วิธีการเสาะแสวงหาความรู้ (Methods of acquiring knowledge) จำแนกได้ดังนี้
1.
วิธีโบราณ (Older methods)
ในสมัยโบราณมนุษย์ได้ความรู้มาโดย
1.1 การสอบถามผู้รู้หรือผู้มีอำนาจ (Authority)
เป็นการได้ความรู้จากการสอบถามผู้รู้ หรือผู้มีอำนาจ เช่น
ในสมัยโบราณเกิดโรคระบาด ผู้คนก็จะถามจากผู้ที่มีอำนาจว่าควรทำ
อย่างไร
ซึ่งในสมัยนั้นผู้มีอำนาจก็จะแนะนำให้ทำพิธีสวดมนต์อ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง
ๆ ให้ช่วยคลี่คลายเหตุการณ์ต่าง ๆ
คนจึงเชื่อถือโดยไม่มีการพิสูจน์
1.2 ความบังเอิญ (Chance)
เป็นการได้ความรู้มาโดยไม่ตั้งใจ
ซึ่งไม่ได้เจตนาที่จะศึกษาเรื่องนั้นโดยตรง
แต่บังเอิญเกิดเหตุการณ์หรือปรากฏการณ์บางอย่างทำให้มนุษย์ได้รับความรู้นั้น
เช่น เพนนิซิลินจากราขนมปัง
1.3 ขนบธรรมเนียมประเพณี (Tradition)
เป็นการได้ความรู้มาจากสิ่งที่คนในสังคมประพฤติปฏิบัติสืบทอดกันมาจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณี
และวัฒนธรรม ผู้ที่ใช้วิธีการนี้ ควรตระหนักด้วยว่าสิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นในอดีตจนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีนั้น
ไม่ใช่จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องและเที่ยงตรงเสมอไป
ดังนั้นผู้ที่ใช้วิธีการนี้ควรจะได้นำมาประเมินอย่างรอบคอบเสียก่อนที่จะยอมรับว่าเป็นข้อเท็จจริง
1.4 ผู้เชี่ยวชาญ (Expert)
เป็นการได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง
เมื่อมีปัญหาหรือต้องการคำตอบเกี่ยวกับเรื่องใดก็ไปถามผู้เชี่ยวชาญ เฉพาะเรื่องนั้น
เช่น เรื่องดวงดาวต่าง ๆ ในท้องฟ้าจากนักดาราศาสตร์
เรื่องความเจ็บป่วยจากนายแพทย์
1.5 ประสบการณ์ส่วนตัว (Personal experience)
เป็นการได้ความรู้จากประสบการณ์ที่ตนเคยผ่านมา
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคลช่วยเพิ่มความรู้ให้บุคคลนั้น เมื่อประสบปัญหาก็พยายามระลึกถึงเหตุการณ ์หรือวิธีการแก้ปัญหาในอดีตเพื่อเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่ประสบอยู่
1.6 การลองผิดลองถูก (Trial and error)
เป็นการได้ความรู้มาโดยการลอง แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
หรือปัญหาที่ไม่เคยทราบมาก่อน
เมื่อแก้ปัญหานั้นได้ถูกต้องเป็นที่พึงพอใจ
ก็จะกลายเป็นความรู้ใหม่ที่จดจำไว้ใช้ต่อไป
ถ้าแก้ปัญหาผิดก็จะไม่ใช้วิธีการนี้อีก
2.
วิธีการอนุมาน (Deductive method) คิดขึ้นโดยอริสโตเติล
(Aristotle) เป็นวิธีการคิดเชิงเหตุผล
ซึ่งเป็นกระบวนการคิดค้นจากเรื่องทั่ว ๆ ไปสู่เรื่องเฉพาะเจาะจง
หรือคิดจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อยจากสิ่งที่รู้ไปสู่ สิ่งที่ไม่รู้
วิธีการอนุมานนี้จะประกอบด้วย
1. ข้อเท็จจริงใหญ่
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เป็นจริงอยู่ในตัวมันเอง
หรือเป็นข้อตกลงที่กำหนดขึ้นเป็นกฎเกณฑ์
2. ข้อเท็จจริงย่อย ซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงใหญ่
หรือเป็นเหตุผลเฉพาะกรณีที่ต้องการทราบความจริง
3. ผลสรุป เป็นข้อสรุปที่ได้จากการพิจารณาความสัมพันธ์ของเหตุใหญ่และ
เหตุย่อย
ตัวอย่างการหาความจริงแบบนี้ เช่น
ตัวอย่างที่
1 ข้อเท็จจริงใหญ่
: สัตว์ทุกชนิดต้องตาย
ข้อเท็จจริงย่อย
: แมวเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ผลสรุป
: แมวต้องตาย
ตัวอย่างที่
2 ข้อเท็จจริงใหญ่
: ถ้าโรงเรียนถูกไฟไหม้ ครูจะเป็นอันตราย
ข้อเท็จจริงย่อย
: โรงเรียนถูกไฟไหม้
ผลสรุป
: ครูเป็นอันตราย
ถึงแม้ว่าการแสวงหาความรู้โดยวิธีการอนุมาน จะเป็นวิธีการที่มีประโยชน์อย่างยิ่ง แต่ก็มีข้อจำกัด ดังนี้
1. ผลสรุปจะถูกต้องหรือไม่
ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงใหญ่กับข้อเท็จจริงย่อย หรือทั้งคู่
ไม่ถูกต้องก็จะทำให้ข้อสรุปพลาด ไปด้วย ดังเช่นตัวอย่างที่ 2 นั้น
การที่โรงเรียนถูกไฟไหม้
ครูในโรงเรียนอาจจะไม่เป็นอันตรายเลยก็ได้
2. ผลสรุปที่ได้เป็นวิธีการสรุปจากสิ่งที่รู้ไปสู่สิ่งที่ไม่รู้ แต่วิธีการนี้ไม่ได้เป็นการยืนยันเสมอไปว่า ผลสรุปที่ได้จะเชื่อถือได้เสมอไป เนื่องจากถ้าสิ่งที่รู้แต่แรกเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนก็จะส่งผลให้ข้อสรุปนั้นคลาดเคลื่อนไปด้วย
3. วิธีการอุปมาน (Inductive Method) เกิดขึ้นโดยฟรานซิส เบคอน (Francis Bacon) เนื่องจากข้อจำกัดของวิธีการอุมานในแง่ที่ว่าข้อสรุปนั้น จะเป็นจริงได้ต่อเมื่อข้อเท็จจริงจะต้องถูกเสียก่อน จึงได้เสนอแนะวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อย ๆ เสียก่อนแล้วจึงสรุปรวบไปหาส่วนใหญ่ หลักในการอุปมานนั้นมีอยู่ 2 แบบด้วยกันคือ
3.1 วิธีการอุปมานแบบสมบูรณ์ (Perfect inductive method) เป็นวิธีการแสวงหาความรู้โดยรวบรวม ข้อเท็จจริงย่อย ๆ จากทุกหน่วยของกลุ่มประชากร แล้วจึงสรุปรวมไปสู่ ส่วนใหญ่ วิธีนี้ปฏิบัติได้ยากเพราะบางอย่างไม่สามารถนำมาศึกษาได้ครบทุกหน่วย นอกจากนี้ยังสิ้นเปลืองเวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายมาก
3.2 วิธีการอุปมานแบบไม่สมบูรณ์ (Imperfect inductive method) เป็นวิธีการ เสาะแสวงหาความรู้ โดยรวบรวมข้อเท็จจริงย่อย ๆ จากบางส่วนของกลุ่มประชากร แล้วสรุปรวมไปสู่ส่วนใหญ่ โดยที่ข้อมูลที่ศึกษานั้นถือว่าเป็นตัวแทนของสิ่งที่จะศึกษาทั้งหมด ผลสรุปหรือ ความรู้ที่ได้รับสามารถอ้างอิงไปสู่กลุ่มที่ศึกษาทั้งหมดได้ วิธีการนี้เป็นที่นิยมมากกว่าวิธีอุปมานแบบสมบูรณ์ เนื่องจากสะดวกในการปฏิบัติและประหยัดเวลา แรงงานและค่าใช้จ่าย
4. วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (Scientific method) เป็นการเสาะแสวงหาความรู้โดยใช้หลักการของ วิธีการอนุมานแล ะวิธีการอุปมานมาผสมผสานกัน Charles Darwin เป็นผู้ริเริ่มนำวิธีการนี้มาใช้ ซึ่งเมื่อต้องการค้นคว้าหาความรู้ หรือแก้ปัญหาในเรื่องใดก็ต้องรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อน แล้วนำข้อมูลมาใช้ในการสร้างสมมติฐาน ซึ่งเป็นการคาดคะเนคำตอบล่วงหน้า ต่อจากนั้นเป็นการตรวจสอบปรับปรุงสมมติฐาน การเก็บรวบรวมข้อมูล และการทดสอบสมมติฐาน และJohn Dewey ปรับปรุงให้ดีขึ้นแล้วให้ชื่อวิธีนี้ว่า การคิดแบบใคร่ครวญรอบคอบ (reflective thinking) ซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อของวิธีการทางวิทยาศาสตร์
วิธีการทางวิทยาศาสตร์
เป็นวิธีการเสาะแสวงหาความรู้ที่ดีในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ไม่เพียงแต่
ปัญหาที่เกิดขึ้นในห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์เท่านั้น
แต่ยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหาทางการศึกษาด้วย
ขั้นตอนของวิธีการแก้ปัญหาทางวิทยาศาสตร์มีดังนี้
1. ขั้นปัญหา (Problem)
2. ขั้นตั้งสมมติฐาน (Hypothesis)
3. ขั้นรวบรวมข้อมูล (Gathering Data)
4. ขั้นวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis)
5. ขั้นสรุป (Conclusion)
ขั้นตอนของวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้แก้ปัญหาทางการศึกษา
1. การตระหนักถึงปัญหา ขั้นนี้ผู้เสาะแสวงหาความรู้มีความรู้สึก
หรือตระหนักว่าปัญหาคืออะไร
หรือมีความสงสัยใคร่รู้เกิดขึ้นว่าคำตอบของปัญหานั้นคืออะไร
2. กำหนดขอบเขตของปัญหาอย่างชัดเจนและเฉพาะเจาะจง
ขั้นนี้จะต้องกำหนดขอบเขตของปัญหาที่ตนจะศึกษาหาคำตอบนั้นมีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน
3. กำหนดสมมติฐาน ผู้แสวงหาความรู้
คาดคะเนคำตอบของปัญหาโดยการสังเกตจากข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีอยู่
4. กำหนดเทคนิคการรวบรวมข้อมูล
รวมทั้งการพัฒนาเครื่องมือที่มีคุณภาพไว้ใช้ในการรวบรวมข้อมูลที่จะตอบปัญหาที่ต้องการ
5. รวบรวมข้อมูล ผู้เสาะแสวงหาความรู้
นำเครื่องมือที่พัฒนาไว้ในขั้นที่ 4
มารวบรวมข้อมูลที่จะตอบปัญหาที่ต้องการทราบ
6. วิเคราะห์ข้อมูล นำข้อมูลที่รวบรวมได้ในขั้นที่ 5
มาจัดกระทำเพื่อหาคำตอบ
7. สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้เสาะแสวงหาความรู้
สรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่
เกี่ยวข้องกับสมมติฐานที่คาดคะเนไว้บนพื้นฐานของผลที่ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูล
ความหมายของการวิจัย
คำว่า
"การวิจัย" ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า "Research" Re
แปลว่า "อีก" Search แปลว่า "การค้นหา"
ดังนั้นคำว่า "การวิจัย: Research" จึงแปลว่า
การค้นหาแล้วค้นหาอีก และความหมายของคำว่า "การวิจัย"
มีผู้ให้ความหมายไว้หลายอย่างเช่น
เบสท์ (Best, 1981 อ้างถึงใน บุญเรียง ขจรศิลป์ , 2533 : 5) ได้ให้ความหมายของการวิจัยไว้ว่าเป็นวิธีการที่เป็นระบบระเบียบ และมีจุดมุ่งหมายในการวิเคราะห์ และคิดบันทึกการสังเกตที่มีการควบคุมเพื่อนำไปสู่ข้อสรุปอ้างอิง หลักการหรือทฤษฎีซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการทำงานและการควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล
(2543 : 21) สรุปความหมายของการวิจัยไว้ว่า
การวิจัยคือการศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบระเบียบเพื่อทำความเข้าใจปัญหาและแสวงหาคำตอบ
เป็นกระบวนการที่อาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
บุญเรียง ขจรศิลป์ (2533 : 5) ได้ให้ความหมายของคำว่า การวิจัยทางด้านวิชาการ หมายถึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ หรือกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้เพื่อตอบปัญหาที่มีอยู่อย่างมีระบบ และมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอน โดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์
จากที่กล่าวมาข้างต้น พอสรุปได้ว่าการวิจัย หมายถึง กระบวนการแสวงหาความรู้ความจริง ที่มีระบบและวิธีการที่น่าเชื่อถือเพื่อนำความรู้ความจริงที่ได้นั้นไปใช้ในการตัดสินใจแก้ไขปัญหา หรือก่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ดังนั้น การวิจัยทางการศึกษาจึงหมายถึง กระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ใหม่ๆที่เป็นความจริงเชิงตรรกะ(Logical)หรือความจริงเชิงประจักษ์(Empirical) เพื่อตอบปัญหาทางการศึกษาอย่างมีระบบและมีวัตถุประสงค์ที่แน่นอนโดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลัก
จุดมุ่งหมายของการวิจัย
จุดมุ่งหมายของการวิจัยเมื่อพิจารณาตามเป้าหมายในการวิจัยแบ่งได้ 2 ประการคือ
1. เพื่อเพิ่มพูนความรู้ใหม่ๆ ทางวิชาการ เป็นการแสวงหาความรู้
หรือความจริงเพื่อสร้างเป็นกฎ สูตรทฤษฎี ในแต่ละสาขาวิชา
ไม่คำนึงถึงเรื่องการนำผลการวิจัยไปใช้
เพราะการวิจัยแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพียงต้องการรู้เรื่องราวต่าง ๆ
เท่านั้น เช่น
การวิจัยเกี่ยวกับปรากฏการณ์ธรรมชาติการโคจรของดาวหางเป็นต้น
2.
เพื่อนำไปประยุกต์หรือใช้ประโยชน์ในงานต่างๆ
มีจุดมุ่งหมายในการนำผลการวิจัยไปใช้ในเชิงปฏิบัติโดยตรง เช่น
การวิจัยแก้ปัญหาการจราจรการวิจัยปัญหาการเรียนการสอน
การวิจัยเพื่อศึกษาขวัญและกำลังใจในการทำงานเป็นต้น
ประโยชน์ของการวิจัยทางการศึกษา
การวิจัยนั้นถ้าดูตามเป้าหมายจะมี2 ลักษณะ คือ การวิจัยพื้นฐาน (Pure
Research or Basic Research) และการวิจัยประยุกต์(Applied Research)
ซึ่งการวิจัยพื้นฐานมีเป้าหมายที่จะแสวงหาความรู้ความจริง
เพื่อสร้างกฎ สูตร ทฤษฎีในแต่ละสาขาวิชา
เพื่อเป็นพื้นฐานในการศึกษาเรื่องอื่นๆ ต่อไป
ส่วนการวิจัยประยุกต์
มุ่งนำผลจากการวิจัยไปใช้ในการแก้ปัญหาต่างๆ
การวิจัยทางการศึกษา มีทั้งการวิจัยพื้นฐานและวิจัยประยุกต์จึงก่อให้เกิดประโยชน์ต่าง ๆ
1.ได้ข้อความรู้ความเข้าใจในปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เช่น ผลการวิจัยทำให้เราทราบว่ามนุษย์แต่ละคนมีความถนัดในการเรียนวิชาการสาขาต่างๆ แตกต่างกันออกไป การศึกษาเกี่ยวกับเทคนิคการสอน ทำให้ทราบว่าเทคนิคการสอนที่ต่างกันนั้น ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน แตกต่างกันไปอย่างไร
2. ช่วยให้การจัดการศึกษามีประสิทธิภาพสูงสุดจากการได้ความรู้และ ความเข้าใจต่าง ๆ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ทำให้นักการศึกษาสามารถที่จะจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้
3. ก่อให้เกิดประดิษฐ์กรรมและนวัตกรรมใหม่ๆ ในการศึกษา ผลของการวิจัยในทางการศึกษาส่วนหนึ่งก่อให้เกิดแนวคิด วิธีการเครื่องมือ ตลอดจนวิธีการใหม่ ๆ ในการจัดการศึกษาให้ดีขึ้น
ขั้นตอนการวิจัย
การดำเนินการวิจัย
ยึดถือและปฏิบัติตามวิธีการทางวิทยาศาสตร์เป็นหลักมีลำดับขั้นของการทำวิจัย
5 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นที่ 1 การกำหนดปัญหา(Problem Identification) เมื่อต้องการศึกษาเรื่องใด ต้องตั้งปัญหาที่จะศึกษาให้ชัดเจนซึ่งในขั้นนี้ผู้วิจัยจะต้องตั้งชื่อเรื่อง และนิยามปัญหาที่จะวิจัย ว่าในการศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายอย่างไรการที่จะนิยามปัญหาได้ชัดเจน ต้องมีการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ
ขั้นที่ 2 การตั้งสมมุติฐาน (Formulation Hypothesis) การตั้งสมมุติฐานเป็นการทำนายผลการวิจัย เป็นการเดาว่าเรื่องต่าง ๆ ที่ศึกษานั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร
ขั้นที่ 3 การรวบรวมข้อมูล(Collection of Data) ผู้วิจัยจะต้องวางแผนว่าจะใช้วิธีการใดเก็บรวบรวมข้อมูลและหาวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล เพื่อที่จะนำข้อมูลมาใช้ในการตอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้
ขั้นที่ 4 การวิเคราะห์ข้อมูล(Data Analysis) ผู้วิจัยจะต้องใช้ วิธีการทางสถิติ เพื่อวิเคราะห์ผลการวิจัยและแปลความหมายของข้อมูล
ขั้นที่ 5 การสรุปผล (Conclusion) เป็นการสรุปผลว่าการวิจัยครั้งนี้ได้ผลอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งอภิปรายผล และให้ข้อเสนอแนะ แล้ว ทำเป็นรายงานการวิจัย เพื่อเป็นเอกสารแสดงผลการศึกษาค้นคว้า
ในการดำเนินการวิจัยผู้วิจัยจะต้องทำการวางแผนไว้ล่วงหน้าเพื่อให้งานวิจัยเป็นไปอย่างมีแบบแผน ซึ่งอาจแยกแยะขั้นตอนทั้งการวางแผนและลงมือปฏิบัติจริงได้ดังนี้
1. เลือกหัวข้อปัญหาการวิจัยเป็นการกำหนดของงานวิจัยว่า จะทำการศึกษาในเรื่องใดสาขาวิชาใด มีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน ปัญหาที่ทำการวิจัยนั้นต้องมีคุณค่าและเหมาะสมกับความสามารถ เวลาและเงินทุนสำหรับการวิจัย
2. ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ผู้วิจัยต้องศึกษาทฤษฎี หลักการ ความรู้พื้นฐานผลงานวิจัยในเรื่องที่เกี่ยวข้อง เพื่อจะได้เห็นแนวทางในการวิจัย
3. เขียนเค้าโครงการวิจัยเพื่อให้การวิจัยดำเนินไปตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ผู้วิจัยจะต้องเขียนรายละเอียดของกระบวนการวิจัยไว้ล่วงหน้าว่าจะต้อง ทำอะไรบ้าง ตามลำดับแต่ต้นจนจบ โดยมีปฏิทินการปฏิบัติงาน พร้อมทั้งกำหนดค่าใช้จ่ายเครื่องมือในการวิจัยไว้ด้วย
4. การดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นตอนที่ทำหลังจากเขียนเค้าโครงการวิจัย เรียบร้อยแล้ว ก็มีการนำเครื่องมือไปเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการวิจัย
5. การวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิเคราะห์ข้อมูลตามวิธีที่กำหนดไว้ในเค้าโครงการวิจัย
6. สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ ขั้นนี้เป็นการสรุปผลที่ได้จาก การวิเคราะห์ข้อมูลรวมทั้งให้ข้อเสนอแนะสำหรับผู้ที่จะทำการวิจัย ในลักษณะคล้าย คลึงกันหรือนำผลการวิจัยไปใช้
7. เขียนรายงานการวิจัยงานวิจัยจะเสร็จสมบูรณ์ต้องมีการรายงานวิจัยออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร โดยขั้นนี้จะรายงานข้อเท็จจริงที่ค้นพบตามแนวการเขียนรายการวิจัย เพื่อสะดวกแก่ผู้ที่มาศึกษาค้นคว้าต่อไป
ประเภทของการวิจัย
งานวิจัยแบ่งออกได้หลายประเภท
ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เกณฑ์อะไรในการจัดประเภทในที่นี้ขอกล่าวถึงประเภทของงานวิจัยเมื่อใช้เกณฑ์
4 ประเภท ดังนี้
1. แบ่งตามประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัยแบ่งได้ 2 ประเภท
คือ
1.1
การวิจัยพื้นฐานหรือการวิจัยบริสุทธิ์(Pure Research)
เป็นการวิจัยที่ไม่ได้มุ่งที่จะนำผลของการวิจัยไปใช้ให้เป็นประโยชน์ทันทีในชีวิตจริงแต่มีความต้องการที่จะให้ได้มาซึ่งความรู้ใหม่
ข้อเท็จจริงพื้นฐานทางทฤษฎีหรือกฎที่เกี่ยวข้องกับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ที่ศึกษาเป็นการแสวงหาความรู้ใหม่
ๆเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์เป็นเป้าหมายหลัก
1.2
การวิจัยประยุกต์(Applied Research)
เป็นการวิจัยที่มุ่งนำผลการวิจัยไปใช้ให้เป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติเช่น
เพื่อนำไปแก้ปัญหา
เพื่อนำไปประกอบการตัดสินใจเพื่อนำไปพัฒนาโครงการเป็นต้น
2. แบ่งตามลักษณะวิธีการวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งได้ 2
ประเภทคือ
2.1
การวิจัยเชิงปริมาณ(Quantitative Research)
เป็นการวิจัยที่มุ่งหาข้อเท็จจริงและข้อสรุปเชิงปริมาณ
เน้นการใช้ข้อมูลที่เป็นตัวเลขเป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องของข้อค้นพบ
และสรุปต่างๆ
มีการใช้เครื่องมือที่มีความเป็นปรนัยในการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่น
แบบสอบถามแบบทดสอบ การสังเกต การสัมภาษณ์ การทดลอง เป็นต้น
2.2
การวิจัยเชิงคุณภาพ(Qualitative Research)
เป็นการวิจัยที่นักวิจัยจะต้องลงไปศึกษาสังเกต
และกลุ่มบุคคลที่ต้องการศึกษาโดยละเอียดทุกด้านในลักษณะเจาะลึก
ใช้วิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม
และการสัมภาษณ์แบบไม่เป็นทางการเป็นหลักในการเก็บรวบรวมข้อมูลการวิเคราะห์ข้อมูลจะใช้การวิเคราะห์เชิงเหตุผลไม่ได้มุ่งเก็บเป็นตัวเลขมาทำการวิเคราะห์
3.
แบ่งตามประเภทของศาสตร์ แบ่งได้2 ประเภท
คือ
3.1
การวิจัยทางวิทยาศาสตร์(SciencesResearch)
เป็นการวิจัยที่เน้นในเรื่องของการทำความเข้าใจกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและวัตถุต่างๆ
รวมทั้งมุ่งนำเอาความรู้ที่ได้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ เช่น
งานวิจัยทางด้านการแพทย์อุตสาหกรรม เคมี ชีววิทยา เป็นต้น
3.2
การวิจัยทางสังคมศาสตร์(Social Research)
เป็นการวิจัยที่เน้นในเรื่องการศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์รวมทั้งสังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์
เช่น การวิจัยทางการศึกษา เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม
การเมืองการปกครอง เป็นต้น
4.
แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย
ระ
ขอบคุณครับสำหรับความรู้ดีๆ
แต่เนื้อหาแสดงไม่ครบอ่าครับ ทำไงดี
ถึงแค่ ข้อ "4.แบ่งตามระเบียบวิธีวิจัย" แล้วหายไปเลย
ทำไงจะเห็นเนื้อหาจนครบหมด ใครรู้วานช่วยบอกทีนะครับ
ขอบคุณล่วงหน้า
ในที่สุดก็มีปัญหาเกี่ยวกับงานวิจัยเพื่อขอความอนุเคราะห์อีกแล้วค่ะ ด้วยไม่ทราบว่าจะสามารถสอบถามอาจารย์ได้ทางไหน น้ำฝนจึงเลือกเข้า web blog แล้วเขียนสิ่งที่ต้องการถามค่ะ ขออนุญาตถามนะคะ
ถ้าน้ำฝนทำวิจัยสักเรื่อง น้ำฝนจะมั่นใจหรือกล้าบอกใคร ๆ ได้ไหมคะว่า งานวิจัยที่น้ำฝนทำนั้น "น่าเชื่อถือ" เอาอะไรเป็นเกณฑ์ เอาอะไรมาตัดสินงานวิจัยชิ้นนั้นว่าน่าเชื่อถือค่ะ
ที่แรกก็คิดนะคะว่าจะเกี่ยวกับเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยไหมคะ หรือคุณภาพของเครื่องมือ ทั้ง ความเที่ยง ความตรงค่ะ อันนี้อยากทราบจริง ๆ ค่ะ
ขอบพระคุณค่ะ ^_^
น้องน้ำฝน
ความน่าเชื่อถือของงานวิจัยประกอบด้วยองค์ประกอบหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ตัวผู้วิจัย มีความรู้ในเรื่องที่วิจัยแค่ไหน ซึ่งดูได้จากการเขียน บทนำ การเรียบเรียงเอกสารในบทที่ 2 ต่อมาก็ต้องดูที่กระบวนการวิจัย( บทที่ 3) มีความถูกต้อง ชัดเจน เพียงไร
และที่น้องน้ำฝนกล่าวถึงคือเครื่องมือ มีการตรวจสอบความตรง (Validity) หรือไม่ อย่างไร เพราะเป็นการชี้ว่าเครื่องมือนั้นสามารถวัดข้อมูลได้ตรงกับเรื่องที่ต้องการหรือไม่ เช่น ความตรงเชิงเนื้อหา(Content validity) ความตรงเชิงโครงสร้างทฤษฎี(Construct validity) ฯลฯ นอกจากนั้นต้องตรวจสอบความเที่ยง (Reliability)ของเครื่องมือ หมายถึงค่าที่แสดงว่าเครื่องมือนั้นใช้วัดแล้ววัดอีกได้ผลเช่นเดิม การตรวจสอบความยาก (Difficulty) การตรวจสอบอำนาจจำแนก (Discrimination)
และที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคือ การเก็บข้อมูล ต้องให้ได้ข้อมูลที่แท้จริง ท้ายที่สุดคือ การอภิปรายผล ที่ต้องสรุป อ้างอิง และเชื่อมโยง หลักการทฤษฎี ที่เราได้มาจากการเขียน บทที่ 2 เท่านี้ก็คงพอทำให้งานวิจัยน่าเชื่อถือนะครับ
อย่านอนดึกมากนะครับ เห็นคำถามเขียน เวลาที่ เลยเที่ยงคืน แล้ว สุขภาพดี ก็ทำให้งานวิจัยน่าเขื่อถือนะครับ :)
เอกพรต สมุทธานนท์
วันนี้ได้รับความรู้จากดร.เอกพรตเป็นครั้งแรก หนูเลยลองคิดปัญหาในการทำ IS แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นหัวข้อวิจัยได้หรือไม่ ลองอ่านดูนะค่ะ "การศึกษาผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนวัดโป่งแค" เนื่องจากหนูย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนนี้ได้ประมาณ 2 ปี ซึ่งโรงเรียนดังกล่าวไม่ผ่านการรับรองจาก สมศ. (ในรอบ 2) และการค้นหาข้อมูลต่างๆ ไม่เป็นระบบ เมื่อสิ้นปีการศึกษาต้องมีการรายงานข้อมูลต่อหน่วยงานต้นสังกัดในรูปแบบของ SAR บ้าง หรือการจัดทำแผนปฏิบัติการประจำปีบ้าง หรือการกำหนดแผนกลยุทธ์ต่างๆ ของโรงเรียนเหมือนว่ามันมีปัญหา ซึ่งผู้บริหารโรงเรียนก็มอบหมายให้หนูรับผิดชอบ แต่เกิดปัญหาในการค้นหาข้อมูลที่ต้องการไม่เป็นระบบเท่าที่ควร การทำงานในโรงเรียนก็มีปัญหาบ้างบางส่วน ทำให้การส่งข้อมูลล่าช้า งานไม่สอดคล้องกันทั้งหมด ซึ่งหนูคิดว่าถ้าเรานำงานประกันคุณภาพภายในโรงเรียนมาดำเนินการควบคู่กับการบริหารงานแบบ PDCA จะช่วยลดปัญหาและทำให้งานเป็นระบบมากขึ้นได้ หรืออาจารย์เห็นว่าอย่างไรค่ะ ขอข้อเสนอแนะด้วยค่ะ จะพยายามเขียนบทที่ 1 เพื่อนำเสนออาจารย์ในครั้งต่อไปค่ะ
เรียน คุณศิริมา
"การศึกษาผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนวัดโป่งแค" เมื่อ ทำเสร็จ
จะเป็น "รายงานผลการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนวัดโป่งแค" หรือเปล่าครับ :)
ความจริงปัญหา น่าสนใจดีนะ ครับ แต่
ถ้าเป็น "การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการดำเนินงานการประกันคุณภาพภายในโรงเรียนวัดโป่งแค ปีการศึกษา....."
น่าสนใจกว่าไหมครับ
เอกพรต
ขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะ ที่กรุณาให้ความอนุเคราะห์ตอบคำถามของน้ำฝนอยู่เสมอ
ตามจริงเปิดอ่านข้อมูลที่อาจารย์แนะนำใน blog ตั้งแต่วันที่ 9 ตุลาคม แล้วค่ะ และนำไปใช้แล้วด้วย
แต่ด้วยเหตุบางอย่างจึงไม่สามารถตอบเพื่อขอบคุณได้ในวันนั้นน่ะค่ะ ต้องขออภัยด้วยนะคะ
วันนี้มาเปิด blog อีกทีค่ะ คราวนี้ไม่ได้ถามนะคะ (เดี๋ยวจะกลายเป็น "เจ้าหนูจำไม" มีปัญหามาให้อยู่เรื่อยค่ะ ^_^)
แต่จะมาขอบคุณอาจารย์น่ะค่ะ
ถึงยังไง น้ำฝนก็ยังคงต้องขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างเรื่องงานวิจัยอยู่ดีนะคะ
ขออนุญาตฝากตัวเป็นลูกศิษย์อาจารย์อีกสักคนจะได้ไหมคะ เพราะคำตอบของอาจารย์คือครูอีกนัยหนึ่งของน้ำฝนค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์นะคะ
คราวนี้ไม่นอนดึกแล้วค๊าาา ^_^
ยินดี ครับ
เอกพรต
สวัสดีครับ ดร.เอกพรต
ควรเริ่มการทำ IS จากอะไรดีครับ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง(หรือยังไม่เริ่มคิดจะทำกันแน่)
ทำไงค่ะ อยากย้ายที่ทำงาน ไป อยุทธยา มี รร ว่างไหมค่ะ
อาจารย์ ผอ. เอก มี รร ไหนว่าง แถวอยุทธยา ที่ต้องการครูวิทย์ ที่เก่งๆ สวยๆไหม พี่สาวเขาจะย้ายไปแถวนั้น อิอิ
สวัสดีค่ะอาจารย์
วันนี้น้ำฝนได้ไปร่วมประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่อง "การพัฒนาโจทย์การวิจัยตามยุทธศาสตร์จังหวัดของกลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน" ประจำปีงบประมาณ 2553 ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา มาค่ะ
ด้วยวันนี้ตัวแทน นักวิจัย จากหลายหน่วยงานในภาคกลางตอนบนได้มารวมกันที่นี่ จึงคาดหวังว่าจะได้พบอาจารย์ด้วยในวันนี้ กะว่าจะเข้าไปแนะนำตัวฝากตัวเป็นลูกศิษย์สักคนหนึ่งค่ะ แต่ไม่พบอาจารย์ ผิดหวังเล็ก ๆ เฮ้อๆๆๆ
แต่ไม่เป็นไรค่ะ เพราะวันนี้มีเรื่องดีเช่นกันค่ะ ด้วยได้มีการระดมสมองแบ่งกลุ่มทำงานวิจัย ว่าใครมีความต้องการจะทำงานวิจัยเรื่องอะไรรวมกลุ่มกันทำเลย น้ำฝนเองได้ฟังอาจารย์หลาย ๆ ท่านว่าจะทำเรื่องอะไรกันบ้าง จึงไปสะดุดกับหัวข้องานวิจัยของ
ดร.ปฤษณา (ไม่ทราบนามสกุลจริง ๆ ค่ะขออภัยอย่างยิ่งค่ะ) คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา ซึ่งจะทำงานวิจัยเกี่ยวกับความรุนแรงในเด็ก พอได้เข้าไปสนทนาด้วย ว๊าว ๆ ๆ ๆ ค่ะ โดนมาก โดน ค่ะ อาจารย์ปฤษณา บอกว่าจะเป็นในลักษณะ case study เด็กแต่ละกลุ่มที่มีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง หรือมีปัญหาจากสภาวะการณ์ต่าง ๆ แล้วส่งผลออกมาก่อกวนบ้านเมือง
เหตุที่ชอบและอยากศึกษา รวมถึงอยากร่วมเป็นหนึ่งในผู้วิจัย (แค่ได้ช่วยเก็บข้อมูลก็ยังดีค่ะ) เพราะเห็นว่า งาน กศน. เป็นหน่วยงานที่เก็บตกเด็กผู้ด้อยโอกาส ขาดโอกาส และพลาดโอกาสทางการศึกษามารวมตัวกันเรียนกับเรา เด็กนอกระบบจะค่อนข้างมีพฤติกรรมรุนแรงกว่าเด็กในระบบ มันน่าสนใจตรงนี้หล่ะค่ะเพราะน้ำฝนเองไม่ใช่คนในพื้นที่แต่ได้มาทำงานในพื้นที่จังหวัดอยุธยา แล้วถ้าได้ทำงานวิจัยดังกล่าวจริงต้องไปเรียนรู้พื้นที่ บริบท สภาพแวดล้อมของกลุ่มเป้าหมายที่เราจะศึกษา รวมถึงอาจเป็นส่วนหนึ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็ก กศน. บ้างอ่ะค่ะ
น่าสนุกไหมคะอาจารย์ ดูมันลุย ๆ ดีค่ะ ^_^
หากได้ร่วมทำงานวิจัยชิ้นนี้จริง ๆ คงต้องขอความอนุเคราะห์จากอาจารย์เช่นเคยนะคะเกี่ยวกับความรู้ด้านงานวิจัยนะคะ
ขอบพระคุณค่ะ
น้ำฝนค่ะ ^_^
คงสนุกนะครับ น้ำฝน
แต่รับลองว่าต้องเหนื่อยแน่ๆๆ
ขอให้โชคดีได้ร่วมงานนะครับ เอาใจช่วยครับ
เอกพรต
อ้อ คงเป็น ดร.ปฤษณา ชนะวรรษ
คณะครุศาสตร์ มั้งครับ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ขอบพระคุณนะคะที่เอาใจช่วย เป็นกำลังใจที่ดีที่สุดเลยค่ะ เพราะเป็นกำลังใจจากผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิจัย มันอาจจะแทรกซึมมาถึงน้ำฝนบ้างค่ะ ^_^
แต่ ต้องเหนื่อยมากเลยใช่ไหมคะ แล้วน้ำฝนจะไหวไหมคะเนี๊ยะ (>_<")
อาจารย์รู้จักกับ อาจารย์ปฤษณา ด้วยเหรอคะ ?
วันก่อนได้โทรคุยกับอาจารย์ปฤษณา เกี่ยวกับเรื่องงานวิจัยว่าจะได้ทำจริงไหม ตอนไหน อะไร ยังไง อาจารย์ปฤษณา บอกว่า ต้องส่งเค้าโครงผ่านก่อนภายใน 31 มกราคม 53 นี้ค่ะ แต่ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลและจัดทำเป็นงานวิจัยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปีค่ะ จึงต้องรอจนถึงสิ้นเดือนถึงจะโทรไปถามอีกทีว่ายังจะให้เข้าร่วมงานวิจัยครั้งนี้อ่ะค่ะ
งั้นถ้าได้ร่วมงานครั้งนี้จริง น้ำฝนขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยแนะนำน้ำฝนด้วยนะคะ
อาจารย์หล่ะคะ มีโครงการทำงานวิจัยไหมคะ แล้วมีคนช่วยเก็บข้อมูลยังคะ น้ำฝนยินดีนะคะถ้าอาจารย์จะเรียกไปรับใช้ ช่วยเต็มที่ เต็มกำลัง เต็มความสามารถเลยค๊า
ขอบพระคุณค่ะ
น้ำฝนค่ะ ^_^
ผมไม่ได้รู้จัก ดร.ปฤษณา เป็นการส่วนตัวหรอกครับ
เพียงแต่ท่านเป็นคนเก่ง และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องการกระทำรุ่นแรง ในเด็ก
ถ้าน้องน้ำฝนได้ร่วมงานกับท่าน ก็ถือเป็นความโชคดีครับ
ยินดี รับใช้ครับถ้ามีโอกาส
งานหลักของผมเป็น ผอ. โรงเรียนเล็กๆๆ นะ ครับ
มีงานวิจัย ที่ไปช่วย สพฐ.บ้าง มีงานสอนมหาวิทยาลัยบ้าง แต่ยังไม่มีเวลาที่จะไปทำงานวิจัยอะไร ใหญ่ๆ ที่เป็นของตัวเองเลย
ยังไงก็ขอบคุณครับสำหรับความปรารถนาดี
เอกพรต
รบกวนถามอ.เอกพรต เรื่องการตั้งสมมุติฐานการวิจัยค่ะ กำลังทำวิจัยเรื่องการใช้แบบฝึกทักษะภาษาอังกฤษเพราะผลสัมฤทธิ์ต่ำ
เราตั้งสมมุติฐานก่อน หรือหลังใช้แบบฝึกค่ะ
การตั้งสมุติฐานเป็นการคาดเดาผลที่จะเกิดขึ้นจากการวิจัย
ดังนั้นต้องตั้งก่อนก่อน ใช้แบบฝึกครับ
เอกพรต