เรื่องของการรับบุตรบุญธรรมเป็นเรื่องภายใต้กฎหมายครอบครัว และเป็นเรื่องภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจมีข้อวิเคราะห์ข้อเท็จจริงโดยข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องดังนี้
ในประการแรก มนุษย์ทุกคนมีสิทธิมนุษยชนที่จะก่อตั้งครอบครัวตามกฎหมาย ทั้งนี้ ดังปรากฏในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ค.ศ.๑๙๔๘/พ.ศ.๒๔๙๑ ซึ่งข้อ ๑๖ (๑) บัญญัติว่า “ชายและหญิงเมื่อเจริญวัยบริบูรณ์แล้ว มีสิทธิที่จะสมรสและที่จะสร้างครอบครัวโดยไม่มีการจำกัดใด ๆ เนื่องจาก เชื้อชาติ, สัญชาติ, หรือศาสนา” และข้อ ๑๖ (๓) บัญญัติว่า “ครอบครัวคือ กลุ่มซึ่งเป็นหน่วยธรรมชาติและพื้นฐานของสังคมและชอบที่จะได้รับการคุ้มครองโดยสังคมและรัฐ” ครอบครัวตามกฎหมายเกิดขึ้นได้ ๒ ลักษณะ กล่าวคือ (๑) การก่อตั้งครอบครัวตามธรรมชาติ และ (๒) การก่อตั้งครอบครัวบุญธรรม ดังนั้น จึงมีคำตอบในประการแรกได้ว่า สามีภริยาตามข้อเท็จจริงที่ถามมาย่อมมีสิทธิที่จะก่อตั้งครอบครัวบุญธรรมได้ สิทธิดังกล่าวมีอยู่โดยไม่ต้องคำนึงถึงสัญชาติหรือลักษณะการเข้าเมืองไทยของบิดามารดาของเด็ก
ในประการที่สอง สำหรับการพิจารณาความเป็นไปได้ในการรับบุตรบุญธรรมซึ่งเป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างเอกชนนั้น ย่อมมีลักษณะเป็นนิติสัมพันธ์ตามกฎหมายเอกชน และหากฟังข้อเท็จจริงว่า เด็กเป็นบุตรของชาวพม่า เด็กก็น่าจะมีสถานะเป็นคนต่างด้าว และสามีก็เป็นคนต่างด้าว กรณีจึงเป็นนิติสัมพันธ์ของเอกชนที่มีลักษณะระหว่างประเทศ กรณีนี้จึงตกอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล ดังนั้น จะต้องมีปัญหาการเลือกกฎหมายเพื่อพิจารณาความเป็นไปได้นี้ ซึ่งการเลือกกฎหมายนี้ย่อมเป็นต้องกระทำโดยกลไกที่กำหนดโดยกฎหมายภายในไทยว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายเอกชน หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “กฎหมายขัดกัน” ทั้งนี้ เว้นแต่จะกำหนดเป็นอย่างอื่น สำหรับกลไกการเลือกกฎหมายว่าการรับบุตรบุญธรรม ก็คือ มาตรา ๓๕ แห่ง พ.ร.บ.ว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมาย พ.ศ.๒๔๘๑ กำหนดว่า
“ถ้าผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมมีสัญชาติอันเดียวกัน การรับบุตรบุญธรรมให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น ๆ
ถ้าผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรมมีสัญชาติแตกต่างกัน ความสามารถและเงื่อนไขแห่งการรับบุตรบุญธรรมให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของคู่กรณีแต่ละฝ่าย แต่ผลแห่งการรับบุตรบุญธรรมระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมกับบุตรบุญธรรม ให้เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของผู้รับบุตรบุญธรรม
สิทธิและหน้าที่ระหว่างบุตรบุญธรรมกับครอบครัวของตนตามกำเนิดนั้นให้ เป็นไปตามกฎหมายสัญชาติของผู้รับบุตรบุญธรรม”
โดยพิจารณาบทบัญญัติดังกล่าว จะเห็นว่า ความเป็นไปได้ที่จะรับเด็กตามข้อเท็จจริงเป็นบุตรบุญธรรมย่อมเป็นไปตาม “กฎหมายสัญชาติของบุคคลนั้น ๆ” หรือ “กฎหมายสัญชาติของคู่กรณีแต่ละฝ่าย” ดังนั้น คำถามต่อไป ก็คือ เด็กมีสัญชาติอะไร ? และใครคือผู้รับบุตรบุญธรรม สามีหรือภริยาหรือทั้งคู่ ? แล้วผู้รับบุตรบุญธรรมมีสัญชาติอะไร ?
ข้อเท็จจริงนี้ต้องมีมาก่อนจึงจะพิจารณาเลือกกฎหมายที่มีผลกำหนดความเป็นไปได้ของการรับบุตรบุญธรรมที่จะเกิดขึ้น
หากการเลือกกฎหมายในที่สุดนำไปสู่การใช้กฎหมายไทย ก็หมายความว่า จะต้องใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไทย ซึ่งมาตรา
ในประการที่สาม เมื่อประเด็นตามกฎหมายแพ่งว่าด้วยครอบครัวฟังได้แล้วว่า มีความเป็นไปได้ที่จะรับบุตรบุญธรรม จึงจะไปดำเนินการขอจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมได้ แต่หากไม่มีความเป็นไปได้ที่จะรับบุตรบุญธรรม จึงจะไปดำเนินการขอจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมไม่ได้ กระบวนการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเป็นเรื่องตามกฎหมายมหาชน ซึ่งหากจะจดทะเบียนในประเทศไทย ก็จะต้องเป็นไปตามกฎหมายไทยที่เกี่ยวข้อง กล่าวคือ (๑) พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งถูกแก้ไขและเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๓ และ (๒) กฎกระทรวง ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ.๒๕๒๒
โดยมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พ.ศ. ๒๕๒๒ บัญญัติว่า “การรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมต้องมีการทดลองเลี้ยงดูและได้รับอนุมัติให้รับเป็นบุตรบุญธรรมตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัตินี้” ซึ่งรายละเอียดเป็นไปตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๓)
ในประการสุดท้าย เรื่องของสัญชาติไทยนั้น หากเด็กเกิดในประเทศไทย ก็อาจร้องขอสัญชาติไทยโดยหลักดินแดน (มาตรา ๗ ทวิ วรรคสอง[1] แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งถูกแก้ไข พ.ศ.๒๕๓๕ และ พ.ศ.๒๕๕๑) หรือหากเด็กเกิดนอกไทย ก็อาจจร้องขอสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ (มาตรา ๑๒/๑ (๓)[2] แห่ง พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.๒๕๐๘ ซึ่งถูกแก้ไข พ.ศ.๒๕๕๑) หากมีข้อเท็จจริงครบองค์ประกอบตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘ ว่าด้วยยุทธศาสตร์เพื่อการจัดการสถานะและสิทธิของบุคคลได้เห็นชอบที่จะให้สัญชาติไทยแก่ “กรณีบุคคลที่ไม่ทราบแหล่งที่มา” กล่าวคือ (๑) ให้บุคคลที่ขาดบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ได้รับสัญชาติไทย เมื่อมีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนของทางราชการและอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันอย่างน้อย ๑๐ ปีขึ้นไป ทั้งนี้บุคคลดังกล่าวต้องมีความประพฤติดี และ/หรือประกอบอาชีพสุจริต และ (๒) สำหรับบุคคลที่ขาดบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งที่ได้รับสถานะเป็นบุตรบุญธรรมตามคำสั่งของศาลให้ได้รับสัญชาติไทย
ขอตอบแค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ มีอะไรที่อยากแลกเปลี่ยนกันว่ากันอีก
[1] “ในกรณีที่เห็นสมควร รัฐมนตรีจะพิจารณาและสั่งเฉพาะรายหรือเป็นการทั่วไปให้บุคคลตามวรรคหนึ่งได้สัญชาติไทยก็ได้ ตามหลักเกณฑ์ที่คณะรัฐมนตรีกำหนด”
[2] “ผู้รับบุตรบุญธรรมซึ่งเป็นผู้มีสัญชาติไทยอาจขอแปลงสัญชาติเป็นไทยให้แก่บุตรบุญธรรมที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะซึ่งได้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปีและมีหลักฐานแสดงให้เชื่อได้ว่าเป็นผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องมีคุณสมบัติตามมาตรา ๑๐ (๑) และ (๓)”
อ.แหววครับ
1.ตามพ.ร.บ.สัญชาติ ม.12/1(3)ผมอ่านไปอ่านมาสับสน คือในกรณีที่เด็กไม่ได้เกิดในประเทศไทย ผู้รับบุตรบุญธรรมไม่สามารถขอแปลงสัญชาติให้แก่บุตรได้ เนื่องจากบุตรนั้นต้องมี คุณสมบัติตามม.10(1)(3)ใช่ไหมครับ แต่หากเด็กคนนั้นเป็นคนไร้รากเหง้าด้วย จะต้องมีคุณสมบัติตามม.10(1)(3) ด้วยหรือไม่เนื่องจากในยุติศาสตร์การจัดการปัญหาสถานะและสิทธิของบุคคล 18 ม.ค.2548ไม่ได้กล่าวไว้
2.กรณีตามตัวอย่างจาก e-mail หากภรรยาคนไทยจะเป็นผู้รับบุตรบุญธรรมจะต้องได้รับความยินยอมจากชายอินเดีย ซึ่งก็ต้องไปพิจารณาตามกฎหมายอินเดียว่ามีเงื่อนไขในการให้ความยินยอมแก่คู่สมรสเป็นอย่างไรด้วยใช่ไหมครับ
ดังนั้นการรับบุตรบุญธรรมของคนสัญชาติไทยที่เป็นโสด(ไมว่าจะโดยพฤตินัย หรือนิตินัย)ย่อมเป็นเรื่องที่ยุ่งยากน้อยกว่าการรับบุตรบุญธรรมของคนสัญชาติไทยที่จดทะเบียนสมรสกับคนต่างชาติ เพราะไม่ต้องพิจารณาเงื่อนไขให้คู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งยินยอมด้วย
3.หากเด็กไม่สามารถพิสูจน์สัญชาติได้ว่าตนเองมีสัญชาติอะไรก็ไม่ต้องพิจารณาตามพ.ร.บ.ขัดกัน ใช่หรือไม่ครับ เพราะโดยข้อเท็จจริงเด็กที่ถูกทอดทิ้งในประเทศไทยอาจไม่มีหลักฐานประจำตัวอะไรสักอย่าง แม้แต่ท.ร.1/1 หรือเอกสารใด ๆ ที่บ่งบอกว่าเกิดในต่างประเทศ
4.กรณีตามตัวอย่างหากเด็กคนนี้ยังไม่มีเลข 13 หลัก เมื่อได้รับการจดทะเบียนเป็นบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว มารดาบุญธรรมจะนำเด็กเข้าสู่ทะเบียนราษฏร และให้ใช้นามสกุลของมารดาบุญธรรมโดยอาศัยช่องทางใด
สวัสดีค่ะ ดิฉันถูกพ่อแม่ที่เป็นต่างด้าว(เข้าเมืองโดยผิดกฏหมาย)ทอดทิ้งตั่งแต่เยาว์วัยซึ่งมีผู้ใหญ่ใจดีรับไปเป็นบุตรบุญธรรมและทั้งสองท่ายนั้นมีสัญชาติไทยที่สำคัญตอนนี้ได้หนังสือรับรองบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้วค่ะ ดิฉันมีแต่ใบเกิด ซึ่งในใบเกิดไม่มีชื่อพ่อที่แท้จริง ดิฉันจะต้องทำยังไงถึงจะได้เข้าทะเบียนบ้านของพ่อแม่บุญธรรมที่มีสัญชาติหรือค่ะ แล้วจะทำยังไงถึงจะได้รับสัญชาติไทย ช่วยดิฉันด้วยนะค่ะ
ตอนนี้ประสบปัญหาเช่นเดียวกันค่ะ อุปการะเด็กต่างด้าว เลี้ยงมาตั้งแต่ 2 เดือน (สัญชาติพม่า) น้องเกิดในประเทศไทย พ่อและแม่ติดต่อไม่ได้ น้องไม่มีเอกสารใดๆ นอกจากใบเกิด ตอนนี้น้องเรียนอยู่ ป.6 จะขึ้น ม.1 แล้ว กลัวน้องเรียนต่อไม่ได้ ทำอย่างไรดีค่ะ ร้อนใจมากๆ
ตอนนี้ประสบปัญหาเช่นเดียวกันค่ะ อุปการะเด็กต่างด้าว เลี้ยงมาตั้งแต่ 2 เดือน (สัญชาติพม่า) น้องเกิดในประเทศไทย พ่อและแม่ติดต่อไม่ได้ น้องไม่มีเอกสารใดๆ นอกจากใบเกิด ตอนนี้น้องเรียนอยู่ ป.6 จะขึ้น ม.1 แล้ว กลัวน้องเรียนต่อไม่ได้ ทำอย่างไรดีค่ะ ร้อนใจมากๆ