วิกรม กรมดิษฐ์: ผมจะเป็นคนดี


ผมจะเป็นคนดี

หากถามถึงชื่อ วิกรม กรมดิษฐ์ กับผมสักเดือนก่อน ผมก็คงจะตอบว่าก็ไม่มีอะไรมากไปกว่านักธุรกิจใหญ่คนหนึ่งที่เพิ่งจะค้นพบตนเองว่าต้องการอะไรมากที่สุดในชีวิต แล้วก็ผันตัวเองออกจากแวดวงเดิมเพื่อไปเป็นคนที่ตนเองต้องการเป็น

ต้องการเป็นคนที่สังคมยอมรับในความรอบรู้สิ่งไดสิ่งหนึ่ง ต้องการศึกษาความจริงของโลกนี้อีกหลายๆแง่ที่ไม่เคยสนใจมาก่อน ต้องการถ่ายทอดสิ่งที่รู้เห็นออกไปแก่คนหมู่มาก เพื่อกลับมาเป็นการยอมรับตัวตนที่ต้องการให้เป็น

ผมจะบอกกับคนที่คุยประเด็นนี้กับผมเสมอว่า เขามัวแต่ไปเสียเวลาอย่างที่หลายๆคนเสียเวลากับการแสวงหาความมั่งคั่ง โดยที่นึกไม่ออกว่าจะเอาไปทำอะไร รู้แต่ว่าหาเงินก่อน แล้วค่อยให้เงินนั้นรับผิดชอบส่วนที่เหลือ

และมาพบในภายหลังว่า เงินไม่สามารถรับผิดชอบอะไรได้เลย แท้จริงแล้วเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะค้นหาตนเองให้เจอว่าอยากได้อะไร อะไรที่มีความหมายที่สุดในชีวิต

คนตอบนี้อาจเกิดขึ้นกับคนบางคนแม้ในปฐมวัยเหมือนอย่างเช่นครูบาอาจารย์หลายท่าน

และบางคนไม่ได้พบคำตอบนี้เลยจนลมหายใจสุดท้าย กับความพยายามสุดฤทธิ์ที่จะยื้อชีวิตที่ยังไม่รู้ฝั่งฝัน

คนที่เป็นผู้นำทางความคิด เชี่ยวชาญเรื่องไดเรื่องหนึ่งจนเป็นผู้นำ ไม่ต้องใช้เวลาจนล่วงเลยไปจนกลางคน หากเขาค้นพบตัวเองได้เร็ว มีอยู่จำนวนมากที่อายุน้อยกว่าผมด้วยซ้ำ

สำหรับผม คุณวิกรมมาถึงจุดนี้ช้ากว่าคนอีกหลายคน แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่สูญเปล่า อย่างน้อยเขาก็มาถึง แม้เรื่องบางเรื่องที่เขาสนใจอาจจะใหม่เกินไปสำหรับเขาที่ต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานแต่กลับยากที่จะได้ขึ้นเป็นผู้นำในความรู้ด้านนั้น

ความจริงเขามีจุดแข็งของเขาอยู่แล้ว ด้วยประสบการณ์มากมายในธุรกิจที่เขาผ่านมา


จนวันหนึ่งผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันมา เราคุยกันเรื่องงานที่แต่ละคนกำลังทำอยู่ เขาเสนองานกลุ่มหนึ่ง บอกว่าหากผมสนใจก็มานั่งคุยกัน

เสร็จจากงานในวันนั้นผมลองค้นหาชื่อของเพื่อนผมคนนั้นด้วย Google เพราะแน่ใจว่าการเข้าไปมีส่วนในธุรกิจใหญ่ของเพื่อนผมคนนี้ย่อมต้องเป็นข่าวแน่ และก็เป็นไปตามนั้น ชื่อของเพื่อนผมปรากฏในข่าวธุรกิจเมื่อไม่นานมานี้ เป็นข่าวสำคัญของการซื้อขายกิจการในตลาดหลักทรัพย์ และเพื่อนผมก็ได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของธุรกิจใหญ่ในเวลาต่อมาจนถึงตอนนี้

เขาอยู่ในฐานะที่จะมอบหมายงานอะไรให้ผมก็ได้ หากเขาเห็นว่าผมทำหน้าที่นั้นได้ และผมต้องการทำ โอกาสทองของความก้าวหน้าที่เพื่อนผมคนนี้มีน้ำใจเสนอให้

แต่ผมรู้ว่าผมไม่สามารถทำงานกับเพื่อนผมคนนี้ได้แน่ ด้วยงานแบบนั้นจะเปลี่ยนแปลงแนวทางการดำรงชีวิตผมไปอย่างมากมายเท่าๆกับโอกาสในการก้าวหน้าในธุรกิจที่เขาเสนอให้ด้วยเจตนาดี

ผมคงไม่สามารถจะมีความสุขกับชีวิตแบบนั้นได้ ชีวิตที่ศีลห้าข้อดูจะเกินความจำเป็น โดยเฉพาะข้อมุสา ที่ดูเหมือนเป็นกิจกรรมที่จำเป็นอย่างยิ่งในวิถีชีวิตแบบนั้น หากผมเป็นอย่างที่ผมเป็น ก็รังแต่จะเป็นภาระ ขัดขวางโอกาสอีกมากมาย


ผมได้ตระหนักเดี๋ยวนั้นเองว่า ผมอยู่ใกล้กับวิถีชีวิตที่ต่างกันสุดขีดทั้งสองแบบแค่ไหน และสำหรับนักธุรกิจใหญ่แล้ว ความคิดของผมดูไร้เดียงสา กับกรอบอันคับแคบแลกกับสิ่งที่ดูเลื่อนลอย ขณะที่ความสำเร็จมหาศาลอย่างเป็นรูปธรรมรออยู่แค่เอื้อม

มันไม่ใช่ความลังเล แต่เป็นความกระหายจะเข้าไปรับรู้สิ่งที่หลายๆคนอยากรู้ โอกาสทองที่ผมรู้ดีว่ามันเป็นเพียงเวลาที่ผมจะต้องเสียไปเพื่อกลับมาหาวิถีเดิมในที่สุด


ผมจะไปทำไมล่ะถ้าอย่างนั้น

แต่มันก็ท้าทาย


แล้วก็มีบางอย่างที่สะกิดใจผม ผมนึกถึงนักธุรกิจใหญ่คนนั้น วิกรม กรมดิษฐ์ คนที่ต้องผ่านเรื่องราวทำนองนี้มาอย่างถึงแก่น ผมนึกถึงชื่อหนังสือของเขา "ผมจะเป็นคนดี"

ชื่อนี้ฟังดูง่ายๆจนเหมือนไม่มีอะไร แต่สิ่งที่ผมนึกถึงเกี่ยวกับเรื่องราวที่ได้เกิดขึ้นในสังคมของนักธุรกิจ ทำให้ผมรู้สึกถึงบางอย่างที่ทำให้ชื่อง่ายๆนี้เปล่งพลัง

มีบางสิ่งบางอย่างที่เหวี่ยงให้คนคนนี้เขียนหนังสือเล่มนี้ออกมา รวมทั้งทำให้เขาพิจารณาชีวิตของเขาใหม่ทั้งชีวิตอย่างที่เห็นๆอยู่ บางสิ่งบางอย่างที่สำคัญมาก

บางสิ่งบางอย่างที่เขาผ่านมาแล้ว ในขณะที่ผมกำลังจะเดินสวนเข้าไป ทั้งๆที่บอกกับตัวเองมาก่อนว่า เรามาถึงพื้นที่นี้ก่อนเขาแล้ว จะย้อนไปทำไม

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่ง SMS ถึงแฟน บอกเขาว่าหากผ่านร้านหนังสือช่วยหยิบหนังสือเล่มนี้มาฝากผมด้วย


ผมได้อ่านหนังสือเล่มนี้หลังจากเปิดตัวมาแล้ว 5 ปี เนื้อหาสาระที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้ก็เช่นเดียวกับชีวประวัติของบุคคลที่ประสบความสำเร็จในชีวิตหลายท่าน ที่ไม่ได้เกิดมากับความพร้อมพรั่ง หากแต่มีขีดจำกัดมากมายชนิดที่หากไม่ใช่คนที่ไฝ่ดีจริงๆแล้วก็คงจะเป็นภาระของสังคมต่อไป แต่ด้วยความไฝ่ดีและความไฝ่ฝันที่จะผลักดันชีวิตท้าทายขีดจำกัดเหล่านั้นออกไปด้วยความวิริยะอุตสาหะ ความไฝ่รู้ ความเด็ดขาดกล้าหาญในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ทุกคนที่ปรารถนาความสำเร็จในชีวิตจะต้องมี หนังสือเรียบเรียงเนื้อเรื่องได้น่าอ่านจนผมเชื่อว่าสามารถอ่านให้หมดทั้ง เล่มด้วยการอ่านรวดเดียวหากมีเวลาที่ต่อเนื่องพอ

ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจครับ เพราะคนที่เรียบเรียงเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้คือ ประภัสสร เสวิกุล นักเขียนรางวัลซีไรต์ หากเรานึกถึงเรื่อง ชี้ค จะนึกออกเลยครับว่าแนวทางการเขียนของประภัสสรนั้นเหมาะกับการเขียนชีวประวัติ การสื่อที่เหมือนกับว่าตัวตนของประภัสสรหายไป เป็นตัวตนของผู้ที่เขาต้องการจะสื่อแทนออกมา

ต้องบอกว่านี่เป็นทักษะของคุณวิกรมด้วย ที่สามารถเลือกคนที่เหมาะสมกับงานเป็นอย่างยิ่ง


แต่ชีวิตคนจริงๆนั้นซับซ้อนหลากแง่หลายมุม แม้ในภาพเดียวกันที่มองเห็น ช่วงเวลาของชีวิตช่วงหนึ่งก็อาจมองและเสนอไปได้หลายมุม โดยเฉพาะชีวิตของคนที่กล้าเสี่ยง กล้าทำ ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าอย่างวิกรม กรมดิษฐ์ ซึ่งผมเชื่อว่าในด้านกว้างไม่ได้ต่างจากชีวิตของนักสู้หลายๆท่าน เพียงแต่เรายังไม่มีโอกาสได้อ่านเรื่องราวของท่านเหล่านั้น

หากเราสังเกตจะพบว่าในช่วงเวลาที่คุณวิกรมต้องทำงานหนัก ตั้งแต่ช่วงที่อยู่กับครอบครัว, ช่วงที่ไปเรียนต่างประเทศ, ช่วงที่กลับมาสร้างธุรกิจของตัวเอง แม้เนื้อเรื่องจะกล่าวถึงเงินทองที่ต้องใช้อย่างระมัดระวัง แต่เราก็จะได้เห็นภาพของครอบครัวคหบดีที่มีเครื่องมือดีๆในการทำการค้า ได้เห็นเครื่องใช้อย่างรถยนต์, บ้านหลังใหญ่ที่มีพื้นที่พอสำหรับสัตว์เลี้ยงมากมาย หรือแม้แต่ภาพหนุ่มสาวที่มีสนใจงานอดิเรกที่ท้าทายอย่างการบิน

ผมยังจำได้เมื่อสิบกว่าปีก่อนที่ผมไปธุระที่อาคารกรมดิษฐ์บ่อยๆ ผมสังเกตเห็นว่า อาคารนี้มีลักษณะพิเศษที่ มีกวางเดินอยู่ที่ลานจอดรถครับ

สิ่งนี้ไม่ใช้การแสดงถึงความหรูหราอย่างที่ละครหลังข่าวมองเพียงด้านนั้น แต่ผมมองเห็นแรงผลักดัน เห็นเป้าหมายของชีวิตแต่ละช่วง เห็นการให้รางวัลกับตัวเอง การจัดการเวลาอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้สำเร็จทั้งการงาน และการศึกษาหาความรู้ในสิ่งที่ตนเองไฝ่ฝันอยากทำอยากเป็น


ผมเชื่อว่าคุณวิกรมยังมีแง่มุมอีกมากมายไม่ว่าจะด้านการจัดการเวลาและกิจกรรมของชีวิต นอกเหนือไปจากการตลาด การลงทุน ซึ่งคุณวิกรมมีทั้งทักษะและประสบการณ์ และความสำเร็จ

เหตุการณ์หนึ่งที่ผมได้เห็นความเป็นคนมีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง คนที่ใช้เวลาอย่างมีคุณภาพอย่างยิ่งของ คุณวิกรมก็คือ งานวันคล้ายวันเกิดครบ 50 ปี ที่ใช้เปิดตัวหนังสือเล่มนี้เมื่อ 5 ปีก่อน หลังจากงานนั้นคุณวิกรมก็เดินทางจากโรงแรมย่านถนนวิทยุไปฝั่งธนบุรีเพื่อบรรพชาอุปสมบทตอนเที่ยงคืนของวันนั้น และจากนั้นก็ร่วมจาริกเดินป่าไปกับอาจารย์ระหว่างที่บวชนานประมาณ 3 สัปดาห์


ในเรื่อง คุณวิกรมบอกว่าเป็นการบวชอย่างเรียบง่าย ซึ่งก็คงเรียบง่ายในความเห็นของคุณวิกรมคือไม่ต้องมีขบวนแห่อะไรมากมาย ไม่ใช้เวลาเยิ่นเย้อ ในคืนเดียวคุณวิกรมสามารถทำเรื่องสำคัญๆของชีวิตไปได้หลายเรื่อง


แต่ในอีกแง่หนึ่ง การบวชตอนเที่ยงคืนนั้นออกจะเป็นเรื่องวุ่นวายไม่ใช่น้อย แต่วิถีคนเมืองอย่างคุณวิกรมคงไม่คาดหวังความเรียบง่ายที่สามารถรอให้ อาจารย์สะดวกจึงขอบวช ห่มผ้าขาวนานนับปีก่อนจะขอบวช หรือศึกษาพระธรรมวินัยจนรักษาตัวได้ดีก่อนจะเดินธุดงค์อย่างพระป่าถือ ปฏิบัติ

ก็เป็นความเรียบง่ายอย่างที่เหมาะสมกับฐานะของคุณวิกรมครับ จะให้คุณวิกรมมาเรียบง่ายสุดๆคงอึดอัดแย่


หากจะบอกถึงจุดที่ผมยังเห็นว่าคุณวิกรมยังสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่านี้ ถ่ายทอดออกมาอย่างคนที่เป็นผู้ใหญ่ ผ่านชีวิตมารอบด้านเนิ่นนานพอที่จะเห็นสิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมดา จุดพวกนั้นก็คือสิ่งที่คุณวิกรมสื่อถืงผู้ใหญ่ที่ใกล้ชิดคุณวิกรม โดยเฉพาะพ่อ


ต้องบอกตามตรงว่าหนังสือเล่มนี้เหมือนจะนำเอาพ่อมาเป็นเหยื่อ ภาพของพ่อที่แทบไม่เหลือความดี ทั้งๆที่คุณวิกรมอยู่ในฐานะที่จะเข้าใจในตัวตนของพ่อ เหตุที่พ่อมีความเป็นไปเช่นนั้น

พ่อเป็นผู้ชายมากความสามารถที่ทำงานหนัก เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่กลับรู้สึกเหมือนคนรอบข้างไม่เคยสนใจ ไม่มีใครเข้าใจ ความเหงาเมื่อพักผ่อนจากงานหนัก ความรู้สึกแสวงหาคนเอาใจใส่ ที่ทำให้แสดงออกมาให้เห็นเป็นคนเจ้าชู้

คุณวิกรมอยู่ในฐานะที่จะสื่อถึงพ่อได้อย่างเข้าใจกว่านี้ เพราะเหมือนกับว่าคุณวิกรมได้รับเอาสิ่งเหล่านั้นมาจากพ่อแทบจะพิมพ์เดียวกัน ไม่ว่าจะความเป็นคนจริง เลือดร้อน เอาการเอางาน มีเสน่ห์และความเป็นผู้นำที่ดึงดูดคนรอบข้าง ยกเว้นเพียงคุณวิกรมหลีกเลี่ยงที่จะมีทายาทที่จะต้องมาพบกับความรุนแรงของชีวิตที่คุณวิกรมไม่ต้องการให้ได้พบเห็น

ความรุนแรงของคนเอาจริงเอาจัง ผู้ชายที่ทุ่มเทกับงานจนละเลยจะใส่ใจกับหญิงสาวที่ตนเองรัก หญิงสาวที่คล้ายๆกันทุกคนที่คาดหวังว่าจะได้รับความเอาใจใส่ ได้รับเวลาว่างจากชายอันเป็นทีรักเช่นเดียวกับวันที่พบกันใหม่ๆ

แต่ผู้ชายอย่างคุณวิกรมเห็นว่าภารกิจนี้สมบูรณ์แล้วและก้าวต่อไปกับภารกิจใหม่

และในที่สุดก็นำไปสู่จุดจบของชีวิตคู่ ชีวิตคู่ที่ต่างฝ่ายต่างเลือกที่จะแยกกันออกไปมากกว่าจะอดทนจองเวรจองกรรมกัน


ผมเชื่อว่า การที่คนได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน ใกล้ชิดกันจนกระทบกระทั่งกันได้ขนาดนี้ ต่างฝ่ายต่างก็จะต้องมีความรุนแรงไม่แพ้กันครับ ไม่มีใครที่เป็นพระเอกหรือผู้ร้ายหรอก

แม้ว่าในที่สุดคุณวิกรมจะประกาศให้กรรมทั้งหลายที่พ่อได้ทำไว้กับคุณวิกรมเป็นอโหสิกรรม สิ้นสุดต่อกันซึ่งเป็นทานอันใหญ่ แต่ผมเชื่อว่าคุณวิกรมสามารถทำได้ดีกว่านี้อีกมากครับ และคุณพ่อของคุณวิกรมก็เป็นผู้ชายคนหนึ่งที่คุณวิกรมนำเอาแบบอย่างมา ท่านสมควรได้รับความเป็นธรรมเท่าๆกับที่คุณวิกรมได้สื่อออกมาให้กับตัวคุณวิกรมเอง ท่านเป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่าๆกับคุณวิกรม

คุณพ่อไม่ใช่ผู้ร้าย และคุณวิกรมก็ไม่ใช่พระเอก หากเราสังเกตอีกนิดจะเห็นจากในหนังสือว่า คุณวิกรมจะหาความช่วยเหลือจากญาติหรือคนกันเองที่เป็นผู้ใหญ่ได้ยากยิ่ง ความช่วยเหลือต่างๆดูจะมาจากคนรุ่นที่เสมอกับคุณวิกรม จากลักษณะความเป็นผู้นำของคุณวิกรมเอง สิ่งนี้สื่อออกมาได้ว่าสำหรับผู้ใหญ่แล้ว คุณวิกรมดูเหมือนเด็กดื้อที่ไม่มีใครอยากเดือดร้อนด้วย ดูเหมือนผู้ใหญ่ก็มีคำอธิบายที่ดีแง่มุมมองของท่านเหล่านั้น แต่คุณวิกรมกลับเสนอเหมือนว่าท่านเหล่านั้นไม่ยุติธรรม

คุณวิกรมอยู่ในฐานะที่จะสื่อออกมาในลักษณะของคนที่เข้าใจสิ่งรอบข้าง มากกว่าจะสื่อออกมาอย่างพระเอกกับผู้ร้ายครับ


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ดีและน่าอ่านเล่มหนึ่ง ผมดีใจที่ได้ร่วมอนุโมทนากับการซื้อหนังสือเล่มนี้ไว้ครอบครอง

เพียงแต่ผมคาดหวังมากไปกว่านั้นอีก ความคาดหวังต่อคุณวิกรม


อ่านจนจบผมยังติดค้างอยู่ที่คุณวิกรมยังไม่ได้เล่าเรื่องราวว่าอะไรที่ดลใจคุณวิกรมจนถึงขนาดที่หันจากเส้นทางเดิมได้ จากเส้นทางของนักลงทุน นักธุรกิจใหญ่ที่ยังมีโอกาสอีกมากมายอยู่ข้างหน้า มาสู่การทำงานเพื่อสังคม ผมเชื่อว่ามีบางสิ่งที่สำคัญอย่างมาก ผมเชื่อว่าสิ่งนั้นสามารถทำให้เรืองราวระหว่างพ่อและเขากลายเป็นเรื่องเล็กๆ

เพียงแต่คุณวิกรมอาจจะยังไม่พร้อมที่จะถ่ายทอดมาออกมาอย่างสร้างสรรและเปี่ยมพลัง

ผมหวังว่าจะมีวันนั้น วันที่คุณวิกรมได้สื่อถึงเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริงที่เขาได้ประสบมา


แม้ว่าเมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบลงแล้ว ผมยังมีความเห็นเช่นเดิมในเรื่องของแนวทางการดำรงชีวิต แต่ประสบการณ์ล้ำค่าที่คุณวิกรมได้ถ่ายทอดออกมาในหนังสือเล่มนี้ทำให้ผมยิ่งเชื่อมั่นและศรัทธาในแนวทางที่ผมดำเนินอยู่

แต่ที่สำคัญ ความศรัทธาในชื่อ วิกรม กรมดิษฐ์ ของผมเปลี่ยนไป และคาดหวังว่าจะได้พบกับงานเยี่ยมๆที่คุณวิกรมจะฝากไว้ให้กับสังคมนี้

หมายเลขบันทึก: 253876เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2009 20:03 น. ()แก้ไขเมื่อ 17 มิถุนายน 2012 21:17 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

ผมซื้อมาเหมือนกันครับประมาณเกือบ 1 อาทิตย์ได้ แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน

ได้อ่านบทสรุปย่อ ๆ ภาพลาง ๆ ก็เกิดแล้ว

คงต้องไปตามหาประสบการณ์ของคนวิกรมที่เหลือค้างในหนังสื่อต่อ

ขอคุณมากครับ

หนูก็เพิ่งจะซื้อมาวันนี้เองค่ะ

ก็กำลังจะอ่านอยู่เหมือนกันค่ะ

ครูตาอ่านหนังสือเรื่องชีวิตใหม่แล้ว รู้สึกเชื่อมั่น ศรัทธา คุณวิกรม กรมดิษฐ์ และ คิดจะติดตามเรื่องราวของคุณวิกรมอีก จึงเข้ามาหาอ่านใน website เมื่อเข้ามาอ่านข้อเขียนนี้จึงคิดจะไปหามาอ่านค่ะ และจะกลับมาแชร์อีกครั้งนะคะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท