ปรากฏตามเอกสารราชการฉบับหนึ่งว่า[1] นายบุญเลิศ นายเฮือง เกิดเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ที่อำเภอลายฆ่า จังหวัดดอกแหลม ประเทศพม่า บิดามีชื่อว่า “นายหลิ่ง” และมารดามีชื่อว่า “นางจ่า” เอกสารนี้ไม่ระบุสัญชาติบิดามารดา แต่ระบุว่า บุญเลิศเป็นคนชาติพันธุ์ไทยใหญ่ และเขาถูกระบุว่า เป็นคนสัญชาติพม่าโดย ท.ร.๓๘/๑
เขาเดินทางเข้ามาในประเทศไทยทางหนองอุกเมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงดาว เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๐
นายบุญเลิศ นายเฮือง กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนบ้านท่ามะแกง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เขามีเอกสารรับรองตัวบุคคลหลายฉบับ กล่าวคือ (๑) บัตรนักเรียนโรงเรียนบ้านท่ามะแกง เลขประจำตัว ๑๒๔๕ (๒) เอกสาร ปพ.๑ ปรากฏเลขประจำตัวประชาชน ระบุ- ๑-๕๐๑๐-๐๐๐๗๔-๓๗-๘ ซึ่งมาจากโรงเรียนไทยทนุบ้านสันต้นดู่ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ (๓) เกียรติบัตรผ่านผ่านอบรมลูกเสือ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘ ออกโดย สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่อาย (๔) เกียรติบัตรชนะการประกวดเรียงความวันแม่ เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๘ และ (๕) วุฒิบัตรผ่านอบรมสามเณร ลงวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗
ผมคำนวณดูแล้วเด็กคนนี้อายุ 17 ปี หากยึดตามทะเบียนประวัติ ท.ร.38/1 สามารถที่จะขอทำบัตรประจำตัวคนต่างด้าว (บัตรสีชมพู)เพื่อใช้ทำงานได้ หากไม่ทำงาน ผมก็ถือว่าปลอดภัยระดับหนึ่ง คือมีสิทธิอาศัยด้วยนะครับ แต่ในทางปฏิบัติถ้าไปขอทำบัตรที่สนง.จัดหางาน ที่เชียงใหม่มีปัญหาไหมครับ
ผมสงสัยต่อว่าเด็กคนนี้เคยถูกตำรวจจับกุมหรือไม่ เพราะเมื่อเด็กเริ่มโตเป็นหนุ่ม เป็นผู้ใหญ่กระบวนการพิจารณาคดีไม่ซับซ้อนเหมือนเด็ก ทีต้องมีการส่งตัวไปสถานพินิจ ต้องมีนักจิตวิทยา/นักสังคมสงเคราะห์ อัยการ ทนายความ เข้าร่วมฟังการสอบปากคำ
หากถูกจับ แล้วมีการดำเนินกระบวนการพิจารณาตั้งแต่ลงบันทึกประจำวัน ไปตามระบบ เมื่อถึงศาล ท่านว่าอย่างไรบ้าง คดีลงเอยด้วยประการใด
เพราะทำไปทำมา ในอนาคตข้างหน้าเด็กที่ถูกบันทึกในท.ร.38/1 แล้วไปเรียนหนังสือในโรงเรียนไทยจะมีมากขึ้น เราจะมีกฎหมายอะไรบ้างที่จะใช้ปกป้องตัวเด็ก และกฎหมายนั้นตำรวจจะต้องยอมรับ ไม่อาจปฏิเสธข้าง ๆ คู ๆ จะจับอย่างเดียวเป็นต้น
อ.แหววครับ เคสไหนก็ได้