หมอบ้านนอกไปนอก(93): แผ่นดินเดียวกัน


ดินแดนที่ผมไม่เคยนึกเคยฝันมาก่อนอย่างนครปรากแห่งเช็กนี้ กลับเป็นดินแดนที่ผมยอมรับกับตัวเองว่ามีความงดงามและทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมแห่งอดีตมาสู่ปัจจุบัน ที่มองเห็นได้ว่าอิฐทุกก้อน ปูนทุกแนวได้ร้อยเรียงเป็นอาคารหลังงามที่บอกเล่าเรื่องราวแห่งยุคสมัยได้อย่างดียิ่ง และยังงดงามเฉกเช่นสรวงสวรรค์ในเทพนิยายบนโลกมนุษย์

การเดินเที่ยวกลางแดดจ้ามาทั้งวัน แม้จะนำพาความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าเข้ามาทักทายร่างกายแต่จิตใจก็ให้ปลื้มปิติที่ได้มีโอกาสมาเที่ยวกันเองทั้งครอบครัว พ่อแม่ลูก การนั่งรถไฟจากออสเตรียมาฮังการีมาสดลวะเกียจนมาถึงเช็กนั้นแทบแยกไม่ออกเลยว่ากำลังออกจากประเทศหนึ่งเข้าสู่อีกประเทศหนึ่งหากไม่ได้สังเกตป้ายชื่อเมืองและดูเทียบจากแผนที่เพราะไม่มีการกักด่านเพื่อตรวจพาสปอร์ตใดๆทั้งสิ้น หากเป็นแต่ก่อนแล้วเราก็กำลังอยู่ในแผ่นดินของประเทศเช็กโกสโลวะเกียผืนแผ่นดินภายใต้การปกครองอันเดียวกัน แต่บัดนี้ได้แยกออกเป็นสองประเทศแล้ว

            อาบน้ำเสร็จก่อนนอนเจอกับพี่ตู่ที่ได้ออกไปชมความงามยามค่ำคืนเหนือนครปรากที่เราไม่ได้ออกไปเพราะดึกมากแล้ว เราได้ชมความงามของบราติสลาวาแต่ก็เสียโอกาสชมความงามของปรากในยามค่ำคืน ในชีวิตคงไม่มีใครได้ทุกอย่างตามที่ใจหวังเพราะโลกนี้มีข้อจำกัดนานัปการ ได้อย่างเสียอย่างเป็นธรรมดา ผมลงมาคุยกับพนักงานสาวสวยชาวเช็กที่อัธยาศัยดีมาก สอบถามถึงเส้นทางการเที่ยวและและวิธีการเดินทางไปอีกเมืองหนึ่งตามแผนที่วางไว้ เธอก็ให้ความช่วยเหลือเป็นอย่างดี

            ค่ำคืนนี้เองผมก็ได้มีโอกาสนิทรากับนางเอกสาวสวยคู่ใจข้างกายบนดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรน้ำงามแห่งยุโรปที่เพิ่งได้เปิดเผยโฉมสคราญไม่กี่ปีหลังจากจักรวรรดิโซเวียตล่มสลายจนเช็กได้กลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยเมื่อ ค.ศ. 1989 เมืองที่ผู้เขียนหลายคนต่างพรรณนาถึงความงดงามแห่งประวัติศาสตร์อันคลาสสิก มากด้วยตำนานและเรื่องเล่า หลายคนอาจจะยังชั่งใจอยู่ว่าความงดงามของพระราชวังอาคารบ้านเรือนระหว่างเวียนนา บูดาเปสต์และปรากใครจะมากกว่ากัน

            แม้ปรากจะเป็นเมืองเล็กแต่ก็มีสถานที่สำคัญให้เที่ยวมากมาย ชาวปรากถือว่านครของเขาสวยงามแพ้ที่ใดในโลก ได้ชื่อว่าเป็นเมืองปราสาทร้อยยอดเพราะมีปราสาทวัดวังเรียงรายสวยงาม ได้เป็นหัวใจของยุโรปเพราะครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของยุโรปและเป็นเมืองแห่งทองคำเพราะสมัยหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของนักเล่นแร่แปรธาตุ และเป็นโรมแห่งภาคเหนือเพราะสร้างจากภูเขาทั้งเก้าที่ทำให้เมืองเป็นเนินสูงต่ำสลับกันไปทั่วเมือง

            ย่างเข้าสู่สัปดาห์ที่ 44 ของการพำนักในยุโรปของผม รุ่งอรุณแห่งความสดใสในแผ่นดินนครปรากหรือปราหาของสาธารณรัฐเช็ก (Czech Republic) ประเทศในยุโรปกลางที่ไม่มีทางออกทะเล ทางตอนเหนือจรดประเทศโปแลนด์ ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงเหนือจรดเยอรมนี ทางใต้จรดออสเตรีย และทางตะวันออกจรดสโลวาเกีย ประกอบด้วยภูมิภาคเก่าแก่สองส่วนคือโบฮีเมียและโมราเวียและส่วนที่สามเรียกว่าไซลีเซีย มีประชากรราว 10 ล้านคน สกุลเงินใช้โครูนาเช็ก (CZK) ปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภามีประธานาธิบดีเป็นประมุขเลือกตั้งโดยสองสภา นายกรัฐมนตรีเป็นฝ่ายบริหาร เป็นระบบสองสภาคือสภาสูง 81 ที่นั่งกับสภาผู้แทนราษฎร 200 ที่นั่ง คณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญมีผู้พิพากษา 15 คนแต่งตั้งโดยประธานาธิบดี แบ่งการปกครองออกเป็น 13 เขต (Regions) และ 1 นครหลวง (Capital city) พื้นที่เป็นที่ราบสูงกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร เนินเขา แม่น้ำและทะเลสาบขนาดเล็ก

            กรุงปราก (Prague, Praha) เป็นเมืองหลวงของเช็ก มีประวัติความเป็นมายาวนานกว่าพันปี เก่าแก่กว่านครวัดนครธมของขอม เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศและมีสำคัญในยุโรปมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันและยุคกลาง กษัตริย์ชาลส์ที่ 4 แห่งจักรวรรดิโรมันได้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยชาลส์ (Charles University) ถือเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดของยุโรปตะวันออก ดินแดนแถบนี้หากย้อนหลังไปราว 2,000 ปี ที่ชนเผ่าสลาฟได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในแคว้นโบฮีเมีย ตั้งเป็นรัฐอิสระในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 9 ต่อมาถูกชนเผ่าเยอรมันมายึดเป็นอาณานิคม ทำให้วัฒนธรรมเช็กมีลักษณะทั้งของสลาฟและเยอรมัน กรุงปรากจึงมีความหลากหลายทางสถาปัตยกรรมทั้งโรมาเนสก์ โกธิก เรอเนซองซ์ บาร็อก รวมทั้งศิลปะรูปแบบต่าง ๆและเป็นเมืองที่แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของเช็กได้อย่างดี ตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมัน จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์ฮับสบูร์ก (ราวศตวรรษที่ 15-18) และองค์การยูเนสโก ได้เลือกให้เป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม

             วันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2551 เรานอนตื่นสายไม่เร่งรีบ เช็คเอาท์แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมออกเดินเที่ยวเมืองปรากตอน 9 โมงเช้า (แทรมทำงานตั้งแต่ 04:39-24:15 น. เมโทรทำงาน 5:00-24:00 น.) ได้แผนที่เดินเที่ยวจากทางโรงแรม พี่ตู่แยกไปเที่ยวก่อน เราเดินตามแผนที่ไปเที่ยวย่านเมืองเก่า ชมความงามของเมือง อาคารใหญ่โตโชว์ความอลังการงานสร้างที่มีมาแต่อดีตหลายร้อยปี ดูมั่นคงแข็งแรงล้อมรอบสองด้านของถนนที่ปูด้วยหินก้อนไม่ใช่ลาดยาง อาคารบ้านเรือนทรงเรเนซองซ์ อาร์ตนูโว บาร็อค สลับกับโบสถ์ที่มีคั่นเป็นระยะๆทำให้ดูงดงามในคุณค่า เรมองเห็นสัญลักษณ์ของปรากอยู่ในหลายๆอาคารที่เป็นภาพปราสาทกรุงปรากที่ประตูมีมือคนถือธนูที่พร้อมจะยิงคนที่เข้าไปบุกรุกรุกรานปราสาท สํญลักษณ์นี้มาจากเจ้าหญิงลีบุสเช่ เจ้าแห่งสลาฟในคริตส์ศตวรรษที่ 7 สตรีคนแรกที่ปกครองกรุงปรากผู้ซึ่งมีพระสิริโฉมงดงามและสติปัญญาปราดเปรื่องเปี่ยมด้วยอัจฉริภาพ ผู้บัญชาให้สร้างนครปราก ณ ลุ่มน้ำวัลตาวา

             เราเดินไปจนถึงย่านเมืองเก่าเป็นจตุรัสใจกลางเมือง (Old Town square) หรือหัวใจแห่งปรากที่มีนักท่องเที่ยวเดินเที่ยวกันอย่างหนาตา ของกินของขายมีให้เลือก ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำวัลตาวา ดินแดนใจกลางประเทศ การเดินชมอาคารเก่าแก่ขนาบข้างบนถนนปูลาดด้วยหินนี้ให้ความรู้สึกย้อนยุคไปในอดีตอย่างน่าประทับใจ อาคารที่เดินผ่านมารายทางจากโรงแรมกลับสวยไม่ได้ครึ่งของอาคารที่อยู่รายรอบจัตุรัสนี้ อาคารเก่าแก่ทรงคุณค่าเหล่านี้สูงเด่นสง่าประดับด้วยรูปปั้นหลากหลาย อนุสาวรีย์ Jan Hus สร้างปี ค.ศ. 1915 อยู่ใจกลางจตุรัส มีเก้าอี้ยาวให้นั่งพักคอยได้ เป็นอนุสาวรีย์ที่ระลึกถึงคุณงามความดีของพระรูปหนึ่งที่ต่อต้านการคอรับชั่นของพวกคาทอลิกจนถูกนำมาเผาที่นี้

             มุมหนึ่งเป็นที่ตั้งของโบสถ์Tyn Church หรือChurch of Our Lady before Tyn ที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 13 สไตล์บาร็อก สูงเด่นเป็นสง่าตรงข้ามหอคอยสูงใหญ่ (Old Town Hall) สูง 69.5 เมตรที่สร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1338 ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์และให้ขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์เหนือนครปรากได้ แต่เราไม่มีเวลาขึ้นไป (เสียเงินขึ้นไปจะเดินขึ้นหรือขึ้นลิฟต์ไปก็ได้) เดินไปชมนาฬิกาดาราศาสตร์ (Astronomical Clock) ที่ฐานหอคอย สร้างในปี ค.ศ. 1490 เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุโรปยุคกลางที่มีแห่งเดียวเพราะหลังจากสร้างแล้วคนสร้างตาบอดจึงไปสร้างที่ไหนอีกไม่ได้ เราไม่ได้รอชมเวลานาฬิกาตีที่มีตุ๊กตานักบุญออกมาเต้นรำอยู่ราว 1 นาที

              บรรยากาศในบริเวณจตุรัสเต็มไปด้วยทัวร์ร่มเดินเท้าพาชมจุดสำคัญๆ ทัวร์รถไฟฟ้าสองล้อมีไกด์นำ รถม้าแสนหรูและบริการนั่งรถเก๋งเก๋าเก่าคลาสสิกที่ราคาพอตัว ผมสังเกตดูแล้วแคน ขิม ขลุ่ยให้ความสนใจกับการเดินเที่ยวที่นี่มาก ผมเองก็ทึ่งอย่างนึกไม่ถึงจริงๆของความงดงามอันทรงคุณค่าของอาคารต่างๆ เดินออกมาถึงอาคารดินปืน (Powder Tower) หอหินสีเข้มที่มีลักษณะคล้ายประตูเมืองมีถนนใหญ่ลอดผ่านได้ เราไม่ได้ขึ้นไปชมด้านบน บนผนังมีลายสลักปูนปั้นอันสวยงาม เดิมใช้เป็นคลังดินปืน ปัจจุบันเป็นที่ใช้แสดงนิทรรศการ เดินต่อไปชมศาลาประชาคม (Municipal House) ที่สร้างเมื่อ ค.ศ. 1906 อาคารปูนสีเหลืองนวลแสนสวย ภายในมีร้านอาหารและโรงละคร มีโคมไฟรูปปั้นโลหะงดงาม บนผนังด้านนอกมีภาพวาดและลายสลักปูนปั้นอย่างโดดเด่น เป็นอาคารสร้างใหม่ได้ร้อยปีทุ่มเททั้งสถาปนิกและช่างสาขาต่างๆอย่างเต็มที่จึงเป็นอาคารที่งามอย่างโดดเด่นมาก ใกล้ๆกันมองเห็นอาคารRudofinumที่เคยใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล สร้างเมื่อ ค.ศ. 1884 ปัจจุบันใช้เป็นที่แสดงดนตรีของCzech philharmony ตั้งอยู่ริมฝั่งน้ำวัลตาวา

              เราเดินอ้อมจัตุรัสกลางเมืองกลับมาที่ริมฝั่งน้ำวัลตาวาไปที่สะพานชาลส์ (Charles Bridge) สะพานเก่าแก่และมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของยุโรป ไม่เปิดให้รถวิ่ง เป็นสะพานคนเดิน สร้างมาตั้งแต่ต้นสมัยอยุธยาราวหกร้อยห้าสิบปีมาแล้ว ทั้งสองด้านของสะพานเป็นที่ตั้งของหอคอยด้านตะวันออกคือ Old Town Bridge Tower ส่วนฝั่งตะวันตกคือLesser Bridge Tower ลักษณะไม่เหมือนกันและสร้างคนละเวลากัน เปิดเสียตังค์ให้ขึ้นชมวิวได้ทั้งสองหอ แต่เราไม่ได้ขึ้นชม ด้วยอายุที่เก่าแก่ตั้งแต่สมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 4 ที่โปรดให้สร้างสะพานหินนี้ขึ้น โดยการคำนวณการวางหินก้อนแรกตามหลักดาราศาสตร์คือ 1-3-5-7-9-7-5-3-1 คือในปี ค.ศ. 1357 วันที่ 9 ของเดือนที่ 7 เวลา 5:31 ตอนเช้า โดยทรงมอบให้Peter Parler ผู้สร้างมหาวิหารเซนต์วิธัสเป็นคนสร้าง การสร้างสะพานหินยุคนั้นต้องใส่ไวน์ ไข่ดิบและครีมชีสลงไปในปูนฉาบเพื่อความแข็งแรง

              บนสะพานมีรูปปั้นนักบุญ 30 องค์ตั้งอยู่เป็นคู่ๆตรงข้ามกัน องค์ที่อยู่ตรงกลางสะพานคือนักบุญเนโปมุก เป็นนักบุญชาวโบฮีเมียที่มีชื่อเสียงมากที่สุด ที่เชื่อกันว่าถ้าได้ลูลคลำและอธิษฐานจะได้กลับมาเที่ยวปรากอีก เมื่อยืนอยู่กลางสะพาน มองไปลำน้ำเบื้องล่างมีเรือวิ่งไปมาเป็นระยะๆ มองไปเบื้องหน้ามองเห็นปราสาทสวยเด่นบนยอดเขา มีโบสถ์เป็นพื้นหลัง ตัดกับบ้านเมืองทรงเก่าสีสันสวยงาม ท้องฟ้าสีฟ้าใส ตัดกับปุยเมฆขาว ลมเย็นพัดปะทะใบหน้า แม้อยู่กลางแดดร้อนก็ให้ความรู้สึกสบาย ถ้าเป็นยามค่ำคืนเมื่อประดับประดาไปด้วยแสงไฟจะงามแค่ไหนหนอ

              เดินลงจากสะพานเป็นถนนหินปูลาดที่นำพาขึ้นเนินเขาไปสู่ปราสาทปราก ที่ได้ชื่อว่า ปราสาทในวิมาน ปราสาทโบราณที่ใหญ่ที่สุดในโลก ถนนค่อยๆลาดสูงขึ้นเนินเรื่อยๆไม่สูงชัน สองข้างทางเป็นร้านค้าขายของที่ระลึกและสินค้านาชนิด ซอยเล็กซอยน้อยข้างถนนก็เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร เดินผ่านแวะไปชมศิลปะแบบบาร็อกของโบสถ์นิโคลัสที่งามที่สุดในปราก เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆและก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆจนเริ่มเหนื่อย จนไปถึงลานด้านหน้าปราสาทที่มองลงมาเห็นทิวทัศน์ของเมืองด้านล่างได้ แวะทานอาหารกลางวันในสวนใต้ร่มไม้ที่ด้านหน้าปราสาทก่อนด้วยข้าวสวย ไก่ทอดและน้ำพริกเผาที่เตรียมมาด้วยกับกล้วยหอมผลใหญ่จนอิ่มชื่นใจ สบายขาเพราะได้นั่งพักใต้ร่มไม้ลมเย็น

              ประตูทางเข้าปราสาทมีทหารเฝ้าอยู่ ผลัดเปลี่ยนเวรยามกันทุกชั่วโมง รูปปั้นซ้ายขวาขนาบประตูเรียกว่าBlattling Titans เป็นรูปปั้นที่คนหนึ่งทุบ คนหนึ่งแทง แสดงให้คนที่จะบุกรุกปราสาทยำเกรง บนหลังคาตึกโอบรอบด้านหน้าปราสาทมีรูปสลักเป็นตัวอะไรไม่รู้ หัวเป็นไม้ มีหกแขนไม่มีมือแต่เป็นปลายหอกแหลมสีทอง เดินลอดผ่านประตูตึกไปเจอกับมหาวิหารสูงเสียดฟ้าคือมหาวิหารเซนต์ไวธัส (St. Vitus Cathedral) ที่สูงถึง 97 เมตรและยาว 124 เมตร ใช้เวลาก่อสร้าง 600 ปี เริ่มสร้างปี ค.ศ. 1344 สมัยกษัตริย์ชาลส์ที่ 4 ยอดรูปทรงโกธิคแหลมสูงและมีหอคอยสไตล์เรเนอซองซ์ที่ทอดตัวสูงขึ้นไปอีกต่างหาก หลังคาด้านนอกสไตล์บาร็อก เอ้กับแคนและขิมเข้าไปชมความงามข้างใน แต่ขลุ่ยไม่ยอมเข้าไป ผมจึงต้องพาเดินชมรอบๆมหาวิหารแทน ตามมุขหอคอยมีรูปสลักหินหลากหลาย ด้านข้างโบสถ์เป็นน้ำพุใหญ่ เสาธงชาติขนาดมหึมาของธงเช็ก ข้ามประตูเข้าไปจะเป็นที่ทำงานของประธานาธิบดีเช็ก บริเวณประตูตึกด้านข้างใช้เหล็กหล่อเป็นรูปราศีต่างๆ

              เราไม่ได้เข้าไปชมในตึกด้านข้างเพราะเวลาไม่พอแล้ว รีบเดินออกมาด้านหน้าปราสาท เอ้บอกว่าข้างในดูใหญ่โตงดงามมากประดับด้วยโมเสกระยิยระยับ เสาสุง 28 ต้นและห้องพิธี 21 ห้อง เดินลงตามถนนโค้งลาดลง ผ่านถนนสายเดิมที่ผู้คนมากมาย เรียงรายด้วยร้านขายของที่ระลึก เดินมาได้สักพัก รู้สึกว่าระยะทางมันยาวไกลกว่าตอนเดินขึ้นมาเยอะ จริงๆแล้วระยะทางเท่าเดิมแต่ขาเราอ่อนล้า เรี่ยวแรงถดถอยไปแล้ว ยิ่งเจอแดดร้อนแรงแผดเผายิ่งแย่ หยุดพักซื้อเครื่องดื่มแก้กระหาย ตัดสินใจซื้อตั๋วแทรมแบบ 75 นาที ขึ้นแทรมสายสองแล้วเดินกลับโรงแรม มาเอากระเป๋าเดินทาง เลยกำหนดเวลาที่ต้องไปขึ้นรถบัสตอนบ่ายสามโมงที่สถานีรถบัสNaknlzeci ใกล้สถานีเมโทรAndel เราต้องเดินทางไปพักค้างคืนอีกเมืองหนึ่ง เลยขอให้พนักงานโรงแรมช่วยดูตารางรถไฟให้

             โชคดีที่มีรถไฟในเวลา16:10 น. ซึ่งเราสามารถไปได้ทัน ผมอดเสียดายไม่ได้ว่าสำหรับปรากแล้วเวลาแค่ 1-2 วันน้อยเกินไปที่จะดื่มด่ำกับความงดงามแห่งอดีตที่เชื่อมต่อมาสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างกลมกลืนกับค่ำคืนอันแสนโรแมนติกบนสะพานชาลส์เหนือลำน้ำวัลตาวา

พิเชฐ บัญญัติ (Phichet Banyati)

เขียนจากบันทึกประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2552 เวลา 17.35 น. (นครปราก)

23 พฤษภาคม 2552

หมายเลขบันทึก: 262866เขียนเมื่อ 23 พฤษภาคม 2009 20:43 น. ()แก้ไขเมื่อ 22 มิถุนายน 2012 01:34 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท