"ใบไม้ในกำมือ"พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๑ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงถือใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบด้วยฝ่าพระหัตถ์ แล้วตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายมา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ใบ ประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุทั้งหลายกราบทูล ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ใบประดู่ลาย ๒-๓ ใบที่พระผู้มีพระภาคทรงถือด้วยฝ่าพระหัตถ์มี ประมาณน้อย ที่บนต้นมากกว่า พระเจ้าข้า.พ. อย่างนั้นเหมือนกัน ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก ก็เพราะเหตุไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับ ความสงบ ความรู้ยิ่ง ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่บอก.[๑๗๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งอะไรเราได้บอกแล้ว เราได้บอกแล้วว่า นี้ทุกข์ ... นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนั้นประกอบด้วยประโยชน์ เป็น พรหมจรรย์เบื้องต้น ย่อมเป็นไปเพื่อความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะนั้น เราจึงบอก ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. จบ สูตรที่ ๑
|
|
|
|
ท่านอาจารย์คนไร้กรอบกล่าวไว้ประมาณว่า
... ถ้า "สมมติ" คือการดำเนินชีวิตทางโลก และให้ "วิมุติ" คือ การดำเนินชีวิตทางธรรม
... มีคนไม่น้อยที่เข้าใจผิดว่า ต้องเลือกเดินทางใดทางหนึ่ง เหมือนตาชั่งที่วาง สมมติ กับ วิมุติ เอาไว้คนละข้าง กล่าวคือ ถ้าด้านหนึ่งหนักอีกด้านจะเบาไปทำนองนั้น
... แต่จริง ๆ แล้ว ท่านเสนอว่า ให้เอาวิมุติไว้ข้างในและเอาสมมติไว้ข้างนอก คือ พัฒนาไปพร้อม ๆ กัน เสริมซึ่งกันและกัน กล่าวคือ ให้ดำเนินชีวิตทางโลกอย่างดีที่สุดตามที่ควรจะเป็นได้ ทั้งนี้ก็พัฒนาจิตใจของตัวเองอย่างดีที่สุดไปด้วยเช่นกัน ประมาณนั้นครับ (หาหนังสือเล่มแดงที่อาจารย์เขาเขียนเอาไว้ไม่พบครับ เลยเขียนออกมาจากความจำได้หมายรู้ครับ ผิดตกอย่างไรต้องขออภัยท่านด้วยครับ)
ไม่มีความเห็น