ป่าพน (๑)


หลังจากทักทายเจ้าของบ้าน ดื่มน้ำ พอหายร้อนเป็นที่เรียบร้อย คณะคาราวานโบกรถเข้าป่าก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เพื่อไม่ให้ถึงที่หมายเย็นย่ำค่ำมืดเกินไป

"หวังว่าคงโบกได้ก่อนบ้างนะ" พี่นะเริ่มเย้าอีกกลุ่ม

"เดี่ยวก็รู้พี่ ว่าใครจะถึงก่อน" บังแต๊ะสวนกลับทันควัน

สี่แยกคูหา หน้าร้านขายของชำเล็ก ๆ กลุ่มนักศึกษาสองกลุ่ม ซึ่งครานี้ดูเหมือนผู้ลี้ภัยกลาย ๆ กำลัง ๆ ขะมักเขม้นกับการโบกรถ สู่ที่หมาย บ้านป่าพน อำเภอทุ่งหว้า จังหวัดสตูล

"เจ้านกขมิ้นเหลืองอ่อน ค่ำนี้จะนอนไหนเอ่ย"

กลุ่มรุ่นพี่นั่งรถกระบะผ่านหน้าไปอีกแล้ว อาจด้วยเพราะประสบการณ์ที่ช่ำชองในการโบก หรือโชคช่วยก็ไม่แน่ แต่ทิ้งเรา ๖ คนไว้เบื้องหลัง บ่ายแก่ ๆ เวลานี้ ใจของเราทั้ง ๖ เริ่มระส่ำระส่าย ไม่รู้ว่าจะไปได้ถึงที่หมายหรือไม่ สัจธรรมเก่า ๆ เริ่มผุดขึ้นในจิตใจ ชีวิตมันก็ไม่แน่นอนอย่างนี้นี่เอง..

แล้วอยู่ ๆ พี่เจก็เดินนำหน้าออกไปเงียบ ๆ "ผมว่าเราลองเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ เปลี่ยนจุดโบกกันบ้างอาจจะโบกได้ก็ได้ จุดนี้อาจจะอับเกินไปมั้ง"

ทุกคนมองหน้ากัน แล้วเดินตามพี่เจไปโดยดี ไม่มีเหตุผลอะไรจะคัดค้าน เราเดินมาประมาณครึ่งกิโล ก็หยุดพักใต้ร่มไม้ แล้วพี่เจก็เริ่มยื่นมือออกไปทักทายรถที่กำลังแล่นมาด้วยความเร็ว

อย่างไม่น่าเชื่อ!! รถเริ่มชะลอ และจอด แล้วอีกครั้งที่บังแต๊ะเริ่มทำหน้าที่ของตนเอง วิ่งรี่เข้าไปเจรจาถึงจุดหมายของเราและของพี่คนขับ สายตาทั้งห้าของเราจดจ่ออยู่กับบังแต๊ะ และรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อบังแต๊ะโบกมือให้ขึ้นรถ เราทุกคนรีบหอบหิ้วสัมภาระวิ่งตัวปลิว เริ่มจินตนาการถึงจุดหมายที่ใกล้จะถึง..

ถึงปากทางเข้าป่า เราตัดสินใจพักค้างคืนที่โรงเรียนบ้านป่าพนหนึ่งคืน เพราะยามโพล้เพล้ในป่าสำหรับวันแรกนั้นอาจไม่ง่ายนัก พร้อมทั้งการสานสัมพันธ์กับคนท้องที่ก็เป็นสิ่งสำคัญ อย่างน้อยผู้ใหญ่บ้านต้องรู้ว่าเรามาทำอะไรกันในพื้นที่ ที่ยังเป็นสีชมพู เพราะรอยต่อระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยในอดีต

”ไปอาบน้ำในคลองกันมั้ยน้องเกต” พี่เจี๊ยบชวน

”ไปพี่ แต่ในคลองนั่นน่ะเสียงอะไร เสียงใครร้องเรียกอยู่ไกล ๆ แต่ก็ไม่น่าจะใช่” ฉันถาม

“อ๋อ เสียงหอยน่ะ เกตไม่เคยได้ยินเหรอ ในชนบท ตามคลองหรือหนองน้ำจะมีหอยอยู่ ค่ำ ๆ มันก็จะร้อง เราไม่เคยรู้เลยใช่มั้ยว่า หอยน่ะก็ร้องได้เหมือนกัน”

”เหรอพี่ หนูก็เพิ่งได่ยินครั้งแรกนี่แหละ”

เช้าวันรุ่งขึ้น พี่ทิดอาสาสมัครจะเป็นพรานนำทางให้เรา ด้วยว่าเป็นห่วงว่านักศึกษาหน้าละอ่อนทั้ง ๑๑ คนจะไม่ได้กลับไปเล่าเรียนศึกษาต่อจนสำเร็จ ระยะทางจากโรงเรียนถึงปากทางเข้าป่าเป็นระยะทางกว่า ๑๐ กิโลเมตร ที่เราต้องเดิน และระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่อนามัยก็ขอเข้ามาเจาะเลือด เพื่อนำไปเป็นตัวอย่าง พร้อมทั้งให้ยาป้องกันไข้มาลาเรีย ที่อาจจะยังคงระบาดอยู่ในป่าแก่เรา

"พี่..ผมไหว้ล่ะ ผมไม่เจาะเลือดได้มั้ยพี่ นะ นะ" บังแต๊ะเริ่มครวญคราง หลังจากหลบเลี่ยงการเจาะเลือดมาจนกระทั่งถึงคนสุดท้าย

"น้อง เพื่อตัวน้องเองนะ ไม่เจ็บหรอก นิดเดียว" เจ้าหน้าที่สถานีอนามัยปลอบ

"อะไร ตัวก็ออกจะโต เข็มเล็กนิดเดียวไปกลัวอะไร" พี่กุ้งแซว

" กุ้ง เล็กแต่มันเจ็บนะน้อง" บังแต๊ะสวน แต่จนแล้วจนรอด บังแต๊ะก็ถูกเจาะเลือดไปตรวจสอบจนได้

"เริ่มต้นเข้าเขตที่มีทากแล้วนะ เวลาเดินก็พยายามระวังให้ดี ช่วยดูให้เพื่อนด้วย ทากมันสามารถกระโดดเกาะเราได้ทุกที่ แม้ว่าในร่มผ้า โดยที่เราไม่รู้สึกเลย อาจมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่มันกินเลือดเราเกือบอิ่มแล้วนั่นแหละ" พี่ทิด พรานนำทางเตือน

"แล้วไม่เจ็บเหรอพี่ มันจะดูดเลือดเราหมดตัวรึเปล่า" เนตรถาม

"ไม่หรอก ไม่มีความรู้สึกเลย แต่บางคนอาจจะแพ้นะ ที่ปากของทากจะมีสารบางอย่างที่ทำให้เลือดไหลไม่หยุด หลังจากที่มันกินอิ่มแล้ว มันจะหลุดไปเอง แต่สำหรับบางคน เลือดก็จะไม่หยุดไหลเลย แต่ไม่ต้องตกใจนะ เวลาที่ทากเกาะ ก็เอายาเส้นสักกระจุกมาจับที่ตัวมัน มันจะเมา และหลุดติดออกมากับยาเส้น นี่พี่เอาเผื่อหลายห่อ" พี่ทิดอธิบาย

"กลัวมั้ยน้องเกต"พี่ยิ่งถาม

"ไม่รู้ดิพี่ หนูยังไม่เคยเห็นเลยว่าทากมันเป็นยังไง เหมือนหอยทากรึเปล่า" ฉันตอบ พี่ ๆ ส่ายหน้าในความอ่อนต่อโลกของฉัน

"เดี๋ยวก็รู้" พี่นะพูดเชิงขู่

"นั่น พี่เจ๊ยบ ทากเกาะที่ขา" พี่กุ้งร้องตะโกน "เหรอ ไหน" พี่เจี๊ยบไม่รอช้าหยิบยาเส้นตะปบไปที่ตัวทาก และหยิบออกมาอย่างง่ายดาย ประสาคนมีประสบการณ์"

"หยุดพักกันตรงนี้ก่อนนะ น้ำตกนี่กินได้ สะอาด แน่นอน หายห่วง" พี่ทิดบอก เราหยุดพักดื่มน้ำ ล้างหน้า ตามอัธยาศัย แต่แล้วเรื่องน่าตกใจก็เกิดขึ้นที่พี่เอก!!

"พี่เอก ที่ขาพี่ เลือดไหลไม่หยุดเลย!!" พี่โอ๋ตะโกน "ไหนดูซิ"

พี่ทิดรี่เข้าไปหา "สงสัยจะแพ้ ตัวทากมันหลุดไปแล้ว เอายาเส้นปิดปากแผลไว้ก่อนสักพัก" พี่ทิดเริ่มปฐมพยาบาล

"เอ้า บังเป็นอะไรไปอีกคน" พี่กุ้งตะโกน

"สงสัยจะเห็นเลือดเยอะไปหน่อย เลยเป็นลม นอกจากแพ้เข็มแล้วยังแพ้เลือดอีกนะบัง" พี่นะแซว สักครู่เลือดที่ขาพี่เอกก็หยุดไหล เราทุกคนโล่งใจ และเริ่มเดินทางต่อ

"วันนี้เราจะไปหยุดพักตรงที่คลอง เหลือระยะทางอีกไม่ไกลแล้วล่ะ"พี่ทิดอธิบายเส้นทาง

วันแรกกับการเดินป่าของฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างแปลกใหม่ และไกลตัวซะเหลือเกิน พื้นดินที่เกิดมาแทบจะไม่ได้สัมผัส ตอนนี้ก็เริ่มที่จะคุ้นเคย ตัวทาก ที่เกิดไม่เคยเห็นหรือได้ยินแม้แต่ชื่อ บัดนี้ เริ่มกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่เมื่อมันกระโดดเกาะ ฉันก็แค่หยิบมันออก

ป่า..คำนี้แต่ก่อน ดูช่างห่างไกล แต่วันนี้ ฉันจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับมัน..

"โอ๊ย พี่ หนูเป็นตะคริว" ฉันร้องตะโกน พี่ ๆ เริ่มเข้ามามุงดูอาการ

"เป็นอะไรมากมั้ย" พี่เจี๊ยบถามอย่างเป็นห่วง

"ไม่เป็นไรมากพี่ เดี๋ยวก็หาย สงสัยเดินไกลไปหน่อย พอดีหนูไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย" ฉันแก้ตัว

"ต้องป่ายปืนเยอะ แรก ๆ ไม่ชินก็อย่างนี้แหละ" พี่ทิดบอก

"พี่เดินไปก่อนก็ได้ค่ะ เดี๋ยวหนูยืดขาสักพักก็หาย"ฉันบอก

"เดี่ยวผมอยู่เป็นเพื่อนน้องเขาก็ได้" บังแต๊ะเอ่ย

"อย่านานนักนะ เดี๋ยวหลงป่า กลายเป็นพระเอกนางเอกในหนัง แล้วจะยุ่ง" พี่นะแซว

"ไม่ไกลแล้วล่ะ อีกสักกิโลก็จะถึงแล้ว" พี่ทิดบอก สิบนาทีต่อมา ฉันก็เริ่มเดินต่อได้ เจ็บใจตัวเองที่อ่อนแออยู่คนเดียวในกลุ่ม กลายเป็นภาระให้พี่ ๆ นี่แหละหนาเด็กน้อยในเมืองใหญ่..

"ตรงนี้ยากหน่อยนะ แอ่งมันกว้าง ใช้ไม้ค้ำถ่อข้ามไปตรงระยะใกล้ที่สุดระหว่างโขดหิน ระวังด้วยหินมันลื่น" พี่ทิดอธิบาย

"ไหวมั้ยน้องเกต"พี่เอกถาม ฉันเริ่มรู้สึกแย่อีกครั้ง ที่พี่ ๆ ต้องคอยเป็นห่วง

"ไหวพี่" ฉันตอบอย่างมั่นใจเต็มที่ ผ่านแอ่งน้ำแอ่งใหญ่สุดท้ายเราก็ถึงที่พักสำหรับคืนแรก

"เอาล่ะ พักกันตรงนี้แหละ"พี่ทิดบอก

"โห แอ่งน้ำใหญ่ สวยจังพี่" พี่เอ็นพูด

"ใช่ มีหาดทรายเหมือนอยู่ชายทะเล ไม่น่าเชื่อว่าจะมีที่แบบนี้ในป่าลึกขนาดนี้" พี่กุ้งเสริม

(อ่านต่อฉบับหน้า)

หมายเลขบันทึก: 257531เขียนเมื่อ 26 เมษายน 2009 20:23 น. ()แก้ไขเมื่อ 14 กันยายน 2020 11:28 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท