกาลที่ใกล้จะมาถึงนี้
หุบปากประกาศ หมายความว่า แสดงอยู่ที่เนื้อที่ตัว
เป็นของจริงกว่าที่จะเปิดปากประกาศ ซึ่งส่วนมากก็เป็นแต่เรื่องพูด
หรือ
ดีแต่พูด...ที่เอามาพูดเป็นคำพูดได้นั้นไม่ใช่ธรรมะ...
พวกเรามีหลักอย่างนี้กันหรือเปล่า?
คือว่าสิ่งที่แท้จริงเป็นสิ่งที่พูดด้วยปากไม่ได้
แต่ต้องแสดงด้วยการกระทำ หรือว่าเป็นสิ่งที่ต้องทำเท่านั้น
จนมันปรากฏอยู่ข้างใน...
ธรรมะแท้จริงพูดไม่ได้ด้วยปาก
ธรรมะแท้คัดลอกดไม่ได้
ถ่ายทอดด้วยปากไม่ได้ ไม่มีทางที่จะเลอะเทอะ ส่วนธรรมะพูดได้ด้วยปาก
ด้วยเสียงนั้น มีทางคัดลอกได้ แล้วก็เลอะเทอะ ยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก
ก็ยิ่งเลอะเทอะมาก
พุทธทาสภิกขุ
(จาก “อบรมพระธรรมทูต”)
วิจักขณ์ พานิช
มหาวิทยาลัยนาโรปะ
แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์
สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
www.jitwiwat.org
ตีพิมพ์ใน
มติชนรายวัน ๑๘ มีนาคม ๒๕๔๙