ในช่วงสองสามวันนี้ แม่ต้อยให้เวลาและความสนใจในการอ่านหนังสือที่ดีดี สองสามเล่มคะ เช่นเรื่องปัญญาญาณ เรื่อง เต๋า มรรควิถีที่ไร้เส้นทาง ที่แปลโดยท่านอาจารย์ ประพนธ์ ผาสุขยืด เรื่ององค์กรอัจฉริยะ ของท่านอาจารย์ วิจารณ์ พานิช รวมทั้งเรื่องสงครามและสันติภาพ ของลีโอ ตอลสตอย
บางเรื่องแม่ต้อยเคยได้อ่านมาแล้ว แต่ก็มาอ่านซ้ำอีก เนื่องจากว่ามีที่มาที่ไป เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าแม่ต้อยกำลังรื้อทรัพย์สินข้าวของส่วนตัวที่มากมายจนล้นโต้ะให้เข้าที่เข้าทางเสียที ( 5 ส.คะ อิอิ )ก็เลยไปเจอหนังสือที่ดีดีที่เคยอ่านแล้วจึงนำมาอ่านอีกครั้งหนึ่งเป็นรอบที่สอง
แม่ต้อยมีความรู้สึกว่าในการอ่านหนังสือแต่ละครั้ง แต่ละหน้านั้น เราได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเพิ่มขึ้น ไปตามจินตนาการและความคิดของเราในช่วงนั้นๆ การอ่านหนังสือแต่ละครั้งแม้ว่าจะเป็นเล่มเดียวกัน ตอนเดียวกัน แต่อาจจะให้ความรู้สึกที่ต่างกันออกไป เชื่อไหมคะว่า แม่ต้อยเคยอ่านหนังสือบางเล่มมากกว่าห้าครั้ง เช่น เรื่องสี่แผ่นดิน เรื่องราวประวัติศาสตร์ ต่างๆเป็นต้น และก็ไม่เคยเบื่อที่จะอ่านซ้าๆ
การอ่านหนังสือ และการได้ฟังเรื่องเล่าดีดี น่าจะใกล้เคียงกันในความคิดของแม่ต้อย ซึ่งใน”โครงการพัฒนาคุณภาพโรงพยาบาลด้วยรัก” นี้ แม่ต้อยได้ใช้เวทีที่เรามาเรียนรู้ร่วมกันสร้างทักษะที่ให้ทีมของโรงพยาบาล ได้ใช้ เรื่องเล่า” ความสำเร็จเล็กๆ” ที่เขาแอบภาคภูมิใจมาเล่าสู่กันฟัง ด้วยแนวคิดที่ว่า “พลังของความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ ของแต่ละคนนี่เองจะสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ให้องค์กรได้ในที่สุด”
การสร้างบรรยากาศให้คนกล้าที่จะนำสิ่งเล้กๆน้อยๆมาเล่าให้กันฟังนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะเป็นการผ่อนคลาย บรรยากาศเชิงบวก การชื่นชมยินดีกัน เป็นต้น
มีเรื่องเล่าดีดีนับได้หลายร้อยๆเรื่องที่แม่ต้อยได้ยินได้ฟังมา ก็คงคล้ายๆหนังสือดีดีที่อ่านไม่มีวันเบื่อ เรื่องเล่าดีดี ก็สามารถฟังได้ไม่มีวันเบื่อ เช่นกัน หลายๆเรื่องแม่ต้อยได้นำมาถ่ายทอดให้ฟังในบล้อกนี้ และรวมทั้งผุ้เขียนบล้อกอื่นๆ เช่นของน้องพอลล่าเป็นต้น
แต่สิ่งหนึ่งที่แม่ต้อยจะนำมาต่อยอดสำหรับเรื่องเล่านี้คือ ในบางแง่มุม เรื่องเล่านี้เองมันได้สะท้อนคุณลักษณะที่สำคัญในการพัฒนาระบบงานในองค์กร หรือวัฒนธรรม ความเป็นอยู่ ตลอดจนความศรัทธาที่ประชาชนมีต่อผู้ที่ทำงานในระบบสุขภาพ ดังเช่น
เรื่องเล่าของพยาบาลที่ทำงานในสถานีอนามัยคนที่๑
“ วันหนึ่ง หนูกำลังทำงานที่สถานีอนามัยตามปกติ ก็มีคุณตาคนหนึ่งเดินมาหา อายุน่าจะประมาณ ๘๐ปีแล้ว มาถึงก็มาบอกหนูว่าอยากจะได้ยาสักแปดอย่าง มียาแก้ไข้ ยาแก้ปวด ยาแก้ท้องเสีย ยาทำแผลฯลฯ”
“ ตอนนั้น หนูคิดว่า หนูไม่ใช่คนหยิบยานะ คุณตาต้องมาบอกอาการก่อน เมื่อหนูตรวจอาการแล้วหนูจึงจะให้ยาตามอาการที่คุณตาเป็น.. แต่หนูเห็นว่าคุณตาอายุมากแล้ว และยาที่ขอก็เป็นยาสามัยประจำบ้าน ธรรมดาๆ หนูจึงให้ไป..”
“ อยู่มาวันหนึ่ง..หนูมีโอกาสไปเยี่ยมบ้านคนไข้คนหนึ่งที่มีที่อยู่ใกล้ๆกับบ้านที่คุณตาคนนั้น เขาเคยให้ที่อยู่ไว้ หนูจึงวางแผนว่าเมื่อเยี่ยมคนไข้คนแรกเสร็จแล้ว หนูจะลองไปที่บ้านคุณตา..จะขอไปดูที่บ้านว่าเป็นอย่างไร”
“ หนูแทบไม่เชื่อสายตาว่า นี่คือบ้านที่คนอยู่ เพราะว่าบ้านคุณตาที่หนูไปพบนั้น..คล้ายๆปลูกในพื้นดินที่ลึกลงไปมาก หนูยืนอยู่ข้างบน เห็นเพียงหลังคาเท่านั้น หากจะเดินเข้าหรืออกจากบ้านต้องปีนขึ้นมาและไต่ลงไป
ที่สำคัญคือ คุณตาอยู่กับภรรยาที่อายุแปดสิบกว่าขึ้นไปเพียงสองคน..ไม่มีลุกหลาน “
หนูเห็นแบบนั้น จึงคิดถึงตอนที่คุณตาเพียรมาขอยาจากหนู นี่หากหนูไม่ให้ยาในตอนนั้นหนูคงเป็นบาปน่าดู เพราะคนแก่ๆ อยู่ด้วยกันสองคน ในสภาพบ้านที่ต้องปีนขึ้นมา และในตอนกลางคืนที่นี่ยังไม่มีไฟฟ้าไปถึง...
“ อาจารย์ คิดดูนะ.ว่าเขาลำบากแค่ไหน.. เราก็คิดแบบเดิมๆว่า ป่วยทีต้องมาเอายาทีหนึ่ง..นี่หากว่าตาและยายเป็นอะไรกลางคืนคงลำบากแน่ๆ..”
“ ที่สำคัญ.. หนูได้เห็นความรักของคุณตาที่ดูแลคุณยาย..ที่เป็นคู่ทุกข์ คู่ยาก..”
ในเรื่องนี้จึงเป็นการสะท้อนให้เห็นความจริงในสังคม ที่ใครหลายๆคนอาจจะไม่มีวันรู้ได้ ว่ายังมีสภาพอย่างนี้อยู่ในจังหวัดที่เรียกว่ายังไม่ไกลปืนเที่ยง ได้เห็นความรักของคู่แท้ ที่แม้ไม่มีลูกหลานคอยดูแล ก็ดูแลซึ่งกันและกันไปตามอัตถภาพ..
น้องคนที่เล่าได้ค้นพบความหมายของการเยี่ยมบ้านที่ดูเสมือนงานพื้นๆ แต่การเยี่ยมบ้านครั้งนี้ ทำให้มุมมองของเธอที่มีต่อคนไข้เปลี่ยนไป และสำหรับแม่ต้อยเองได้ตระหนักและเรียนรู้ว่าบุคลากรที่ทำงานในสถานีอนามัยนั้นได้รับผิดชอบงานที่” ไม่ธรรมดา”
เรื่องเล่าที่๒ จากน้องอีกคนที่อยู่สถานีอนามัยเช่นกัน
เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องชวนขำขัน หรือสะท้อนให้เห้นชีวิตลุกทุ่งอย่างชัดเจน น่าสนุกมากคะ
“ เมื่อหนูจบใหม่ๆ และไปประจำที่สถานีอนามัย ใครๆก็กล่าวขวัญกันว่า บ้านเรามีหมอใหม่มาอยุ่แล้ว ที่หมุ่บ้านหนูใครไปทำงานที่สถานีอนามัย เขาเรียกหมอทุกคน หนูก็เลยเป็นคุณหมอตั้งแต่วันแรกที่ทำงาน”
“ ด้วยความที่เพิ่งจบและไปประจำการคนเดียวจึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่าหนูจะทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน จึงรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ..วันหนึ่งคนไข้คนแรกก็มาหาหนูคะ..
“ ผุ้ชายคนหนึ่งมาหาหนู พร้อมกับอุ้มไก่ชนมาหนึ่งตัว.. เขาบอกว่าหมอครับ...ไก่เขาท้องอืดมาก.. ช่วยหน่อยนะ ไก่ชนของผมตัวนี้ราคาหลายหมื่น...หากเป็นอะไรไปผมตายแน่ๆ ..”
“ ทำไงดี..หนูเห็นความหวัง ความมั่นใจจากใบหน้าของคนที่มาหามากๆ ว่าหนูต้องช่วยเขาได้..หนูจึงตัดสินในให้ยาขับลมที่ใช้สำหรับคนไข้ให้ไปหนึ่งช้อนชา.. นึกในใจว่าไก่ตัวนี้จะตาย หรือจะรอดหนอ..
“ ไม่แน่ใจว่าเป็น โชคดี หรือโชคร้าย ไก่ชนที่ราคาแพงตัวนี้อาการดีวันดีคืน หายจากอาการป่วยอย่างน่าอัศจรรย์ใจ.. ชื่อเสียงหนูคงโด่งดัง..มากๆ
“ เพราะว่าอีกไม่นาน มีคนมาหาหนู บอกว่าให้หนู ช่วยไปดูควายหน่อย ควายที่บ้านเขาตาย อยากรู้ว่าทำไมถึงตาย”
หนูเห็นชักจะไปกันใหญ่จึงบอกชาวบ้านว่า หนูเป็นพยาบาล ดุแลคนไข้ได้ แต่ไม่ได้เรียนมาทางรักษาสัตว์ เขาก็บอกว่า เอาเหอะๆ ไปดูหน่อย จะได้อุ่นใจ..”
เรื่องเล่าเรื่องนี้ ที่จริงดูน่าจะเป็นเรื่องขำขัน ปนเฮฮา ในความซื่อของชาวบ้าน แต่ก็เป็นตัวอย่างที่แท้จริงของสังคมอีกด้านหนึ่งที่ให้นิยามความหมายของหมออนามัยของเขา คือที่พึ่งในทุกทาง และในทุกมิติ
ทุกๆเรื่องเล่า เมื่อนำมาเล่าสู่กันฟังก็จะเปลี่ยนจากเรื่องส่วนตัวที่ผุ้เล่าไม่เคยได้เล่าให้ใครทราบ หรืออาจจะไม่มีใครเคยสนใจ กลายมาเป็นเรื่องราวชีวิตการทำงานขององค์กร ที่มีความหมาย มีชีวิตชีวา อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้องค์กรฝ่าฟันวิกฤติ หรืออาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครอีกหลายคน เป้นตัวแบบในการทำงานร่วมกับชุมชน ดังเช่น ชีวิตของเด็กสาวสองคนที่ทำงานที่สถานีอนามัยเล็กๆในจังหวัดที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพฯสักนิด ที่แม่ต้อยได้ถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่งในวันนี้”
“ และนี่คือ..ความสุขบนความสำเร็จเล็กๆ ..ของคนเล็กๆ..ในระบบสุขภาพ” ที่แม่ต้อยได้รับรู้มา
และขอขอบคุณทุกๆเรื่องเล่าที่จังหวัดลพบุรี
สวัสดีคะ
สวัสดีค่ะ
ครูคิมคะ ทำไมไวจัง แม่ต้อยไม่ได้เข้ามาแค่วันเดียวเท่านั้นเองนะคะ
เสียใจด้วยนะคะ แม่ต้อยเห็นแค่รูปยังรักเขาเลยคะ
เสียใจมากจริงๆคะ น้องโยเดียที่น่ารัก
อิอิ.... สวัสดีตอนค่ำค่ะแม่ต้อย
สวัสดีคะ แม่ต้อยว่าจะไปvote ให้พอลล่าอยุ่นะเนี่ย สำหรับคนหน้าตาดีคะ
สวัสดีค่ะ
รู้สึกดีใจที่เข้ามาให้กำลังใจ เรื่องเล่าดีๆในโรงพยาบาลก็มีมากมาย โดยเฉพาะกับเด็กป่วยโรคมะเร็ง น่าสงสารมาก เด็กที่อยู่ในระยะสุดท้าย ตึกเด็ก 3ง เราก็มีโครงการสานฝันให้ หนูอยากกินกุ้งเผามาก แม่ไมมีตัง พยาบาล แพทย์ก็ช่วยกันรวมเงินได้ พันกว่าบาท ได้กินกุ้งเผากันทั้งตึก อีกไม่กี่วันหนูก็จากพวกเราไป และก็เป็นที่มาของโรงการ สานฝัน ให้เด็กโรคมะเร็ง ที่ยังทำต่อเนื่อง จนปัจจุบัน
ขอบคุณค่ะ หวังว่าจะมาเยี่ยมชมอีกนะคะ
มาชื่นชมความสุขเล็กๆของแม่ต้อยแต่อาจเป็นความหวังที่ยิ่งใหญ่ของอีกหลายๆคนค่ะ
สวัสดีค่ะ แม่ต้อย
ความสำเร็จเล็กๆเอามารวมกันก็ยิ่งใหญ่ค่ะ