หมอบ้านนอกไปนอก(87): วันอำลา


ชีวิตคนเราไม่เคยอยู่นิ่ง มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา มีพบย่อมมีพราก มีจากย่อมมีเจอ มีสุขมีทุกข์สลับสับเปลี่ยนเวียนหมุนไปตามวิถีชีวิตและกาลเวลา ทั้งในตนเอง คนรอบข้างและสังคม ชีวิตที่เกิดขึ้นของทุกคนจึงมีทั้งได้และเสียอยู่ตลอดเวลา

               พิธีรับปริญญาบัตรอย่างเป็นทางการเพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ การตัดสินว่าจะจบได้ปริญญาหรือไม่อยู่ที่การทำคะแนนได้ไม่ต่ำกว่า 50 % ของทั้งสองส่วน ซึ่งการคิดคะแนนสุดท้ายตามน้ำหนักของหน่วยการเรียน (Module) และวิชา (Course component) มีการกำหนดและแจ้งให้นักศึกษาทราบตั้งแต่วันแรกของการปฐมนิเทศ ร้อยละของคะแนนในแต่ละวิชาคิดจากเวลาที่ใช้ในการเรียนรู้ของนักศึกษา (Student investment time) จากคะแนน 100 % คิดเป็นการเรียนหน่วยการเรียนรู้หลักและเลือก 60 % โดยหน่วยการเรียนหลัก (CC1-3) คิด 47 % (แบ่งเป็นการสอบ 40 % และการประเมินสมรรถนะเชิงวิชาชีพด้านการนำเสนอ การเขียน ความสามารถในการประยุกต์ใช้ทฤษฎีกับสภาพความเป็นจริง การสรุปข้อมูล การสังเคราะห์สิ่งที่ได้ตามหลักเหตุผลและความเชื่อมโยง (Professional skills: presentation skills, writing skills, capacity to apply theory to reality, to summarize data and to synthesize main finding in a logical and coherent way) เป็น 7 %) ส่วนวิทยานิพนธ์คิดเป็น 40 % (รูปเล่มและสอบปากเปล่าอย่างละ 20 %)

CC1 คิด 20 %: FLHS-HOSP-LHS (First line health service-Hospital-Local Health system) 9 %, National Health System 2 %, Health policy 3 %, Total central Assignment 4 %, Field visit report 2 %

CC2 คิด 7.5 % (หรือเขียนเป็น 7,5 %): Nutrition 1.5 %, MAHP I (Method of Analysis of Health Problems) 3 %, MAHP II 3 %

CC3 คิด 19.5 %: EPISTAT I (Statistic Epidemiology) 6 %, EPISTAT II 4 %, Demography 2.5 %, Socio-anthropology 2 %, Economics 2.5 %, Decision making 2.5 %

Option (Strategic health management or Health policy) คิด 13 %: Tests 8 %, Professional competency 5 % ของผมเลือก Health Policy ส่วนพี่ตู่เลือก Strategic health management

วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน 2551 จึงเป็นวันสุดท้ายจริงๆของหลักสูตรของพวกเราที่ได้มาเรียนร่วมกัน และก็เป็นวันสุขสำเร็จในวันเดียวกัน ผมคิดว่าพวกเราคงรู้สึกคล้ายๆกัน รู้สึกใจหายบ้างที่ต้องแยกกันไปตามวิถีชีวิต ทิศทางของแต่ละคน แม้จะมาจากต่างที่ต่างถิ่น ต่างวัฒนธรรม แต่เวลาที่ผ่านไปสิบเดือนนั้นไม่น้อยเลย ที่ช่วยหล่อหลอมให้พวกเราเกิดความรู้สึกเป็นพวกเป็นเพื่อนกัน จากความแปลกหน้าในวันแรกๆที่เจอกันที่สถาบัน เริ่มขันเกลียวกระชับสัมพันธ์ขึ้นเรื่อยๆนับแต่วันปฐมนิเทศที่ริมหาดชายทะเลของออสตินเกริก ทำให้รู้จัก รู้ใจ รู้นิสัยกันมากขึ้น บางอย่างก็ยอมรับกันได้ง่าย บางอย่างก็ต้องอดทนกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่และพยายามมองกันอย่างเข้าใจและยอมรับความเป็นตัวตนของแต่ละคน บางครั้งกับบางคนก็ขัดแย้งกันทางความคิด จนเกือบไม่ลงรอยกัน บางคนจากไม่ชอบหน้ากลับกลายเป็นเพื่อนสนิทร่วมก๊วนกัน

ผมเองพบกับคำว่า งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา มาหลายครั้งหลายหน ครั้งแรกกับเพื่อนร่วมห้องเรียนชั้น ป. 4 ข ที่โรงเรียนบ้านป่ากุมเกาะ สวรรคโลก ที่เพื่อนๆส่วนใหญ่จบชั้น ป. 4 แล้ว ไม่เรียนต่อ ออกไปทำไร่ทำนาตามแบบอย่างของพ่อแม่ญาติพี่น้องในครอบครัว ผมเองก็เกือบเป็นเช่นนั้น ต้องอ้อนวอนจนพ่อใจอ่อนให้เรียนต่อขอให้จบชั้น ป. 6 เพื่อจะได้ใบสุทธิตามระบบการศึกษาภาคบังคับสมัยนั้น พอจบชั้น ป. 6 เพื่อนๆหลายคนก็แยกย้ายกันไป ส่วนหนึ่งออกไปทำงานเลย ส่วนหนึ่งไปเรียนต่อ แต่ก็แยกกันไปตามที่เรียน พอจบชั้น ม. 3 ก็เช่นกัน และชั้นม. 6 ก็เป็นช่วงชั้นที่มีความผูกพันกันอย่างมาก แต่พอแยกย้ายกันไปก็ห่างกันไป ความเป็นเพื่อนไม่ได้หาย แต่ความใกล้ชิดลดลง จนลืมๆกันไป เมื่อโอกาสเปิดให้เจอกันจึงมารื้อฟื้นความหลังกันได้

ช่วงเรียนแพทย์ เวลา 6 ปี ทำให้เราจำกันได้ดี กิจกรรมรับน้อง ร้องเพลงเชียร์ทำให้ไม่ลืมกัน แต่เวลาจะมาเจอกัน ก็น้อยลงไป เมื่อปีที่แล้วก่อนมาเรียนเบลเยียม เราก็มีนัดรวมพลคนค่ายอาสาที่เป็นแพทย์เชียงใหม่รุ่น 30 ด้วยกันที่วัฒนาวิลเลจ แม่สอด ก็มากันได้สัก 10 คน ช่วงที่จัดงานรวมรุ่น ผมก็ไม่ได้ไปร่วมเพราะติดงาน ตอนที่คณะแพทย์จัดงานคืนสู่เหย้าแพทย์เชียงใหม่ รุ่นผมก็ไปกันแค่ 2-3 คนเท่านั้น เมื่อแปดปีก่อนผมเป็นรุ่นเด็กที่สุดที่ไปร่วมงานเพียงคนเดียวของรุ่น และผมก็โชคดีจับรางวัลได้ตู้เย็นกลับบ้านมา 1 หลัง การจัดงานคืนสู่เหย้าแพทย์เชียงใหม่ จะจัดทุก 4 ปี โดยจำง่ายๆว่าปีไหนที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ปีนั้นก็จะมีการจัดงานสู่เหย้าแพทย์เชียงใหม่

เมื่อตอนเรียนที่นิด้า เราก็หวังกันว่าจะพยายามจัดกิจกรรมให้มาเจอหน้าเจอตากันบ่อยๆ พอเอาเข้าจริง ต่างคนต่างมีภาระ ต่างคนต่างไม่ว่าง สุดท้ายก็ห่างๆกันไป ในแต่ละช่วงชั้น แต่ละรุ่น ก็จะมีที่ยังคงติดต่อสนิทสนมกันไม่กี่คน เป็นไปตามวัฏจักรของกาลเวลา ขนาดตำบลเดียวกัน อำเภอเดียวกัน ประเทศเดียวกัน บางคนยี่สิบปียังไม่เคยเจอกันเลย แต่คราวนี้ เป็นคนละประเทศ โอกาสจะมาเจอกัน ใกล้ชิดกันเหมือนเดิมคงยากยิ่งกว่า พอรู้ว่าต้องแยกจากกันแล้วก็รู้สึกเหงาๆไปบ้างเหมือนกัน แต่ทุกคนไม่มีช่วงเวลาให้คิดเหงามากนักเพราะต่างก็ต้องรีบวุ่นวาย เก็บข้าวเก็บของ เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมกลับบ้านกลับประเทศของตนด้วยความคิดถึงครอบครัวที่จากกันมานานเกือบปี

เสร็จพิธีรับปริญญาและงานเลี้ยงเล็กๆที่สถาบันแล้ว ก็รีบกลับบ้านพัก เปลี่ยนสูทใส่ชุดเป็นเสื้อเชิ้ต กางเกงขายาวแบบสบาย ขึ้นรถรางไปที่สถานีรถไฟกลางเพื่อไปร่วมงานเลี้ยงแสดงความยินดีที่สถาบันจัดให้ที่สวนสัตว์แอนท์เวิปด้านหลังสถานีรถไฟและอยู่ข้างๆศูนย์เพชรของเมือง สวนสัตว์นี้ผมเองก็ไม่เคยเข้าไปเที่ยวชม แต่น้องแคนเคยเข้าไปทัศนศึกษาร่วมกับเพื่อนๆนักเรียนชั้น ป. 5 แล้ว

ขณะนั่งรถรางผ่านไปตรงใกล้ๆตลาดเอเชีย (Asia Market) ภรรยาได้สังเกตว่าแหวนแต่งงานที่สวมอยู่ที่นิ้วนางซ้ายนั้น เพชรตรงกลางหัวแหวนได้หลุดหายไปตอนไหนก็ไม่รู้ ผมสังเกตว่าภรรยาหน้าเสียไปมากและแววตาเสียใจ เหมือนรู้สึกผิดว่าไม่สามารถดูแลแหวนที่เป็นทั้งแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานของเราสองคนไว้ได้ ผมเองก็ใจหายเหมือนกัน ในด้านราคานั้นแหวนวงนี้อาจไม่ได้มีราคามากนักเพราะผมไม่มีเงินซื้อแหวนเพชรเม็ดใหญ่ๆได้ แต่เราถือว่าแหวนวงนี้มีคุณค่าทางจิตใจของเราสองคนสูงมาก เราทั้งครอบครัวช่วยกันพยายามมองหาในรถรางก็ไม่เห็น และจริงๆแล้วก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตกหายตอนไหน เพราะวันนี้เราไปกันหลายแห่ง

ผมเองแม้จะรู้สึกเสียดาย แต่เมื่อรับรู้ความรู้สึกของภรรยาแล้ว ผมก็ได้ปลอบใจภรรยาเพราะคิดว่าแม้แหวนนี้จะมีคุณค่ามาก แต่มันก็สูญหายไปแล้ว และคงไม่สามารถไปหามันกลับคืนมาได้ แต่ผมยังคงมีคนที่สวมแหวนเหลืออยู่ ที่มีคุณค่ามากกว่าเพชรเม็ดนั้นอีก ผมจึงต้องรักษาความรู้สึกของภรรยาไว้ ขนาดผมยังใจหายแล้วภรรยาจะไม่รู้สึกได้อย่างไร การปลอบใจ จับมือให้กำลังใจกัน จึงช่วยลดความรู้สึกที่ไม่ดีเหล่านั้นลงไปได้มาก ผมบอกภรรยาว่ากลับเมืองไทยแล้วจะไปใส่เพชรเม็ดใหม่ให้ แม้จะเป็นเพชรเม็ดใหม่ แต่ก็ยังคงเป็นใจดวงเดิมอยู่

จริงๆแล้วที่เบลเยียมถือเป็นแหล่งค้าเพชรที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เราก็ไม่มีเวลาพอที่จะไปเลือกซื้อ และเพชรเม็ดเล็กที่หายไปนี้ เจ้าของร้านที่ลำปางก็บอกเราว่าเป็นเพชรเบลเยียม ที่มีการเจียรนัยอย่างขึ้นชื่อ สัก 2-3 ชั่วโมงก่อนนี้ เรายังอยู่ในบรรยากาศของความสุข สมหวัง สดชื่น แต่ชั่วขณะที่ขึ้นรถราง เราก็พบกับความสูญเสีย เสียดาย เสียใจ เราสองคนพยายามที่ประคับประคองความรู้สึกของกันและกัน ยิ้มเศร้าๆของภรรยาก็ยังพอประทังให้เกิดความสดชื่นในหัวใจได้บ้าง  ความสูญเสียวัตถุสิ่งของเป็นสิ่งที่มนุษย์เราตัดใจได้ไม่ยากนัก ถ้าไม่ยึดติดกับมันมากเกินไป อย่างน้อยก็ถือว่าได้พาเจ้าเพชรเม็ดเล็กเม็ดนี้กลับมาตุภูมิของมันและอีกไม่กี่วันเราก็จะได้กลับมาตุภูมิของเราเช่นกัน

เราลงจากรถรางตรงสถานีด้านหน้าอาคารอะควอเรียม อุทยานสัตว์น้ำของเมือง ที่ผมกับภรรยาก็ไม่เคยไปชมเพราะดูแล้วราคาตั๋วค่อนข้างแพง แต่ขิมกับขลุ่ยได้เข้าไปทัศนศึกษาร่วมกับเพื่อนๆในชั้นเรียนมาแล้ว เราห้าคนเดินเข้าไปในเขตสวนสัตว์ เพื่อนๆ เจ้าหน้าที่สถาบันเริ่มทยอยกันมาพอสมควรแล้ว มีอาหารเรียกน้ำย่อย เครื่องดื่มไว้บริการให้ ทางศูนย์บริการนักศึกษาเป็นผู้จัดงานและคอยต้อนรับพวกเรา อาจารย์หลายท่านทยอยเข้าไปในงาน อาจารย์บรูโน มาร่วมงานและถ่ายรูปกับพวกเราที่หน้างาน ประมาณทุ่มครึ่งก็เข้าไปในห้องที่จัดงาน จัดให้นั่งเป็นโต๊ะกลมแบบโต๊ะจีน เลือกนั่งได้ตามสบาย พี่ยงยุทธ์มาร่วมงานด้วยแต่อยู่ได้ไม่นานเพราะต้องกลับเมืองไทย อาจารย์ที่เป็นคณะกรรมการสอบวิทยานิพนธ์มาครบทุกคน

ผมและครอบครัวนั่งโต๊ะเดียวกับกลุ่มเพื่อนสนิท เช่นสุวรรณริด เกลนด้า เฟ็ง ส่วนริด้าไม่ได้มาร่วมงานเพราะรีบเก็บของและจะกลับเขมรในเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น อาหารมีทั้งอาหารแบบเอเชียทั้งจีนและญี่ปุ่น แบบยุโรปและอาหารของกลุ่มลาตินอเมริกา ให้เลือกทานได้ตามสบาย ผมสังเกตแต่ละคนก็ทานได้ไม่มากนัก เน้นพูดคุยกันมากกว่า พออิ่มแล้วก็เริ่มเดินทักทายอำลากัน น้องแคนก็ไปคุยกับเพื่อนๆผมหลายคน แล้วเอาเงินเหรียญบาทไทยไปแลกกับเงินเหรียญของเพื่อนๆผมหลายคนเพื่อเก็บเอาไปเป็นที่ระลึก ไม่มีกิจกรรมพิธีรีตองอะไรแล้ว เน้นคุยกันเป็นหลัก ตามโปรแกรมจะมี 3 D คือDinner-Drink-Dance แต่ตัวหลังสองทุ่มกว่าแล้วยังไม่เริ่ม เพื่อนและอาจารย์บางคนเริ่มทยอยกลับ

ผมเข้าไปขอบคุณอาจารย์หลายท่านเพื่อกล่าวคำขอบคุณและอำลา แล้วก็ขอตัวกลับก่อนเพราะต้องรีบเตรียมตัวเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าไว้เดินทางไปเที่ยวยาวเก้าวันในเช้ามืดวันพรุ่งนี้ สายสัมพันธ์อันดีถูกถ่ายทอดจากมือสู่ใจของเราจากการเช็คแฮนด์ก่อนจากกัน คำพูดไม่มากมายกับความหวังที่จะพบกันอีกด้วยคำว่า See you later หรือ See you again กับคำว่า Good bye แต่งานที่จัดนี้ผมคิดว่าไม่ค่อยซึ้งนัก

ผมและครอบครัวเดินออกจากงานแล้วขึ้นรถรางกลับบ้านพัก ส่วนพี่ตู่ยังคงอยู่ต่อกับกลุ่มเพื่อนๆต่อ  ผมกับภรรยากลับถึงบ้านก็ให้ลูกๆอาบน้ำเข้านอน ภรรยาจัดกระเป๋า ผมตรวจสอบเส้นทางการท่องเที่ยว จัดทำตารางรถไฟ เตรียมเอกสารการเดินทาง เกือบๆเที่ยงคืนพี่ตู่กลับมาช่วยเอ้ทำอาหารเพื่อเป็นเสบียงไว้สำหรับพรุ่งนี้ กว่าจะได้นอนก็ใกล้ตีหนึ่ง

ก่อนหลับไปผมอดคิดถึงความประทับใจของการอำลาของพวกเราแพทย์เชียงใหม่รุ่นที่ 30 เมื่อปี พ.ศ. 2536 ไม่ได้ งานที่น้องๆปี 1-5 จัดให้พี่ปี 6 หรือ Extern ก่อนจบการศึกษาหรืองานอำลารุ่นพี่ (Good bye senior) จัดที่โรงแรมใกล้ๆไนท์บราซ่า พวกเราแต่งตัวกันเต็มที่ ผู้ชายแต่งสูท ผู้หญิงแต่งกระโปรงสวยงาม ผมจำไม่ได้ว่าไปยืมชุดสูทใครมา น้องๆฉายสไลด์ทบทวนความหลังของพวกเราและกิจกรรมสนุก ซึ้งๆหลายอย่าง น้องรหัสของแต่ละคนก็จะมากันครบตั้งแต่ปี 1-5 นั่งทานอาหารโต๊ะเดียวกัน พูดคุยกันอย่างมิตรไมตรี ก่อนงานเลิกเราร่วมกันร้องเพลงคณะแพทย์เชียงใหม่กันหลายเพลง ชวนให้ใจหายที่ต้องจากสถาบัน “สุขฉะนี้เราฤาจะลืม ชื่นฉะนี้เราฤาจะเลือน โอ้แพทยศาสตร์เราจำจากเพื่อน ไม่ลืมไม่เลือน เราจำจากเพื่อนด้วยความอาลัย โอกาสหน้าเราคงจะมี คงจะมี คงจะมี เราน้องพี่มาเชียร์ร่วมกัน...”

อีกเหตุการณ์ที่จำได้ประทับใจคือการอำลาของชาวค่ายอาสาพัฒนาอนามัยและชนบท (พอช.)ในคืนก่อนกลับ เราจะจัดงานรอบกองไฟ มีกิจกรรมสนุกสนาน เกมส์และรำวงร่วมกันกับชาวบ้าน พอเริ่มดึก ชาวบ้านก็กลับไปนอน แต่พวกเรายังคงสุมไฟให้ความอบอุ่น ล้อมวงกันร้องเพลง เล่นกีตาร์ เป็นบรรยากาศก่อนจากที่ให้ความรู้สึกดีๆ มิตรภาพ ความอบอุ่น กำลังใจและสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพลงเพื่อชีวิตหลายต่อหลายเพลงถูกนำมาขับขาน ความมืดของหมู่บ้านบนยอดดอย ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ แสงดาวและแสงจากกองไฟช่วยให้แสงสว่างภายนอกไม่มากนัก แต่มันกลับส่องสว่างยิ่งนักในใจของพวกเราชาวค่าย แสงเทียนและไฟฉายช่วยส่องให้มือกีตาร์มองเห็นคอร์ดจากหนังสือเพลง

เพลงที่พลาดไม่ได้สองเพลงสำคัญคือเพลงคำสัญญาด้วยบทร้องขึ้นต้นที่ว่า “ก่อนจากกัน ขอสัญญา ฝากประทับตรึงตราจนกว่าจะพบกันใหม่ โบกมืออำลาสัญญาด้วยหัวใจ เพราะความรักติดตรึงห่วงใย ด้วยใจผูกพันมั่นคง...โอ้เพื่อนเอ๋ย เคยร่วมสนุกกันมา แต่เวลาต้องพาให้เราจากกัน ไม่นานหรอกหนา เราคงได้มาพบกัน ไม่มีสิ่งใดขวางกั้น เพราะเรามั่นในสัญญา หากแผ่นดินไม่ฝังกาย จะสุขจะทุกข์เพียงใด น้อมกายยิ้มสู้ฟันฝ่า ร้อยรัดดวงใจ มั่นในคำสัญญา สร้างสรรค์เพื่อมวลประชา นี่คือสัญญาของเรา

พอเพลงนี้จบปุ๊บใครคนใดคนหนึ่งในวงจะขึ้นมาโดยไม่ต้องบอกเลยว่า “โบกมือลา เสียงเพลงครวญมาต้องลาแล้วเพื่อน กี่ปีจะลับเลือน ฝากเพลงคอยย้ำเตือน หวนให้ ขุนเขาไม่อาจขวาง สายทางเที่ยงธรรมได้ ความหวังยังพริ้งพราย เก่าตายมีใหม่เสริม ชีวิตที่พานพบมีลบย่อมมีเพิ่ม ขอเพียงให้เหมือนเดิม กำลังใจ อย่าอาวรณ์ รักเราไม่คลอนคลางแคลงแหนงหน่าย ให้รักเราละลาย กระจายในผองชน ผู้ทุกข์ทนตลอดกาล” แล้วผมก็หลับไปตอนไหนไม่รู้

 

พิเชฐ  บัญญัติ(Phichet Banyati)

Bellagio conference center, Rockey Foundation, Italy เวลา 12.09 น. (17.09 น. เมืองไทย)

เขียนจากบันทึกของวันที่ 26 มิถุนายน 2551

31 มีนาคม 2552

 

หมายเลขบันทึก: 252555เขียนเมื่อ 1 เมษายน 2009 17:09 น. ()แก้ไขเมื่อ 18 เมษายน 2012 13:49 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

สวัสดีค่ะ...หมอ..

และแล้ววันนี้ก็มาถึงจากการเดินทางอันยาวนาน...

ช่วงนี้คงอยู่ในหว่างการเดินทางเที่ยวเก้าวนกันนะคะ...

ฝากความระลึกถึงทุกท่านนะคะ ... อีกไม่นานคาดว่าคงเดินทางถึงสุวรรณภูมิอย่างปลอดภัย...

(^___^)

กะปุ๋ม

  • สวัสดีค่ะ อาจารย์
  • ต้องกล่าวคำอำลาอีกแล้วใช่มั้ยคะ
  • ดีใจกับเมืองไทยที่จะมีคุณหมอคุณภาพเพิ่มขึ้นอีกค่ะ
  • โชคดีค่ะ

พี่หมอ นกดีใจจริง นานแล้วคะที่ไม่ได้เข้ามาทักทาย ด้วยอะไรหลายอย่างแต่พอเข้ามาก็ดีใจและ พี่ก็เป็นช้างเผือกที่มาจากป่าจริง ๆ เก่งที่สุดเลย อาจารย์เก่า และคงภาคภูมิใจและคนที่บ้านก็คงจะเหมือนกัน นะคะ ว่าง ๆพี่ไปหาอาจารย์ด้วยนะคะ

อวิรุทธ์ ชาญชัยกิตติกร

หวัดดีเพื่อนรัก

ขอโทษทีที่หายไปนานแต่ก็ไม่ลืมที่จะอ่านย้อนหลังไปเรื่อยๆ ขอให้รวมเป็นเล่ม พ๊อกเกตบุ๊กนะ จะช่วยโปรโมต

ด้วยรักและคิดถึง

อู

8/04/09

คิดถึงเพื่อนเช่นกัน สงกรานต์กลับสุโขทัยหรือเปล่า

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท