ป้ายจราจรสับสน...หรือคนดูไม่เข้าใจ??? !!!


ิ่สิ่งสำคัญที่ผมกำลังจะบอกคือ เรื่องของการสื่อสาร

 

ผมพยายามที่จะเข้าใจป้ายจราจรนะครับ

แต่จากภาพที่หยิบยกมานี้ ผมลองมองและคิดดีๆ

มีได้หลายคำสั่งครับ

 

อยากทราบเหมือนกันว่าหลายท่าน ตีความแบบไหน?

 

ผมขอแบ่งออกเป็นสองส่วนนะครับ

  1. ส่วนสัญลักษณ์ ห้ามจอด
  2. ส่วนในกรอบสี่เหลี่ยม

 

นี้นี้ลองแปลความหมายจากความเข้าใจ จะได้ออกมาคือ

 

  1. ห้ามจอด (ข้อนี้แน่นอนอยู่แล้ว) ตลอดแนวตั้งแต่เวลา 6.00 ถึง 9.00 น.

และ 16.00 ถึง 20.00 น. ยกเว้นวันอาทิตย์ (ที่จริงมันก็น่าจะเป็นอย่างนี้)

 

  1. ห้ามจอด (แน่นอน) เว้นวันอาทิตย์ ห้ามจอดตลอดแนว

ตั้งแต่เวลา 6.00 ถึง 9.00 น. และ 16.00 ถึง 20.00 น.

แสดงว่า ห้ามจอดทุกเวลา ยกเว้นวันอาทิตย์จอดแบบแบ่งช่วงเวลา

 

 

เครียดนะครับ...ไม่ทราบว่าท่านอื่นตีความว่าอย่างไรบ้าง?

ใครจะว่าผมพึลึก หรือหาว่าขับรถไม่เป็น ไม่เข้าใจกฎจราจร

ก็ตามสะดวกครับ

แต่ผมเชื่อว่าสิ่งที่นำเสนอในครั้งนี้

หลายท่านก็อดเถียงผมไม่ได้

อาจจะมีข้อโต้แย้งบ้าง...

 

แต่สิ่งสำคัญที่ผมกำลังจะบอกคือ เรื่องของการสื่อสาร

การสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญ ในการจะให้ผู้คน

เข้าใจความรู้สึก ความคิดของเรา

ให้ได้ทราบว่า เราอยากที่จะสื่อต่อเขาเช่นไร

และมีความเข้าใจเหมือนกันหรือไม่???

 

ซึ่งหากมีหลายคนที่ยังตีความเรื่องป้ายจราจรไม่เหมือนกัน

การที่เจ้าพนักงานจะดำเนินความผิด ก็อาจจะได้รับการโต้ตอบ

เพราะเข้าใจคนละเรื่องกัน 

เป็นการตีความจากหลายๆ มุมมองนะครับ

 

ทางที่ดี เราสื่อสารให้ชัดเจนขึ้นอีกนิดจะดีไหม?

เน้นให้ชัดๆ ว่าต้องการให้ทำอะไร

 

เรื่องนี้แล้ว ผมมีอีกกรณีหนึ่งคือ

 

หยุดตรวจ

 

เชื่อว่าเด็กๆ หรือกระทั่งปัจจุบัน หลายๆ ท่านก็คงพบเห็นคำนี้

มีความหมายว่าอะไรครับ?

 

  1. หยุด...ตรวจ เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่รถรา

 

  1. หยุดตรวจ...ตำรวจไม่ตรวจแล้ว ผ่านได้ตลอดเลย...

 

หลายๆ ท่านตีความเหมือนผมไหมครับ?

 

หรือป้ายที่ใช้ว่า

 

ห้ามเดินลัดสนาม

 

  1. ไม่เดินลัดสนาม อ้อมๆ ไปก็ได้ เสียเวลานิดหน่อย

 

  1. วิ่งลัดสนามก็แล้วกัน...เพราะเราวิ่งลัดสนาม

ไม่ได้เดินลัดสนาม ถือว่าไม่ผิด!!! (ประเภทเถรตรงครับ)

 

สรุปเรื่องนี้ว่า คนเขียนป้ายผิด หรือว่าเราผิดครับ...!!!

 

ถือว่าผมเป็นคนขวางโลกแล้วกันครับ

ชอบที่จะคิดอะไรที่มันแตกต่าง

และเพราะความแตกต่างนี่ละครับ

ที่จะทำให้เรากลายเป็นแหล่งจุดประกาย

ก่อกำเนิดความาคิดใหม่ๆ

 

เทคโนโลยีต่างๆ ที่เราใช้ในปัจจุบัน

ก็มีที่มาจากความคิดขวางๆ แบบนี้ละครับ

 

ความคิดที่คนโดยส่วนมากไม่เห็นด้วย

เพราะขัดแย้งความเชื่อเดิมๆ

 

แต่ในอนาคตจำเป็นที่จะต้องใช้ความคิดแผลงๆ แหกโลก

แบบนี้ละครับ

ไม่เช่นนั้น แข่งขันกับคู่ต่อสู้ไม่ได้เด็ดขาด

เพราะปัจจุบันนี้ สงครามที่น่ากลัว และอันตรายที่สุดคือ

สงครามแห่งปัญญา (Intellectual War) ครับ

ใครมีอาวุธทางปัญญาสะสมไว้มาก ย่อมได้เปรียบที่สุด

อย่าหยุดพัฒนาความคิด

ความคิดไม่ได้จำกัดที่อายุ

 

ยิ่งอายุมากยิ่งต้องเรียนรู้ให้มากขึ้น

เพื่อพัฒนาพลังสมอง

หากไม่ชอบคิด

หรือชอบขโมยความคิดผู้อื่นมาเป็นของตัวเอง

ถอนตัวแล้วเป็นที่ปรึกษาแก่คนรุ่นหลังจะดีกว่า

สง่างามกว่าถูกรุมกล่าวขาน (ในทางเสียหาย) แน่นอน

 

ฝากให้คิดสองประเด็นคือ

  1. การสื่อสารต้องให้เกิดความเข้าใจได้เหมือนๆ กัน

ระมัดระวัง มนุษย์ขวางโลก เพราะเราจะต้องสนุกกับเขาอีกนาน

 

  1. รู้จักคิดอะไรที่มันขวางโลก หรือเปิดรับความคิดใหม่ๆ บ้าง

อย่าเพิ่งปฏิเสธ หรือปิดใจ

เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่แตกต่างจากข้อเท็จจริง ที่เคยได้รับทราบมา

หมายเลขบันทึก: 258259เขียนเมื่อ 29 เมษายน 2009 22:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:40 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)

สวัสดีค่ะ

ขอบคุณที่ให้แง่คิดดีๆ

ยอมรับว่า ปัจจุบัน ในที่ทำงานมีปัญหาเรื่องการสื่อสารเช่นกัน

บางครั้ง เกิดจากความกำกวมของสารที่ส่งออกไป แบบ “หยุดตรวจ”

แต่บางครั้งเกิดจากความคิด(ฐานข้อมูล)เดิมของแต่ละคน และความตั้งใจของแต่ละคนที่อยากจะตีความสารให้เข้าข้างตัวเองมากที่สุด....

ได้แนวคิดและมุมมองครับ ขอบคุณมากครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท