เส้นทางโพธิญาณ อันเป็นบ่อเกิดแห่งพระพุทธคุณ(พระบารมีเริ่มแรก)


เราตรัสรู้แล้วจะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย

           สมเด็จพระบรมศาสดากว่าจะได้ตรัสรู้พระปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ อันเป็นบ่เกิดแห่ง พระพุทธคุณมากมายเป็นอดุล นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้นั้น มิใช่เรื่องง่ายเลย ต้องทรงพระอุตสาหะ อาจหาญบำเพ็ญโพธิญาณบารมียั่งยืน ไม่เสื่อมถอย เป็นเวลาช้านาน
           อนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าของเรานั้น ทรงเป็นพระพุทธเจ้าประเภท ปัญญาธิกะ คือทรงยิ่งยวดด้วยปัญญา เพราะกำลังปัญญินทรีย์แรงมากฉะนั้นจึงปรากฏว่า พระองค์ทรงสร้างพระโพธิญาณบารมีธรรมเพื่อพระพุทธภูมิอย่างรวดเร็วแม้จะนับว่ารวดเร็ว แต่ก็ต้องใช้เวลาถึง ๒๐ อสงไขย แสนกัป กล่าวคือปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าด้วยใจ (มโนปณิธาน) ๗ อสงไขย ด้วยวาจา(วจีปณิธาน) ๙ อสงไขย ด้วยกาย-วาจา ๔อสงไขยแสนกัป  ดังที่พระคันถรจนาจารย์ได้ประพันธ์ไว้เป็นคาถาดังนี้ว่า

จินฺติตํ สตฺตสงฺเขยฺยํ   นวสงฺเขยฺยวาจิกํ
กายวาจสิกํ จาติ        พุทฺธตฺตํ สมุปาคมิ
พระโพธิสัตว์ของเราคิดในใจ ๗ อสงไขย
ทำด้วยวาจา๙อสงไขย (ทำด้วยกายและวาจา
อีก ๔ อสงไขยแสนกัป) จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

         ระยะกาลตั้งแต่ศาสนาพระพุทธพรหมเทวะ ถึงสมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณศากยมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ๗ อสงไขยเป็นการปรารถนาด้วยใจ ตั้งแต่สมเด็จพระมิ่งมงกุฏปุราณศายมุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกร ๙ อสงไขยเป็นการปรารถนาด้วยวาจา ตั้งแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทีปังกรจนถึงพระพุทธเจ้าพรงพระนาวว่าปทุมุตตระ ๔ อสังไขย ตั้งแต่พระพุทธเจ้าปทุมุตตระถึงพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ๑ แสนกัป รวมเป็น๔ อสงไขย ๑ แสนกัป เป็นการปรารถนาด้วยกายและว่าจา ซึ่งแยกออกเป็น ๓ กาลดังนี้

๑. พระบารมีเริ่มแรก

     ตอนที่พระองค์เริ่มตั้งมโนปณิธานความปรารถนาเพื่อต้องการพุทธภูมิในใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปางเมื่อเสวยพระชาติเป็นมาณพหนุ่มแบกมารดาว่ายข้ามมหาสมุทรเมื่อเรื่องย่อว่า
     ในครั้งอดีตกาลพระโพธิสัตว์เกิดเป็ฯคนยากจนคนหนึ่งอยู่ในเมมองคันธาร เก็บผักหักฟืนด้วยตนเองจากป่ามาขายเลี้ยงมารดาอยู่มาวันหนึ่งกำลังแบกของหนักมา ถูกดดเผากระหายน้ำจึ่งนั่งพักที่ด่คนต้นนิโครธ(ต้นไทรรือต้นกร่าง) แห่งหนึ่ง รำพึงว่า ขณะนี้เรายังมีเรี่ยวแรงอยู่ก็พอทนความทุกข์ร้นได้ เมื่อเวลาแก่เฒ่าลงไปแล้วหรือในเวลาเจ็ยบไข้เราจจะไม่อาจทนความทุกข์ได้อย่ากระนั้นเลย เราไปเมิองสุวรรณภูมิขนเอาเงินทองมาเลี้ยงมารดาให้มีความสุขเถิด เมื่อคิดได้ดังนี้แล้วจึงพามารดาไปลงเรืองสำเภาโดยชอเป็นลูกจ้างประจำเรือแล้วไปเมืองสุวรรณภูมิพร้อมมกับพ่อค้าเรือสำเภาได้อัปปางลงในวันที่๗
     ครั้งนั้น  พวกพ่อค้าได้ถึงมหาวินาศันสิ้น พระโพธิสัตว์แบกมารดาว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร ครั้งนั้นท้าวมหาพรหมชั้นสุทธาวาสเล็งแลดูสั้ตว์โลกทั่วไป คิดว่า ล่วง ๑ อวสงไขมาแล้วบุรุษใดที่จะเกิดมาเป็ฯพระพุทธเจ้าแม้สักองค์หนึ่ง สามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้สาจะมีไหม จึ่งเห็นพระโพธิสัตวฺกำลังสละชีวิตพามารดาของตนว่ายน้ำข้มมหาสมุทรอันลึกล้ำก้วงใหญ่หาที่สุดมิได้ ก็รู้ว่า มหาบุรุษผู้เนี้มีความเพียรมั่นคงนัก มีอัธยาศัยช่วยเหลือผู้อื่น พระโพธิสัตว์โดยพรหมดลใจ เกิดความคิดขึ้นมาในใจว่า

เราตรัสรู้แล้วจะให้ผู้อื่นตรัสรู้ด้วย
เราพ้นแล้วจะให้ผู้อื่นพ้นด้วย
เราข้ามได้แล้วจะให้ผู้อื่นข้ามได้ด้วย

      ดังนี้ ว่ายข้ามมหาสมุทร ๒-๓วั น ก็ถึงฝั่งพร้อมด้วยมารดา ตั้งแต่นั้นมา พระโพธิสัตว์เลื้ยงดูมารดาจนสิ้นชีพ ก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลกฝ่ายมารดาพระโพธิสัตว์ได้ไปตามยถากรรม นี้คือกาละที่ตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นในใจเป็นครั้งแรก เรียกว่า ปฐมจิตตุบาทกาล
     จำเนียรกาลตั้งแต่นั้นมาพระองค์มีพระหฤทัยมั่นคง ตั้งความปรารถนาว่าจะเป็ฯพระพุทธเจ้าทุกๆ ชาติที่เกิดมา และได้พบพระพุททธเจ้า ๑ แสน๒ หมื่น ๕ พันพระองค์ มีพระพุทธเจ้าพรหมเทวะเป็นต้น รวมระยะเวลาที่พระองค์บำเพ็ญบารมีเริ่มแรกนี้นานนับได้ถึง ๗ อสงไขย ดังมีข้อความกล่าวไว้ในคำภีร์อปทาน พุทธาปทานว่า

แม้เราก็ปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้า
ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลายด้วยใจ
เท่านั้นมาแล้วนับไม่ถ้วน เพื่อการตรัสรู้
เป็นพระพุทธเจ้า

________________________________________________________________________________________________
credit by : มหานมัสการ

คำสำคัญ (Tags): #ปฐมจิตตุบาทกาล
หมายเลขบันทึก: 258633เขียนเมื่อ 1 พฤษภาคม 2009 21:18 น. ()แก้ไขเมื่อ 12 มิถุนายน 2012 09:09 น. ()สัญญาอนุญาต: ไม่สงวนสิทธิ์ใดๆจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท