ปัญหาการคิดของเด็กไทย
ในการสัมภาษณ์และพูดคุยกับครูผู้สอนในโรงเรียน พบว่าปัญหาการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับการคิดโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์ และวิชาคณิตศาสตร์ และจัดเป็นปัญหาใหญ่สรุปได้ดังนี้
1. บริบทของโรงเรียนที่จำเป็นต้องรับนักเรียนเข้าเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 และ 4 นั้น ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนที่มีระดับความรู้ปานกลาง และอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักเรียนที่เข้าเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่มีพื้นฐานการเรียนจากระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนที่เน้นการติวเข้มแบบทดสอบมากกว่าการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการ
2. ครูผู้สอนไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการสอน เน้นให้นักเรียนท่องจำสูตร มิได้ปลูกฝังให้มีกระบวนการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหา นักเรียนจึงขาดทักษะในการวางแผนการทำงานและไม่มีความอดทนที่จะขบคิดปัญหาเป็นเวลานาน ๆ
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น เด็กไทยจึงควรมีลักษณะเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีทักษะการคิดในชั้นเรียน การคิดและการสอนคิดจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งการจัดการศึกษาที่ต้องพัฒนาและฝึกฝนจนเกิดเป็นทักษะติดตัวนักเรียนไปตลอดชีวิต การคิดอย่างมีจุดมุ่งหมาย มีทิศทาง มีกระบวนการที่ดี รอบคอบ จะทำให้ได้คำตอบหรือบทสรุปที่มีคุณภาพ เชื่อมโยงไปสู่การกระทำหรือการดำรงชีวิตที่เหมาะสมของแต่ละบุคคลต่อไป เป้าหมายของการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนเกิดพุทธพิสัยขั้นสูงหรือความความคิดระดับสูง หรือความคิดระดับสูง (Higher Order Thinking) ซึ่งประกอบด้วยระดับความคิดที่เน้นการนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า แต่เด็กไทยก็ยังไม่เป็นไปตามความต้องการของสังคม
จากปัญหาดังกล่าว จะเห็นว่าการสอนคิดหรือสอนให้เกิดทักษะการคิดให้ตัวผู้เรียนเป็นปัญหาสำคัญ ครูผู้สอนต้องตระหนักและร่วมมือกันคิดหาแนวทางพัฒนาการเรียนการสอนเพื่อสร้างให้นักเรียนคิดเป็น แม้ว่าการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้นักเรียนคิดเป็นและมีกระบวนการการคิดจะเป็นเรื่องยากแต่ก็เป็นสิ่งที่พัฒนาฝึกฝนได้โดยกระบวนการทางการศึกษา (ชัยวัฒน์ วรรณพงษ์ และคณะ, 2543 : 1) จึงเป็นหน้าที่ของครูผู้สอนแต่ละคนที่ต้องเสาะแสวงหา คิดหาวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียนคิดเป็นต่อไป จากการศึกษาแนวคิดและทฤษฏีต่าง ๆ นักการศึกษาหลายท่านพบว่า ทฤษฎีการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ ( Contrsuctivism ) เป็นทฤษฏีที่น่าจะสามารถช่วยพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงได้ จากคำอธิบายของนักการศึกษาหลายท่าน สรุปได้ว่า ทฤษฏีการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้เป็นทฤษฎีเกี่ยวกับความรู้และการเรียนรู้ ที่มีความเชื่อว่านักเรียนแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้เดิมเป็นโครงสร้างทางปัญญาอยู่แล้วครูไม่สามารถปรับโครงสร้างทางปัญญาใหม่ได้ เมื่อได้รับประสบการณ์ใหม่ นักเรียนสามารถเชื่อมโยงเข้ากับ ความรู้เดิม ถ้าความรู้เดิมใช้กับประสบการณ์ใหม่ไม่ได้นักเรียนจะปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาโดยสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้เอง ครูเป็นเพียงผู้อำนวยความสะดวกเป็นผู้ถาม ไม่ใช่ถามเพื่อให้นักเรียนได้ความรู้ความจำ แต่ต้องเป็นผู้กระตุ้นและจัดสถานการณ์ให้เหมาะกับความรู้เดิมของนักเรียนเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนคิดและเชื่อมโยงความรู้เอง นักเรียนจะเกิดการเรียนรู้แบบมีความหมาย (meaning learning) การเรียนรู้ (learninig) ตามแนวทฤษฎีนี้ คือการพัฒนาความคิดรวบยอด (conceptual devepment) นั่นเอง รูปแบบการสอนตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ที่ใช้วิธีการแก้ปัญหาร่วมกับการเรียนแบบร่วมมือเพื่อกระตุ้นและเสริมสร้างทักษะ การคิดขั้นสูงให้เกิดกับนักเรียนสมเจตนารมณ์ของหลักสูตร
รูปแบบการสอนคิดมีขั้นตอนดังนี้
1. กำหนดเป้าหมายและสร้างสถานการณ์ให้นักเรียน
2. นักเรียนออกแบบ วางแผน คิดแก้ปัญหาในกลุ่มพร้อมสรุปวิธีและผลการแก้ปัญหา
นั้นให้สมบูรณ์ในกลุ่ม
3. ให้นักเรียนสะท้อนความคิดของกลุ่มตนออกมาให้ชั้นฟัง
4. ปรับแนวคิดของนักเรียนที่หลากหลายหรือไม่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น โดยครูและนักเรียน
ในชั้นช่วยกัน
5. ประยุกต์ความคิดรวบยอดนั้นใช้กับสถานการณ์ใหม่ และประเมินผลพร้อมใน
ขณะสอน
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้
การเขียนแผนการจัดการเรียนรู้ก็เช่นเดียวกับการสอนวิธีอื่น ๆ โดยกำหนดขั้นตอนหลักของกิจกรรมการเรียนการสอนตามแนวการเรียนรู้แบบสรรค์สร้างความรู้ดังนี้
1. ขั้นกำหนดปัญหาและสร้างสถานการณ์ให้นักเรียน
1.1 ครูเสนอปัญหาปลายเปิดนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นในเรื่องที่ต้องการให้
นักเรียนเกิดการเรียนรู้
1.2 ครูกำหนดสถานการณ์ให้นักเรียนแก้ปัญหาหรือหาคำตอบในรูปแบบของ
ใบงาน
2. ขั้นออกแบบวางแผนคิดแก้ปัญหาในกลุ่มย่อย พร้อมสรุปวิธีและผลการแก้ปัญหานั้น
ให้สมบูรณ์
2.1 นักเรียนเข้ากลุ่มย่อยตามการเรียนแบบร่วมมือแต่ละโครงสร้างที่หลากหลาย
2.2 นักเรียนกลุ่มย่อยใช้กระบวนการแก้ปัญหาสถานการณ์ที่ครูกำหนดให้
เริ่มด้วยเลือกปัญหาที่ต้องการทราบ ตั้งสมมติบานนั้นทดลองวิเคราะห์ข้อมูลโดยการอภิปรายผล การทดลองร่วมกัน และสรุปผลการทดลองให้สมบูรณ์ โดยสรุปเป็นองค์ความรู้ในกลุ่มย่อยให้สมบูรณ์
3. ขั้นสะท้อนความคิดของกลุ่มตนออกมาให้ชั้นฟัง
3.1 ครูสุ่มตัวแทนนักเรียนในกลุ่มย่อยแต่ละกลุ่ม เสนอวิธีการและกระบวนการ
แก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา พร้อมทั้งข้อสรุปของกลุ่มย่อยที่ได้
3.2 นักเรียนทั้งชั้นฟังการนำเสนอ พร้อมคิดวิเคราะห์เปรียบเทียบกับวิธีการและ
กระบวนการ พร้อมทั้งข้อสรุปของกลุ่มย่อยที่ได้
4. ปรับแนวคิดของนักเรียนที่หลากหลายหรือไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยครูและนักเรียนช่วยกัน
4.1 ครูให้นักเรียนทั้งชั้นช่วยกันสรุปวิธีการกระบวนการแก้ปัญหาที่สามารถ
แก้ปัญหาหรือ สถานการณ์ได้ทุกวิธีการและข้อสรุปที่สมบูรณ์
4.2 ครูช่วยเสริมวิธีการ กระบวนการ และองค์ความรู้เพิ่มเติมให้สมบูรณ์
5.ประยุกต์ความคิดรวบยอดนั้นกับสถานการณ์ใหม่และประเมินผลพร้อมในขณะสอน
5.1 ครูกำหนดสถานการณ์ใหม่ให้นักเรียนกลุ่มย่อยช่วยกันแก้ปัญหาจากองค์
ความรู้ใหม่ที่ได้
5.2 หรือนักเรียนแต่ละคนทำแบบทดสอบ
การจัดการเรียนการสอนที่เน้นการคิดมีหลายรูปแบบ จากการศึกษารายวิชา การจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิด และนักการศึกษา และสังคมทั่วโลกซึ่งปัจจุบันเห็นความสำคัญของทักษะการคิดขั้นสูงต่อการพัฒนาประเทศ พอสรุปได้ว่า ทักษะการคิดขั้นสูง (higher order thinking skills ) เป็นพิสัยขั้นสูง ประกอบด้วยการคิดวิจารณญาณ ความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหา เป็นลักษณะการคิดที่เป็นกระบวนการ ควรได้รับ การพัฒนาเป็นอย่างมากสำหรับนักเรียนเพื่อสร้างให้เด็กไทยเป็นบุคคลที่ก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์แต่ผู้รายงานขอนำเสนอเฉพาะรูปแบบที่ผู้รายงานได้นำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนของผู้รายงานเองคือ
1. การเรียนแบบร่วมมือ
Slavin ; Kagan (1990 : 2 ; 1994 : 1 ) กล่าวว่า การเรียนแบบร่มมือเป็นการจัดการเรียนรู้ที่นักเรียนร่วมมือกันเป็นกลุ่ม ช่วยกันเรียนรู้ในสิ่งที่ครูสอนหรือสิ่งที่ครูจัดหามาให้ และสำหรับนักเรียนวัยรุ่นกลุ่มเพื่อนมีความสำคัญมากที่สุด นักเรียนส่วนใหญ่ยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนและดูดซับสิ่งต่าง ๆ มาจากเพื่อนทั้งหมด การเรียนแบบร่วมมือสามารถช่วยพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนได้เป้นอย่างดี
Kagan (1994 : 11 ) ได้เสนอโครงสร้างการเรียนแบบร่วมมือที่สามารถพัฒนา
ทักษะการคิดและที่ส่งเสริมทักษะอื่น ๆ แต่สามารถช่วยพัฒนาทักษะการคิดหลากหลายดครงสร้าง จากการศึกษาพบว่าแต่ละโครงสร้างก็เหมาะสมกับเนื้อหา หาแตกต่างกันครูผู้สอนควรเลือกใช้ให้เหมาะสม ดังนี้
Numbered Heads Together เหมาะสำหรับการเริ่มใช้การเรียนแบบร่วมมือกับนักเรียน เป็นวิธีการทำกิจกรรมร่วมมือกับนักเรียน เป็นวิธีการทำกิจกรรมร่วมกันที่ง่าย ไม่ยุ่งยากซับซ้อน การสุ่มหมายเลขสมาชิกและหมายเลขกลุ่มทำให้นักเรียนตื่นเต้นและสนใจทำกิจกรรมได้เป็นอย่างดี
Jigsaw เหมาะกับเนื้อหาที่สามารถแยกศึกษาเป็นส่วน ๆ ได้ โดยเนื้อหาในแต่ละส่วนไม่
ขึ้นอยู่กับเนื้อหาส่วนอื่น ไม่ควรใช้การจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือโครงสร้าง Jigsaw ในแผนการจัดการเรียนรู้แรก ๆ เนื่องจากมีขั้นตอนที่ซับซ้อน อาจทำให้นักเรียนตกใจ และอาจทำให้นักเรียนมีเจตคติไม่ดีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนแบบร่วมมือได้
Team Game Tournament ; TGT เหมาะสำหรับใช้ทบทวนเนื้อหาที่เข้าใจยาก น่าเบื่อ
ช่วยทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนสนุกสนาน น่าสนใจ และได้รับความรู้ เนื่องจากมีการแข่งขันระหว่างทีม Group Investigation ; GI เหมาะสำหรับใช้ในกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ และใช้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เนื้อหาสามารถแบ่งออกเป็นหัวข้อต่าง ๆ ได้หลายหัวข้อ เพื่อให้นักเรียนได้ออกแบบศึกษาหรือทดลองเพื่อพิสูจน์ความจริงได้อย่างอิสระตามความสนใจ นักเรียนแต่ละกลุ่มสามารถเลือกศึกษาในหัวข้อที่กลุ่มสนใจแล้ววางแผนการศึกษาร่วมกันในกลุ่ม แล้วศึกษาหรือทดลองให้เข้าใจถ่องแท้ ซึ่งในแต่ละหัวข้อที่กำหนดไว้นี้ต้องใช้เวลาศึกษานานพอสมควร อาจต้องศึกษานอกเวลาเรียน แล้วครูผู้สอนกำหนดวันที่จะให้นักเรียนแต่ละกลุ่มนำผลการศึกษานำเสนอให้เพื่อนกลุ่มอื่น ๆ ในชั้นฟังพร้อมทั้งสื่อของจริงที่ได้จากการศึกษาทดลองมาแสดงให้เพื่อชมด้วย การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบนี้นักเรียนแต่ละกลุ่มจะมีความรู้ ความเข้าใจในหัวข้อที่กลุ่มเลือกศึกษาอย่างถ่องแท้ ฝึกการใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ และการทำงานเป็นกลุ่มได้เป็นอย่างดี
Student Teams Acheivement Divistion ; STAD และ Team Assisted Invididualization ; TAI จากการศึกษาพบว่า การเรียนทั้ง 2 แบบนี้ หน้าที่ ของนักเรียนไม่ใช่การทำงานกลุ่มเท่านั้น แต่ต้องเรียนเป็นกลุ่มด้วย และเหมาะกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ที่ต้องการสอนข้อเท็จจริง แต่งทั้ง 2 แบบต่างกันที่ STAD ศึกษาร่วมกันทั้งกลุ่มแต่แบ่งหน้าที่กันและเวียนหน้ากัน แต่ TAI แต่ละคู่ในกลุ่มช่วยกันศึกษา แล้วนำคะแนนสอบของแต่ละคนมาเป็นคะแนนกลุ่ม
Pair Check จากการศึกษาพบว่าเหมาะกับเนื้อหาที่มีลักษณะของการแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาโจทย์หรือการคำนวณเพื่อหาคำตอบ
Categorizing เป็นโครงสร้างของการเรียนแบบร่วมมือที่ช่วยฝึกทักษะการคิดจากการศึกษาพบว่า เหมาะสำหรับใช้ในขั้นนำสู่บทเรียน โดยสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนในแต่ละกลุ่มช่วยกันจำแนกหรือจัดประเภทสิ่งที่กำหนดให้ โดยต้องให้เหตุผลประกอบการตัดสินใจดังกล่าวด้วย
Teammates Consult เป็นโครงสร้างของการเรียนแบบร่วมมือที่ช่วยฝึกทักษะการคิด เหมาะสำหรับใช้ในการให้นักเรียนทำแบบฝึกร่วมกัน
นอกจากการเรียนแบบร่วมมือโครงสร้างต่าง ๆ แล้วกาตั้งคำถามในแบบฝึกยังช่วยในการ
กระตุ้นให้นักเรียนฝึกทักษะการคิดร่วมกันได้ดี เช่น การตั้งคำถามตามแนวของบลูม (Blooming Worksheets) โดยตั้งคำถามตามลำดับ และเลือกใช้คำถามให้เหมาะในแต่ละขั้น การวัดความรู้ ใช้คำว่า ให้คำจำกัดความ วัดความเข้าใจใช้คำว่า ให้อธิบาย เปรียบเทียบ วัดการนำไปใช้ ใช้คำว่าประยุกต์ จำแนก แก้ปัญหา การวิเคราะห์ ใช้คำว่า เชื่อมความคิดหรือรายละเอียดเข้าด้วยกัน ออกแบบและการประเมินผล ใช้คำว่าให้ข้อสรุป ตัดสิน วิจารณ์เป็นต้น
2. การเรียนแบบโครงงาน
การเรียนรู้แบบโครงงาน ( สกศ,2550 : 2-7 ) เป็นการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงหลักการพัฒนา การคิดของบลูม (Bloom) ทั้ง 6 ขั้น กล่าวคือ ความรู้ความจำ (Knowledge) ความเข้าใจ (Comprehension) การนำไปใช้ (Application) การวิเคราะห์ (Analysis) การสังเคราะห์ (Synthesis) การประเมินค่า (Evaluation) และยังเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญในทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ ตั้งแต่การวางแผนการเรียนรู้ การออกแบบการเรียนรู้ การสร้างสรรค์ประยุกต์ใช้ผลผลิต และการประเมินผลงาน โดยผู้สอนมีบทบาทเป็นผู้จัดการเรียนรู้
กระบวนการของกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน
กระบวนการแบ่งเป็น 3 ระยะใหญ่ๆ ด้วยกันคือ
ระยะที่ 1 การเริ่มต้นโครงงาน เป็นระยะที่ผู้สอนต้องสังเกต/สร้างความสนใจให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียน จากนั้นตกลงร่วมกัน เลือกเรื่องที่ต้องการศึกษาอย่างละเอียด ผู้สอนสร้างความสนใจให้เกิดกับผู้เรียนซึ่งมีหลายวิธี โดยอาจศึกษาเรื่องจากการบอกเล่าของผู้ใหญ่หรือผู้รู้ จากประสบการณ์ของผู้เรียน/ผู้สอน จากเอกสารสิ่งพิมพ์ หรือสื่อต่างๆ จากการเล่นของผู้เรียน จากความคิดที่เกิดขึ้น จากวัตถุสิ่งของที่ผู้สอนนำมาในห้องเรียน หรือจากตัวอย่างโครงงานที่ผู้อื่นทำไว้แล้ว เป็นต้น เมื่อเกิดความสนใจแล้วก็จะถึงการกำหนดหัวข้อโครงงาน โดยนำเรื่องที่ผู้เรียนสนใจมาอภิปรายร่วมกัน แล้วกำหนดเรื่องนั้นเป็นหัวข้อโครงงาน ทั้งนี้จะต้องคำนึงว่าการกำหนดหัวข้อโครงงานนั้นจะกระทำหลังจากการตรวจสอบสมมติฐานเสร็จสิ้นแล้ว
ระยะที่ 2 ขั้นพัฒนาโครงงาน เป็นขั้นที่ผู้เรียนกำหนดหัวข้อคำถาม หรือประเด็นปัญหา ที่ผู้เรียนสนใจอยากรู้ แล้วตั้งสมมติฐานมาตอบคำถามเหล่านั้น ทดสอบสมมติฐานด้วยการลงมือปฏิบัติ จนค้นพบคำตอบด้วยตนเอง ตามขั้นตอนดังนี้
1 ผู้เรียนกำหนดปัญหาที่จะศึกษา
2 ผู้เรียนตั้
ไม่มีความเห็น