หมอบ้านนอกไปนอก(95): คุณค่าที่ยั่งยืน


การอนุรักษ์และเก็บรักษาอดีตให้คงอยู่กับปัจจุบันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งมากในยุโรป ทั้งการอนุรักษ์ของเก่าและการซ่อมแซมให้อยู่เหมือนเดิม เป็นการรักษาคุณค่าของอดีตให้ยั่งยืน เวลาย้อนกลับไปไม่ได้แล้ว แต่ความรู้สึกและจินตนาการของผู้คนสามารถเชื่อมโยงสู่อดีตได้อย่างรู้คุณค่า

ห้าวันกับการเที่ยวยุโรป ได้ดื่มด่ำกับความงดงามทางศิลปวัฒนธรรมของบ้านเมืองที่ยืนยงผ่านกาลเวลามานาน คืนนี้นอนในที่พักสบายๆริมฝั่งน้ำซัลซัคที่ผ่านกลางเมืองซาลส์บรวก ใกล้ดึกแล้วแต่ท้องก็ไม่หิวเพราะเต็มอิ่มไปกับข้าวสวย น้ำพริกเผา ไก่ทอดฝีมือภรรยา มีหม้อหุงข้าวมาด้วยทำให้ได้กินข้าวสวยได้เกือบทุกวัน ออสเตรียเป็นเมืองแห่งขุนเขา เราได้เหยียบย่างไปในเวียนนา ลินซ์และซาลส์บรวกแล้ว ส่วนเมืองใหญ่อันดับสองคือแกซ เราไม่ได้เข้าไปเที่ยว เหลืออีกเมืองใหญ่เป็นอันดับ 5 คืออินส์บรูก ที่เราจะแวะเยือน แต่พรุ่งนี้เราจะวกกลับไปในเยือนถิ่นนาซีก่อน คราวก่อนไปเที่ยวเยอรมันตอนตะวันตก คราวนี้ไปทางตอนใต้แถวแคว้นบาเยิร์นหรือบาวาเรีย ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 เขตคืออัลล์กอย-สเวเบียน ที่มีเมืองฟืสเซ่นและชวานเกาที่เราต้องไปเยือน บาเยิร์นตอนบนที่ตั้งเมืองหลวงรัฐคือมิวนิค บาเยิร์นตะวันออกและฟรังโคเนีย

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม 2551 ตื่นเช้าออกจากโรงแรมเจ็ดโมงเช้า เดินลากกระเป๋าใบใหญ่ใส่สัมภาระของทั้งครอบครัว เดินกลับมาที่สถานีรถไฟ ขึ้นรถไฟสายIC390 ไปมิวนิค (Munich) รถไฟสภาพดีมาก สะอาด ติดแอร์เย็นฉ่ำ ตามระเบียบต้องเสียเงินสำรองที่นั่งแต่เราไม่ได้สำรอง ต้องดูที่นั่งว่ามีการสำรองไว้หรือไม่ ถ้ามีไฟที่เบาะจะติดสีเขียว ถ้าไม่มีจะติดสีแดง คราวก่อนเคยโดนไล่ที่นั่งมาแล้ว เลยรู้ รถไฟออกเดินทางเวลา 7:50 น. จากสถานีSalzbrug Hbf ไป 6 กม.ผ่าน Freilassing  อีก 26 กม.ถึงTraunstein ไป 28 กม.ถึงPrien a Chiemsee ไปได้ 25 กม.ถึง Rosenhiem วิ่งไป 55 กม.เข้าสู่มิวนิคที่สถานี Munichen Ost และนั่งไปอีก 10 กม.ถึงสถานีหลัก Munichen Hbf (10 กม.) เวลา 9:34 น. ตรงตามเวลาที่แจ้งไว้เป๊ะ เห็นถึงมาตรฐานของรถไฟเยอรมันได้ชัดเจน

ช่วงเวลาไม่นานบนรถไฟ ผมอดฮัมเพลงเที่ยวละมัยอย่างครึ้มอกครึ้มใจ “เที่ยวไปตามตะวัน บุกบั่นไปตามลม สนุกสุขสม หัวใจหงายคว่ำ ชีพที่ยาวนาน หรือสั้นก็เพียงคำ เอาตูดแช่น้ำแล้วเดินต่อไป เถอะเสาะหา นภาคลุมครอบ สายลมคงรอบไว้ สายใจไหลลู่สู่สวรรค์ เที่ยงก็กินกัน บ่นมันไปไย ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น ตรู่ก็ลืมตา ขึ้นมาดูตะวัน ว่าโลกสร้างสรรค์ สวยงามให้เรา บอกให้รู้ ให้ดูความจริง ทิ้งคืนเพื่อสู่เช้า ให้เราทิ้งเศร้าสู่สดใส โลกไม่มายา จะบ้าก็ในเมือง เรียกรุ่งเรืองก็คงจะไม่ โลกในความจริง คือสิ่งอยู่ในใจ นั่นแหละไซร้วัดความรุ่งเรือง อีกเมฆานภาตระหง่าน สายธารที่ผ่านเมือง สายลมนองเนืองสู่หุบเขา เที่ยวตามใจปอง ท่องตามทางมี สุขอย่างนี้แล้วมีใดเท่า มั่นในความจริง แต่หยิ่งในตัวเรา มีเพื่อนเป็นภูเขา แล้วกลัวอะไร อีกทะเลทั้งเห่ทั้งกล่อม ทั้งยอมเป็นเพื่อนใจ ต้นไม้ทรายคลองพี่น้องกันนึกขอบคุณประภาส ชลศรานนท์ ที่เขียนเพลงไพเราะสบายๆแบบนี้ให้มาร้องกัน

เข้าสู่หน้าร้อน บนรถไฟจึงมีผู้โดยสารมากหน้าหลายตาหลากวัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ออกเที่ยวเดินทางกันมาก ทิวทัศน์สองข้างทางเขียวชอุ่ม ทุ่งหญ้า เนินเขา หุบเขา หมู่บ้านหลังเล็กๆปลูกอยู่เป็นหย่อมๆ บ้านหลังเล็กสีขาวหลังคาแดงออกส้มเป็นเอกลักษณ์ เด็กๆนั่งวาดรูปเล่นกัน แคนบอกว่าภูเขาที่ออสเตรียสวยกว่าที่อื่นๆ เที่ยวคราวนี้เด็กๆเดินกันเองไม่ต้องอุ้ม ขลุ่ยกับขิมมักแย่งกันลากกระเป๋าใบใหญ่ พ่อกับแคนสะพายเป้กันคนละใบ เช้าวันนี้กินแซนวิช กลืนลงคออย่างยากเย็นแต่ก็ต้องกินประทังความหิว ผู้โดยสารในรถไฟฆ่าเวลาด้วยการนั่งฟังเพลง เล่นคอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือหรือไม่ก็นั่งหลับ บนรถไฟขบวนนนี้มีเอกสารแจกให้ดูระยะเวลาและสถานีที่จอดพร้อมทั้งประกาศแจ้งทุกสถานีไม่ต้องกลัวหลง ต่างจากรถไฟหวานเย็นเมื่อวานนี้ที่ต้องคอยสังเกตป้ายสถานีเอาเองว่าใช่ที่เราจะลงหรือไม่

มาถึงมิวนิคตอน 9:34 น. ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ที่ล็อกเกอร์เก็บของสถานีรถไฟเสียค่าบริการหยอดเหรียญ 5 ยูโร แล้วไปขึ้นรถไฟสายมิวนิค-บรองโคล (Bronchole) (เวลา9:51-10:41น.)ถึงแล้วลงรถไฟลอดใต้อุโมงค์ไปขึ้นรถไฟอีกขบวนที่ด้านตรงข้าม เป็นสายบรองโคล-ฟืสเซน (เวลา10:44-11:55 น.) เจอพี่มานะกับคณะคนไทย (คุณพ่อ คุณเหน่ง คุณจุ๋ม) ที่มาเที่ยวกันเอง ได้นั่งคุยกันไปบนรถไฟ พี่ๆเขาวางแผนมาเที่ยวกันเองเกือบปี ดูเส้นทางเที่ยว จองที่พักและตั๋วเครื่องบิน ถ้าจองก่อนนานๆจะราคาถูก แคนนั่งคุยกับคุณตาเรื่องสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างได้รสชาต

ถึงปลายทางลงจากรถไฟที่เมืองฟืสเซ่น (Fussen) เมืองสุดท้ายบนถนนสายโรแมนติกที่มีปราสาทสไตล์โกธิกยุคหลังที่งดงามที่สุดในประเทศ เราเดินไปที่สถานีรถบัสป้ายที่ 2 สาย 73 (หรือสาย78 ก็ได้) นั่งรถไปตามถนนลาดยางสองเลนคดโค้งไปตามท้องทุ่ง เลาะริมธารผ่านเนินเขา ทิวทัศน์ตามธรรมชาติน่าเพลินใจ แค่ 15 นาทีก็ไปลงที่สถานีชวานเกา (Schwangau) เมืองเล็กจิ๋วที่มีทะเลสาบสวยงามถึง 4 แห่งเป็นที่ตั้งของปราสาทโฮเฮนชวานเกาและปราสาทนอยชวานชไทน์ ต้นแบบของปราสาทดิสนีย์แลนด์อันเลื่องชื่อ เดินไปอีกเล็กน้อยก็ถึงจุดขายตั๋ว เข้าคิวซื้อตั๋วขึ้นชมปราสาทนอยชวานสไตน์ ที่ต้องกำหนดรอบให้ชัด เราเลือกรอบ 13:45 น. การขึ้นไปชมปราสาทอาจจะเดินขึ้นไปเอง นั่งรถม้าหรือขึ้นรถบัสก็ได้ เราเข้าคิวขึ้นรถบัสไปจนถึงทางขึ้นด้านหน้าปราสาท

ต้องเดินขึ้นไปอีก 10 นาที ชมวิวตลอดทางขึ้นคล้ายๆทางขึ้นดอยสุเทพ มองลงมาเห็นหมู่บ้านเล็กๆด้านล่าง ทะเลสาบแอลป์ซีและปราสาทโฮเฮนชวานเกา เราแวะที่สวนเล็กๆร่มรื่นบริเวณใกล้ๆปราสาท กินอาหารกลางวัน ชมทิวทัศน์รอบๆเพื่อรอรอบเวลาเข้าชม เพราะตั๋วระบุเวลาเข้าชมเป็นรอบๆ จน 13:45 น. ได้เข้าชมปราสาท เดินเป็นแถวสามแถวเข้าไป มีไกด์นำชม ไม่ได้ให้เดินเองตามอิสระ ค่าเข้าชมเด็กฟรี ผู้ใหญ่ 9 ยูโร ส่วนค่ารถบัสเด็กคิดครึ่งราคา

ไกด์นำเข้าสู่โถงทางเดินปราสาทและอธิบายจุดสำคัญๆเป็นภาษาอังกฤษ ไปที่ห้องประทับบัลลังก์ ที่สูงโปร่งเท่าอาคาร 3 ชั้น เพดานเป็นโดมโค้งวาดลวดลายเป็นดาวและดวงอาทิต์ บนพื้นประดับโมเสกสองล้านชิ้นเป็นรูปสัตว์และต้นไม้ หลังที่ประทับเป็นภาพวาดของนักบุญเซนต์จอร์จผู้ปราบมังกรที่พระเจ้าลุดวิคนับถือมาก ไกด์บอกว่าห้องนี้ยังสร้างไม่เสร็จเพราะเงินในท้องพระคลังไม่พอซื้อทองและงาช้างมาประดับ ถัดไปเป็นห้องนักร้อง (Singer’s hall) ประดับด้วยไฟแอนเดอร์เลียขนาดใหญ่ ห้องนี้สร้างไว้เพื่อจัดงานเลี้ยงสำหรับอัศวินและชมการแสดงดนตรีหรือโอเปร่า

เข้าไปสู่ห้องบรรทม ที่มีขนาดเล็กกว่าห้องอื่นๆ เตียงไม้ที่ประทับใช้ช่างแกะสลัก 14 คนใช้เวลา 4 ปี เตียงมีขนาดใหญ่เพราะพระเจ้าลุดวิคสูงถึง 195 ซม. ผนังด้านบนเป็นภาพวาดที่แสดงถึงความผิดหวังของชายหญิง อ่างล้างมือเป็นหงส์เงิน สัตว์ตัวโปรด หลังห้องนอนมีชักโครกส่วนพระองค์ เดินต่อไปเป็นบริเวณถ้ำ เป็นทางเชื่อมเล็กๆที่จำลองเป็นถ้ำหินงอกหินย้อยในบรรยากาศมืดทึมไร้แสงสว่าง ไกด์เล่าว่าพระเจ้าลุดวิคชอบอยู่คนเดียวในห้องที่มืดสนิท จิบไวน์และชมการเล่นแสงสีของไฟที่ซ่อนอยู่ตามหลืบหิน

ขณะเดินชมระหว่างห้องต่างๆเราสามารถมองออกไปนอกหน้าต่างชมทิวทัศน์งดงามของขุนเขา ทิวไม้ ท้องฟ้าและทะเลสาบรอบๆปราสาทได้ ไกด์พาผ่านไปยังจุดขายของที่ระลึก น้องขลุ่ยยืนถ่ายรูปกับหุ่นอัศวิน เดินต่อไปชมหนังมัลติมีเดียฉายแสดงเรื่องราวขแงพระเจ้าลุดวิคและปราสาทแห่งนี้ หลังจากนั้นเดินลงบันไดวนไปสู่ห้องครัวขนาดใหญ่ของปราสาทที่ยังสร้างไม่เสร็จ ครัวนี้นำอาหารขึ้นไปห้องเสวยผ่านการชักรอกโดยไม่ใช้ทางบันไดวน ออกมาจากปราสาทอีกด้านหนึ่ง

ปราสาทนอยชวานชไตน์ สวยงามตระการตา ตั้งตระหง่านบนยอดภูสูง รายรอบด้วยป่าไม้ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ อายุร้อยกว่าปี สร้างขึ้นตามจินตนาการของกษัตริย์ลุดวิคที่ 2 ผู้คลั่งไคล้เรื่องราวของกษัตริย์ฝรั่งเศสและบรรดาอัศวินจากบันทึกและตำนาน พระองค์เป็นโอรสของพระเจ้ามักซิมิเลียนที่ 2 เติบโตมากับปราสาทโฮเฮนชวานเกาของบิดาที่อยู่ไม่ห่างกันนัก เริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1868 ทรงทุ่มเงินทองมหาศาลจากท้องพระคลังสร้างปราสาทแห่งนี้ถึง 17 ปี พระองค์มัวแต่สนใจการสร้างปราสาทและการดนตรีมากกว่าการบริหารบ้านเมืองในมิวนิค

ในปี ค.ศ. 1886 กลุ่มข้าราชบริพารได้จับกุมพระองค์ไว้และแถลงการณ์จากแพทย์ว่าพระองค์ทรงวิปลาศไม่สามารถคอรงเมืองได้ ห้าวันต่อมามีผู้พบพระศพในทะเลสาบพร้อมกับศพหมอกู้ดเดนผู้วินิจฉัยว่าพระองค์วิปลาศ โดยไม่มีใครทราบถึงสาเหตุ กษัตริย์ลุดวิคชอบเวลากลางคืนมากกว่ากลางวัน จึงทรงบรรทมกลางวันและตื่นขึ้นมาเสวยอาหารเช้าตอนเย็น อาหารเที่ยงตอนเที่ยงคืนและอาหารเย็นตอนเช้าตรู่ โดยทรงเชื้อเชิญเหล่าขุนนางและอัศวินในจินตนาการ (เพราะไม่มีใครมองเห็น) ร่วมโต๊ะเสวยด้วย อาจเป็นสาเหตุนี้ที่ทำให้ข้าราชบริพารคิดว่าพระองค์วิกลจริตและเป็นเหตุให้สิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุแค่ 41 ปี

เดินลงมาข้างล่าง ใจยังคงประทับตรึงกับความงดงามภายในปราสาท ตายังคงเหลี่ยวกลับไปมองความสง่างามของปราสาทที่ตั้งอยู่โดดเด่น ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติงดงาม ไม่ได้ไปยืนบนสะพานชมวิว เดินมาขึ้นรถบัสกลับมาที่สถานีขายตั๋ว พักกินไอศครีม ข้าวโพดคั่วและน้ำโค๊กเติมพลัง ก่อนขึ้นรถบัสต่อไปที่สถานีรถไฟ นั่งรถไฟกลับเวลา 16:03 น. ขณะนั่งรถไฟกลับ แดดร้อนเปรี้ยง สองข้างทางเป็นเทือกเขาแอลป์ พื้นที่เป็นเนินสูงต่ำมีฉากหลังเป็นเทือกเขาสูง ปกคลุมด้วยผืนหญ้าเขียวชะอุ่ม ลมเย็นพัดแทรกมาประทะหน้าตาจากหน้าต่างรถไฟช่วยคลายร้อนได้ แปลงข้าวโพดเขียวสลับแปลงข้าวบาร์เลย์เหลืองอ่อนสลับทุ่งหญ้ากว้าง มีหมู่บ้านเป็นช่วงๆ รถไฟแม้ไม่มีแอร์แต่ก็มีแผนที่บอกสถานีต่างๆที่ผ่านทำให้ดูได้ว่าถึงสถานีไหนบ้างแล้ว มีเสียงประกาศแต่ฟังไม่ค่อยชัด ลงรถไฟที่บรองโคลปุ๊บรีบข้ามฟากไปขึ้นอีกขบวนหนึ่งเพื่อกลับมิวนิคตอน 17:20 น. นั่งรถชมทิวทัศน์สองข้างทาง ฟ้าที่แดดที่เปรี้ยงเมื่อกี้ ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำทมึนแล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก กลับถึงมิวนิคเวลา 18:07 น.

ลงรถไฟ แวะซื้ออาหารการกิน ดูตารางรถ ไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ ซื้อตั๋วรถไฟใต้ดินแบบเพื่อนคู่คิด นั่งเมโทรสองสาย จะออกจากสถานีเมโทรเจอพี่ตู่กับพี่ปุ๊พอดี เลยลากกระเป๋าเดินไปหาโรงแรมที่พักด้วยกัน พักที่Easy palace city Hostel เป็นห้องใหญ่ 8 เตียง (Dorm) เราจอง 6 เตียง (7 คน) คิดราคาเตียงละ 18 ยูโร อีกสองเตียงเป็นฝรั่งผู้ชายสองคน ไม่ทราบมาจากที่ไหน การนอนรวมห้องกับคนแปลกหน้าก็น่าวิตกกังวลเหมือนกัน พอเข้าที่พักแล้ว ก็ขึ้นเมโทรออกมาเดินเที่ยวชมเมืองเก่า ฝนตกปรอยๆตกๆหยุดเป็นระยะๆไปลงที่สถานีมาเรียนพลัทซ์

มิวนิคหรือมึนเช่น เป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย เป็นเมืองที่มีส่วนผสมที่ลงตัวของบรรยากาศชนบทแบบธรรมชาติและความทันสมัยแบบคนเมืองและทีมฟุตบอลชื่อดัง กับลานเบียร์ที่มีทั่วเมือง จากจตุรัสมาเรียนลานกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุด กลางลานมีเสาสูง 11 เมตร บนยอดเสาเป็นรูปปั้นตัวแทนพระแม่มารี ราชินีแห่งสวรรค์ ผู้สวมมงกุฎ ถือคทาอุ้มทารกบริสุทธ์ ที่ฐานมีรูปปั้นเด็กมีปีก 4 คนแทนความทุกข์ยากของมนุษย์คืออดอยาก (มังกร) สงคราม (สิงโต) การนอกรีตทางศาสนา (งู) และโรคระบาด (กิ้งก่า) เดินไปลานน้ำพุหน้าโบสถ์เก่าแก่เฟราเอ็นเคียเช่อ (Church of Our Lady) สร้างเมื่อค.ศ.1488 มองเห็นหอนาฬิกาคู่สูงเด่นเป็นสง่าขนาด 98.5 เมตร ชมนอยเอส ร้าทเฮาส์ (New Town Hall) หรือศาลาว่าการเมืองหลังใหม่สไตล์เฟรมิชขนีโอโกธิก สร้างปี ค.ศ. 1867-1908 มีหอะฆังสูง 85 เมตรที่อยู่ของกล็อกเค่นชปีลหรือระบำตุ๊กตา

เดินไปฝั่งตรงข้ามเห็นโบสถ์เพเทอร์สเคียเช่อที่สร้างสมัยศควรรษที่ 11 เดินไปทางถนนเคาฟิงเกอร์ชตราเช่อเจอโบสถ์ใหญ่อีกแห่งชื่อไฮลิคไกส์ทเคียร์เช่อที่หน้าโบสถ์เขียนว่าSpiritui Sancto ไม่ได้เข้าไปดูความแปลกภายในโบสถ์ที่เสาและผนังสีขาวทาสีขาว ยอดเสาทาสีชมพูหวาน ต่อไปเจออั๊ลเทส ร้าทเฮาส์ ศาลาว่าการเมืองเก่าสไตล์โกธิก ริมทางเดินมุมตึกมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของสาวจูเลียตแห่งเวโรนา เดินลัดเลาะไปตามถนนจนเจอโฮฟบรอยเฮาส์ ร้านอาหารเยอรมันที่เปิดมานาน 415 ปี เดินต่อไปจนถึงโรงละครแห่งชาติ อาคารเสาดรมันและหน้าจั่วซ้อนสองชั้นและถัดไปเป็นเรสซิเดนซ์ พระราชวังที่สร้างโดยกษัตริย์ลุดวิคที่ 1 ปิดทำการ จึงไม่ได้เข้าชม

เดินต่อไปชมเธียทิเนอเคียเช่อ โบสถ์เก่าแก่แบบบาร็อกสร้างค.ศ. 1663 มีห้องใต้ดินเป็นสุสานของราชวงศ์วิทเทลบาคผู้ครองนคร เดินวกกลับมาทางศาลาเมืองใหม่ถึงถนนเคาฟิงเกอร์ชตราเช่อ ย่านถนนคนเดินที่มีนักท่องเที่ยวมากหน้าหลายตา สองข้างเป็นร้านค้าและห้างสรรพสินค้า เดินผ่านพิพิธภัณฑ์ล่าสัตว์และตกปลา มีรูปปั้นหมูป่าทองสัมฤทธิ์และปลาดุกอยู่คู่กัน เด็กๆเข้าไปถ่ายรูปด้วย เดินชมสินค้าตึกราเก่าแก่ทรงคุณค่าไปเรื่อยๆถนนนอยเฮาเซอร์ผ่านซุ้มประตูเมืองคาร์ลชตอร์ ลอดผ่านไปเจอน้ำพุวงกลมขนาดใหญ่ที่จตุรัสคาร์ลพลัทซ์

จนถึงสี่ทุ่ม กลับที่พัก กินอาหารเย็น มีห้องทำอาหารให้ใช้ร่วมกันทั้งตึกที่ชั้นสอง ส่วนที่พักอยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์ให้ นอนหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการเดินทางมาทั้งวัน  

 

พิเชฐ  บัญญัติ (Phichet Banyati)

เขียนจากบันทึกประจำวันที่ 2 กรกฎาคม 2550 เวลา 22.35 น. (มิวนิค)

24 พฤษภาคม 2552

หมายเลขบันทึก: 262991เขียนเมื่อ 24 พฤษภาคม 2009 17:51 น. ()แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2012 11:59 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

มาตามดูคุณหมอบ้านนอกไปเที่ยวนอกค่ะ เเละมาชื่นชมคุณหมอกับความตั้งใจมุ่งมั่นทำงานเพื่อประโยชน์สุขของผู้ป่วยค่ะ

ขอบคุณคุณสุธีรามากครับ รบกวนช่วยมาอ่านให้กำลังใจกันเป็นระยะๆนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท