ชอบความเห็นของคุณพี่ภูสุภา ขอยกมาอีกครั้งนะคะ
ช่วงวันหยุดสงกรานต์ บ้านเมืองไม่ค่อยสงบสุข เพิ่งนั่งฟังข่าวลุ้นระทึกเหตุการณ์บ้านเมืองไปเมื่อสักครู่นี้เองก็พยายามสังเกตตัวเองเหมือนกันว่า “ใจ” เป็นอย่างไรบ้าง
สั่นไหว สะเทือนใจ ว้าวุ่น อึดอัด คับข้องใจ ฟุ้งซ่าน รำคาญ หงุดหงิด เบื่อหน่าย เวียนศรีษะ เมื่อยล้า หดหู่ เศร้าหมอง ลำพอง แฟ่บ ฟู ตื่นเต้น ผิดหวัง โกรธ โมโห ไม่พอใจ เสียดาย วิตกกังวล กลัว….โอ้โห อารมณ์ที่เป็นทุกข์เยอะนะ
สภาวะอารมณ์ใดที่เกิดขึ้นที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด และอื่น ๆ อีกมากมาย เชื่อว่าปุถุชนต่างก็ประสบกันมาแล้ว มากบ้าง น้อยบ้าง บ่อย หรือนาน ๆ ครั้ง ตัวเราเองก็สังเกตเห็นว่ามันเวียนมาแล้ว แว่บ ๆ จากนั้นก็หายไป มาเยี่ยมชั่วคราวเอง ไปซะแล้ว … ณ ตอนนี้ (ขณะเขียน) รู้สึกอารมณ์นิ่งสงบไม่ไหวติง จนเกือบไม่แน่ใจว่ายังมีลมหายใจอยู่หรือเปล่า ดูมันเฉื่อย เรื่อย ๆ พิกล…ความอุเบกขากับความเย็นชา ในบางครั้ง เกือบแยกกันไม่ออก แต่เชื่อว่าผู้ที่เข้าใจสภาวะธรรมตามความเป็นจริงจะสัมผัสได้
ณ ตอนนี้เกิดความรู้สึกอยากลงมือเขียนเรื่องราวของอารมณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อสำรวจตนเอง…ตอนนี้ ค้นพบว่ายังอยู่ในสภาพปกติสุขดี …ใช้ได้ … มิใช่อะไรหรอก Soulmate แสนดีเคยแนะนำว่ายามที่อารมณ์ไม่ปกติให้อยู่กับตัวเอง เฝ้าดูจิต ดูมันเกิด อยู่ และดับไปก่อน จนมันสู่สภาวะปกติแล้ว จึงค่อยเขียนอะไรจะดีกว่า เคล็ดลับนี้ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด เพราะอาจสวนกระแสสำหรับบางท่านที่มองว่าการเขียนอะไรไปขณะไม่สบายใจ จะช่วยในการปลดปล่อยทางอารมณ์ ซึ่งเราเองก็เคยคิดเช่นนั้น แต่หลังจากได้ฟังแนวคิดของ Soulmate แล้วและมาลองปฏิบัติดู สังเกตเห็นว่า…
ตอนที่อารมณ์ไม่ปกติ แกว่งไกวไปมา การเฝ้าดูมัน..จนมันดับ …รู้สึกว่าเป็นการฝึกภาวนาให้มองเห็นสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง เมื่อคืนสู่สภาวะของการมีศีล ในที่นี่หมายถึงการคืนสู่ความร่มเย็นเป็นไปตามปกติแล้วจึงค่อยเขียนออกมา จะรู้สึกว่าเขียนได้อย่างมีพลังสัมพันธ์ระหว่างใจ สมองและการแสดงออกอย่างสมดุลกลมกลืน...สงบสุข
แต่ละวิธีการจึงแล้วแต่แต่ละท่านจะถนัด และเลือกใช้ให้เหมาะสมกับตนเอง
ภาระหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำในช่วงวันหยุดสงกรานต์ คือการเตรียมตัวเป็นวิทยากรในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ แม้ใจหนึ่งจะสร้างจินตภาพล่วงหน้าไปแล้วว่ากิจกรรมยังคงมีอยู่หรือไม่ในเมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองยังเป็นเช่นนี้อยู่ หลาย ๆ งานในองค์กรทะยอยยกเลิกไปบ้างแล้ว …
แต่อีกใจหนึ่งก็มีความเชื่อของตนเองว่ากิจกรรมจะเกิดหรือไม่ไม่เกี่ยวค่ะ…เราเตรียมตัวอยู่เสมอ เพราะหัวใจของการเป็นวิทยากรคือการสะสมความรู้และฝึกฝนปฏิบัติตนให้มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา จับไมค์เมื่อไหร่ พูดได้ทันที…อย่างกับนักร้อง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ก็เพิ่งโดนส่งไมค์มาให้โดยที่ยังไม่ได้เตรียมตัว ทำเอางงไป 5 วินาที แต่ก็มีสติดึงใจมาสู่ปัจจุบันให้พูดตามที่คิด ณ บัดดล “พลังแห่งสติ ณ ปัจจุบัน” มันเป็นเช่นนี้เอง
จากนั้น ก็พูดจ้อไม่หยุด (ภายในเวลาที่ท่านให้แค่ 2-3 นาทีเอง) แถมเรายังโยนลูกกลับไป ให้ผู้ดำเนินรายการเป็นฝ่ายตอบบ้าง… จนท่านผู้ดำเนินรายการเป็นฝ่ายงงเอง (หากท่านมาอ่านเจอบันทึกนี้ ขอบอกว่าตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจจะให้งงนะคะ และไม่ได้ล้อเล่น แต่อยากให้ท่านผู้ชมเห็นว่าเราเข้าขากันได้ดี อิอิ วิทยากรคู่ขวัญไงล่ะ อ่านแล้วอมยิ้มด้วยนะ)
ถามตัวเองว่า “จะเตรียมตัวบรรยาย” อะไร และอย่างไรบ้าง … คำตอบที่ได้จากตัวเองคือว่าฟังธรรมบรรยายให้มาก ๆ เข้าไว้…จริงๆ ตัวเรารู้ว่า ไม่ได้เป็นวิทยากรบรรยายหลักธรรมหรอกนะ และแม้ว่าธรรมะที่ฟังจะไม่ค่อยเกี่ยวกับเนื้อหาที่นำเสนอในวันงานกิจกรรมเท่าไหร่ แต่ก็มีความเชื่อมั่นว่าหาก “มองเห็นธรรม” แล้ว ก็จะสามารถดึงความรู้ประสบการณ์ที่มีอยู่ออกมาให้ปรากฎ เป็นธรรมชาติ ธรรมดา ให้คนฟังเข้าถึงเนื้อหาได้ง่าย เข้าใจในแนวปฏิบัติมากกว่าเห็นตัวหนังสือลอยออกมาจากตำรา
การเตรียมตัวของตัวเองก่อนถึงวันจริงคือการเตรียมความพร้อมของจิตให้เข้าถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน
หลังจาก “วันกิจกรรม” ผ่านไป จะกลับมาอ่านบันทึกการสังเกตตนเองนี้ใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาจิตของตนเองต่อไป
สุดท้ายนี้ ปรารถนาเป็นอย่างยิ่งให้ทุกท่านบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
มีพลัง มีกำลังใจในการใช้ชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน
-------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ
เจริญพร โยมศิลา
อาตมาขอนำกลอนดอกสร้อยท่านพุทธทาส
ความเอ๋ยความทุกข์โศก
ของมีค่าคู่โลกอย่าสงสัย
ยังหลงมัวตัวตนอยู่กลใด
เป็นต้องได้โศกแน่แม้แต่ลอง
ทุกสิ่งสรรพเกิดดับอยู่ตามธรรม
ใจเจ้ากรรมเข้ารับเอาเป็นเจ้าของ
ต้องพลอยเข็ญพลอยขุกทุกทำนอง
แล้วแต่ของของตนเป็นเช่นไรเอย.
เจริญพร
สุขสันต์วันสงกรานต์ค่ะพี่ศิลา
อิอิ นกจากจะอยู่กับตัวเองแล้ว
ให้กออยู่ด้วยได้มั้ย
อิอิ มาแล้ว มาแล้ว
แล้วพี่ศิลาไม่สนใจเป็นคณิตยากร อังกฤษยากร
ไม่สนใจบ้างเหรอค่ะ
ไม่เป็นไร เป็นวิทยากรก็ดีแล้วค่ะ
สงสัยพี่ศิลาจะเก่งวิทย์น่ะค่ะ
ช่วงนี้เพื่อน ๆ เค้าเขียนเรื่องการเมืองกันทั้งนั้นเลย
แหะแหะ ไม่เหมือนกอ ตอนนั้นเขียนก่อนเลยโดนลบ
ก็เล่นใส่ภาพใส่เสียงด้วย อิอิ ก็เลยโดน
หลังจากวันนั้น กอก็เลยไม่เคยเขียนเลยค่ะ
แม้ว่าสถานการณ์จะไปในทางใด
กอก็ไม่ได้เป็นวิทยากรอยู่ดีน่ะค่ะ
อิอิ พี่ศิลาสู้ ๆ น่ะค่ะ
นั่นแน่ ยิ้มอยู่ได้
ว่าแล้วยังยิ้มอยู่อีก
อะไรกัน นี่ไม่ได้ยิ้มเหรอเนี๊ยะ
ทำไมไม่ยิ้ม ทำไมไม่ยิ้ม
เดี๋ยวกอตดใส่ส่ะเลย
ปู้ดดดดดดดดดดดด
ป้าดดดดดดดดดดดดดด
แป้ดดดดดดดดดดดดด
ไม่ยิ้มก็รีบเอามือปิดหูส่ะน่ะ
เสียงดังมาก ๆ
แต่ไม่ต้องปิดจมูกน่ะค่ะ
ไม่ตดนี้ไร้กลิ่นไร้เงา เหมือนเดิมเลย
อิอิ
ไปแย้วววววววววววว
โชคดีมีความสุขน่ะค่ะ
แวะมาอ่านข้อมูลดีดีที่มีประโยชน์สามารถนำไปปฏิบัติได้จริงๆด้วย
ขอบคุณนะคะ..จะตั้งใจอ่านอีกรอบ..
รูปสวยเข้ากับเรื่องดีค่ะ
เห็นด้วยค่ะถ้าเราพูดออกมาจากตัวตนของเรา
ขอให้โชคดีนะคะ
เป็นวันที่เหนื่อยกายเหนื่อยใจมากคะ
พี่คล้าย ๆ คุณศิลาอยู่บ้าง..ในบันทึกนี้
คือหลังจาก "ตัวคิด" ทำงานของมันตามอัตโนมัติ นอกเหนืออำนาจการควบคุมของจิตใจ (ราวกับระบบประสาทอัตโนมัติ)ไปสักพัก
พี่จะค่อย ๆ ถอนตัว ถอยออกมาจาก "ตัวคิด"นั้น...แล้วเฝ้าดู เขา จนกว่าเขาไป
บางเรื่องเขาก็ไปได้เร็ว เหมือนเราตามทัน"รู้" เขา
บางเรื่องก็ช้า
เคยคิดว่า ขึ้นกับเรื่องที่มากระทบนั้น กระทบโดยตรงกับเรา หรือ ข้าง ๆ เมื่อฝึกมาสักพัก พี่ว่าเวลาที่เราถอนตัว หรือถอยออกมาเป็นผู้ดู "ตัวคิด"นั้น ได้ช้า/เร็ว ขึ้นกับ การปรุงแต่งของเรานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าต้องทำงานต่อ หรือเป็นวิทยากร เรามีความจำเป็นต้อง"มีสติ" กลับมาที่ปัจจุบัน
พี่ใช้วิธีแบบของพี่ ค่ะ..สวดมนต์ในใจและหรือกำหนดตามลมหายใจเข้าออก ค่ะ
ได้ผลสำหรับพี่ดี
แต่กว่าจะได้แค่นี้ต้องฝึก ต้องผ่านอะไร อะไร (เน้น,เช่น..ไม่ได้ผล)มามากพอสมควรค่ะ;P
เก่งมากครับ อ.ศิลา
ต้องเรียนรู้จากอาจารย์บ้างครับ
นอกจากอยู่กับตัวเองแล้ว...น้องกอก็อยู่ด้วยได้ซิคะ...การที่พี่ศิลาตอบน้องกอก้านอยู่ก็คือการอยู่กับน้องกอก้านค่ะ ...งงล่ะซิท่า ดี ๆๆๆ ชอบ
เป็นวิทยากรดีแล้วค่ะ ไม่อยากเป็นอย่างอื่นอีก เพิ่มงานมากไป เกรงว่าจะทำไม่ได้ดี อิอิ
"ช่วงนี้เพื่อน ๆ เค้าเขียนเรื่องการเมืองกันทั้งนั้นเลย
แหะแหะ ไม่เหมือนกอ ตอนนั้นเขียนก่อนเลยโดนลบ
ก็เล่นใส่ภาพใส่เสียงด้วย อิอิ ก็เลยโดน
หลังจากวันนั้น กอก็เลยไม่เคยเขียนเลยค่ะ
แม้ว่าสถานการณ์จะไปในทางใด
กอก็ไม่ได้เป็นวิทยากรอยู่ดีน่ะค่ะ"
พี่ศิลาเขียนเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองจากภายในตัวเอง เพื่อการสังเกตอารมณ์ตัวเองเท่านั้นค่ะ ...และขอกล่าวสั้น ๆ ว่ามองเห็นภายในตัวเองสุขสงบดีแล้ว...พอแล้ว ไม่ขอข้องเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อ ความจริงใด ๆ ...ไม่รู้ ไม่มี อิอิอิ ไม่ใช่เรื่องความเป็นกลาง หรือเรื่องความยึดถือข้างใด ...เป็นอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่มี ...ซะงั้น
พี่ศิลายิ้มเสมอค่ะ ไม่ใช่ยิ้มสู้...แต่ยิ้มเฉย ๆ ซื่อ ๆ เนี่ยแหละ...คิดอะไรไม่ได้ คิดไม่ออก ก็ยิ้มไปเรื่อย ๆ ....
ไม่ต้องมาทำเสียงดังขู่หรอกนะ ไม่กลัวหรอก เพราะพอตอบเม้นท์น้องกอเสร็จ ก็จะเผ่นไปทำอย่างอื่นต่อแล้วจ้าาาาา กัว ๆๆ
สวัสดี ครับ คุณ sila
พลุ ที่ชลบุรี สวย นะครับ
ขอบคุณมาก ครับ
พลุ จริง ๆ
ขอบคุณ มาก ครับ ชอบมาก ครับ
วันนี้ มีเวลา จึงทำให้ เห็นสิ่งสวยงาม บ้าง(ในเวลาที่คนหลาย ๆ คนไม่เห็น)
สวัสดีค่ะพี่ศิลา
มาดูความสงบ และตามดูจิตพี่ศิลาค่ะ
และมาเป็นกำลังใจให้วิทยากรด้วยค่ะ
มั่นใจ รู้สติ เชื่อมั่น เมื่อนั้นจงทำ ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเคยบอกไว้ แต่ก็ใช้ได้ผลดีมากเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ
สวัสดีค่ะ
* แวะมาอ่านข้อแนะนำดีๆ ค่ะ
* เผื่อจะเป็นวิทยากรบ้าง...ตอนนี้เป็นไทยกร(เลียนแบบก้านกอค่ะ)
* ยังไงอย่าให้เป็นไทยกอเลยนะคะ อิอิ
* สุขสันต์วันครอบครัวค่ะ
ชอบงานเขียนของพี่ศิลาจัง คนอะไรเขียนได้น่าอ่านชะมัด
ชอบความเห็นของคุณพี่ภูสุภา ขอยกมาอีกครั้งนะคะ
พี่คล้าย ๆ คุณศิลาอยู่บ้าง..ในบันทึก นี้
คือหลังจาก "ตัวคิด" ทำงานของมันตามอัตโนมัติ นอกเหนืออำนาจการควบคุมของจิตใจ (ราวกับระบบประสาทอัตโนมัติ)ไปสักพัก
พี่จะค่อย ๆ ถอนตัว ถอยออกมาจาก "ตัวคิด"นั้น...แล้วเฝ้าดู เขา จนกว่าเขาไป
บางเรื่องเขาก็ไปได้เร็ว เหมือนเราตามทัน"รู้" เขา
บางเรื่องก็ช้า
เคยคิดว่า ขึ้นกับเรื่องที่มากระทบนั้น กระทบโดยตรงกับเรา หรือ ข้าง ๆ เมื่อฝึกมาสักพัก พี่ว่าเวลาที่เราถอนตัว หรือถอยออกมาเป็นผู้ดู "ตัวคิด"นั้น ได้ช้า/เร็ว ขึ้นกับ การปรุงแต่งของเรานั่นเอง
เพราะฉะนั้น ถ้าต้องทำงานต่อ หรือเป็นวิทยากร เรามีความจำเป็นต้อง"มีสติ" กลับมาที่ปัจจุบัน
พี่ใช้วิธีแบบของพี่ ค่ะ..สวดมนต์ในใจและหรือกำหนดตามลมหายใจเข้าออก ค่ะ
ได้ผลสำหรับพี่ดี แต่กว่าจะได้แค่นี้ต้องฝึก ต้องผ่านอะไร อะไร (เน้น,เช่น..ไม่ได้ผล)มามากพอสมควรค่ะ;P
ขอบพระคุุณค่ะ เป็นการถ่ายทอดปัญญาปฏฺิบัติที่มีคุณค่าอย่างมากค่ะ
พี่ชาย ชยพร แอคะรัจน์
สวัสดีค่ะคุณศิลา
มาทักทายด้วยความระลึกถึงเช่นกัน....2-3 วันก่อน ยุ่งใจ จึงไม่ได้เข้ามาทักทายค่ะ ตอนนี้สบายใจแล้ว
ยามใดที่มีเรื่องไม่สบายใจ คนไม่มีรากจะเขียนไดอารี่ส่วนตัวค่ะ เช่นเดียวกับถ้ารู้สึกมีความสุข ประสบกับสิ่งดี ๆ ก็จะบันทึกเช่นกัน ...
ส่วนการเขียนบันทึก...จะเขียนเมื่อ เฝ้าดูจิต...ผ่านไประยะหนึ่งแล้ว บางเรื่องก็เขียนเมื่อได้ "ตะกอน" แล้ว บางเรื่อง ก็ได้คำตอบในระดับหนึ่ง แต่มาอ่านและซึมซับจาก กัลยาณมิตรใน G2K ด้วย
แต่... โดยส่วนตัวแล้ว จะไม่ชอบใช้ การเขียนบันทึกใน G2K เป็น "ที่ระบายอารมณ์" หรือ ประชดประช้นเสียดสีใคร สิ่งใด ค่ะ เพราะรู้สึกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติแก่ผู้ที่อุตส่าห์สละเวลามาอ่านบันทึกเรา และยังไม่ให้เกียรติตัวเองอีกด้วย...
ค่อนข้างเห็นด้วยกับคุณศิลาค่ะ ที่ว่า...การเตรียมความพร้อมของจิตให้เข้าถึงสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบัน คงเหมือนกับการ จดจ่อ อยู่กับ การเป็นวิทยากร นั่นเองใช่ไหมคะ เพราะในขณะที่ทำสิ่งใด หากเรามุ่งมั่น จดจ่อ มีสมาธิกับสิ่งนั้นแล้ว ย่อมประสบความสำเร็จไปแล้วเกินครึ่ง อีกครึ่งหนึ่งคงขึ้นกับ เนื้อหา ผู้ฟัง สถานที่ โอกาส ... และอื่น ๆ
ส่งกำลังใจให้เป็น วิทยากรที่ดี ได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผุ้อื่นได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพนะคะ
(^___^)
สวัสดีวันครอบครัวค่ะ