เผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ประเภทหนังสืออ่านเพิ่มเติม เรื่อง การเมืองไทยในยุคเชื่อผู้นำชาติพ้นภัย
ของ นางสาวสายพิน แก้วงามประเสริฐ ครูชำนาญการพิเศษ
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ฯ โรงเรียนโพธาวัฒนาเสนี อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับวัฒนธรรมทางการเมือง
นอกจากปราบปรามศัตรูทางการเมืองแล้ว จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังหาแนวร่วมจากชนชั้นกลางในเมือง ด้วยการสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองใหม่ ปลุกจิตสำนึกของมวลชน นำแนวคิดแบบชาตินิยม และลัทธิทหารนิยมมาใช้ พยายามแสดงให้เห็นว่าสมัยของท่านเป็นสมัยของ “สังคมใหม่” และ สมัย“การสร้างชาติ” โดยออกมาตรการต่าง ๆ ให้ประชาชนต้องปฏิบัติตาม ผ่านการประกาศของสำนักนายกรัฐมนตรี และกรมโฆษณาการ
วัฒนธรรมใหม่ทางการเมืองของจอมพล ป. เริ่มต้นเมื่อครบรอบ 7 ปีของการเปลี่ยนแปลง การปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน 2482 จอมพล ป. ได้กำหนดให้วันที่ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติแทนวันเฉลิมพระชนมพรรษา เปลี่ยนชื่อ “ประเทศสยาม” เป็น “ประเทศไทย” พร้อมทั้งวางศิลาฤกษ์เพื่อสร้างอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่กลางถนนราชดำเนิน โดยมีศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีออกแบบสร้าง ให้เป็นศิลปะแบบตะวันตก ( ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2549 : 195 )
ภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากปกวารสารข่าวโฆษณาการ ของกรมโฆษณาการ
ภาพจาก www.i155.photobucket.com
รูปลักษณ์ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยมีปีกทั้ง 4 ด้านสูงจากแท่นพื้น 24 เมตร มีรัศมีจากจุดศูนย์กลางของป้อมที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญถึงขอบของฐานยาว 24 เมตร พานรัฐธรรมนูญตรงกลางสูง 3 เมตร มีรูปพระขรรค์ 6 อัน ประดับโดยรอบป้อมกลางที่ตั้งพานรัฐธรรมนูญ ( หมายถึงหลัก 6 ประการ ของคณะราษฎร ) ยังมีปืนใหญ่รอบอนุสาวรีย์จำนวน 75 กระบอก นอกจากนี้ยังมีการวางหมุดที่ระลึกการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า โดยที่หมุดมีข้อความว่า “ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” ( ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2549 : 195 – 196 )
ภาพหมุด ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า ที่ซึ่งพระยาพหลพลพบยุหเสนา หัวหน้าคณะราษฎร ยืนอ่านแถลงการณ์เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ภาพจาก www.komchadluek.net
ภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถ่ายขณะน้ำท่วมใหญ่ปลายปี 2485 ภาพจาก www.koosangkoosom.com
ตัวเลขและสัญลักษณ์ที่ปรากฏในอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ล้วนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เช่น ปีกนกที่เป็นปีกทั้งสี่ของอนุสาวรีย์ หมายถึงเสรีภาพ ความสูง 24 เมตร หมายถึง วันที่ 24 พานรัฐธรรมนูญสูง 3 เมตร หมายถึงเดือนมิถุนายน ซึ่งถือว่าเป็นเดือนที่ 3 เนื่องจากสมัยก่อนปีใหม่ไทยคือเดือนเมษายน ดังนั้นเดือนมิถุนายน จึงเป็นเดือนที่ 3 ของปี ส่วน ปืน 75 กระบอก หมายถึง พ.ศ. 2475 นั่นเอง สำหรับพระขรรค์ 6 อัน หมายถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎร ที่ต้องใช้พระขรรค์เพราะเป็นอาวุธที่แหลมคม เพื่อต้องการสื่อให้เห็นถึงนโยบายในการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่สะท้อนว่าหลัก 6 ประการของคณะราษฎรว่ามีความแหลมคม เฉียบขาดในด้านสติปัญญาเพียงใด
ส่วนภาพดุนซึ่งติดตั้งแสดงประกอบบริเวณโดยรอบของส่วนล่างของปีกทั้ง 4 ด้าน เป็นภาพเหตุการณ์ของคณะราษฎรขณะดำเนินการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ตั้งแต่ดำเนินการนัดหมาย และแยกย้ายทำการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ณ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 (อนุสรณ์ในพิธีบรรจุอัฐิ ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม, 2507: 52 – 53)
ภาพดุน จำลองเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ของคณะราษฎร
ภาพจาก www.i155.photobucket.com
นอกจากสัญลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนในอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแล้ว ยังมีสัญลักษณ์ที่แฝงเร้นในรูปลักษณ์อนุสาวรีย์นี้ด้วย ซึ่งศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์การที่รัฐธรรมนูญมีพานแว่นฟ้ารองรับไว้ว่า
“... หากต้องการให้หมายความว่า รัฐธรรมนูญเป็นของสูงอันพึงเคารพสักการะ ก็น่าจะทำฐานเป็นบุษบกแทนป้อม เพราะสื่อความน่าเคารพเลื่อมใสตามประเพณีไทยได้ดีกว่าพานแว่นฟ้า หากรัฐธรรมนูญเป็นของพระราชทานจากพระมหากษัตริย์ ตัวแทนของประชาชนพึงรับเอารัฐธรรมนูญนั้นจากพระหัตถ์เพื่อน้อมใส่เกล้า... ไม่มีความจำเป็นจะต้องมีพานแว่นฟ้ารองรับอีกทอดหนึ่ง ในทางตรงกันข้ามเป็นเพราะตัวแทนของประชาชนจะทูลเกล้าฯถวายรัฐธรรมนูญให้พระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธยต่างหาก จึงต้องทอดรัฐธรรมนูญนั้นลงบนพานแว่นฟ้า เพื่อจะได้นำทูลเกล้าฯถวายให้ทรงลงพระปรมาภิไธยด้วยความเคารพในองค์พระมหากษัตริย์ตามธรรมเนียมไทย
เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญที่อยู่บนพานแว่นฟ้า จึงหมายถึงรัฐธรรมนูญที่ส่งจากข้างล่างขึ้นไปข้างบน ไม่ใช่ส่งจากข้างบนลงมาข้างล่าง” ( นิธิ เอียวศรีวงศ์ อ้างใน สายพิน แก้วงามประเสริฐ, 2538 : 49 )
รูปลักษณ์ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ปรากฏ จึงแสดงความพยายามที่จะต่อสู้กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลาย ๆ ด้วยการสื่อสารว่ารัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ได้มาจากการร้องขอของประชาชน มิใช่การหยิบยื่นให้ของผู้มีอำนาจรัฐ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด รวมทั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกลายเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องและการแสดงปฏิกิริยาต่อต้านอำนาจรัฐในเวลาต่อมาด้วย
ลัทธิชาตินิยม – ทหารนิยมของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยังสะท้อนให้เห็นจากการเปลี่ยนเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ ให้เหมาะกับการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยาม เป็นไทย รัฐบาลจึงจัดประกวดแต่งเนื้อร้องเพลงชาติขึ้นใหม่โดยใช้ทำนองเดิม เนื้อร้องที่หลวงสารานุประพันธ์ส่งเข้าประกวดในนามกองทัพบก ได้รับการคัดเลือกให้ใช้เป็นเพลงชาติใหม่ใช้มาจนปัจจุบัน มีคำขึ้นต้นว่า “ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” และมีคำที่สะท้อนลัทธิชาตินิยม เช่น “เป็นประชารัฐ” หรือ “ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี” หรือ “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด” หรือ “สละเลือดทุกหยาดเป็นชาติพลี” เป็นต้น (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2549 : 196)
จากเนื้อร้องเพลงชาติไทย จะเห็นความเป็นรัฐที่มีขอบเขตประเทศชัดเจน เนื่องจากสมัยจอมพล ป. เน้นการเรียกร้องดินแดนที่ไทยเคยเสียให้กับฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 คืน อีกทั้งเนื้อร้องเพลงชาติไทยยังกล่าวถึงประชาชนการยอมสละเลือดเนื้อของประชาชน โดยไม่มีเนื้อร้องส่วนใดในเพลงชาติที่กล่าวถึงความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์เลย ซึ่งทำให้เห็นความพยายามของจอมพล ป. ที่จะลดบทบาทของสถาบันนี้ และสร้างความมั่นคงให้กับตนเองเป็นสำคัญ
นอกจากนี้จอมพล ป. ยังได้ประกาศ “รัฐนิยม” ถึง 12 ฉบับ ระหว่างพ.ศ. 2482 – 2485 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในแนวนโยบายแบบลัทธิชาตินิยม – ทหารนิยม ได้แก่
รัฐนิยมฉบับที่ 1 ( 24 มิถุนายน 2482 ) เรื่องการใช้ชื่อประเทศ ประชาชน และสัญชาติ
รัฐนิยมฉบับที่ 2 ( 3 กรกฎาคม 2482 ) เรื่องการป้องกันภัยที่จะบังเกิดแก่ชาติ
รัฐนิยมฉบับที่ 3 ( 2 สิงหาคม 2482 ) เรื่องการเรียกชื่อชาวไทย
รัฐนิยมฉบับที่ 4 ( 8 กันยายน 2482 ) เรื่องการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี
รัฐนิยมฉบับที่ 5 ( 1 พฤศจิกายน 2482 ) เรื่องให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภคบริโภคที่กำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย
รัฐนิยมฉบับที่ 6 ( 10 ธันวาคม 2482 ) เรื่องทำนองและเนื้อร้องเพลงชาติ
รัฐนิยมฉบับที่ 7 ( 21 มีนาคม 2482 ) เรื่องชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ
รัฐนิยมฉบับที่ 8 ( 1 เมษายน 2483 ) เรื่องเพลงสรรเสริญพระบารมี
รัฐนิยมฉบับที่ 9 ( 24 มิถุนายน 2483 ) เรื่องภาษาและหนังสือไทยกับหน้าที่พลเมืองดี
รัฐนิยมฉบับที่ 10 ( 15 มกราคม 2484 ) เรื่องการแต่งกายของประชาชนชาวไทย
รัฐนิยมฉบับที่ 11 ( 8 กันยายน 2485 ) เรื่องกิจประจำวันของคนไทย
รัฐนิยมฉบับที่ 12 ( 28 มกราคม 2485 ) เรื่องการช่วยเหลือคุ้มครองเด็ก คนชรา หรือคนทุพพลภาพ ( ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2549 : 199 – 200 )
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศรัฐนิยมฉบับที่ 4 เรื่องการเคารพธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญ
พระบารมี ในภาพเป็นการเคารพธงชาติ เวลา 08.00 น. ช่วงน้ำท่วมพระนคร ครั้งใหญ่ปลายปี 2485
ขณะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพจาก www.bloggang.com
รัฐนิยมฉบับที่ 6 เรื่องเพลงชาติไทย
การดำเนินนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม คำว่า “ประชาชน” จะถูกนำมาใช้บ่อยและแทนคำว่า “ราษฎร” ซึ่งให้ความหมายในแง่ของมวลชน และเป็นมวลชนที่รัฐบาลจูงใจให้คล้อยตามนโยบายของจอมพล ป. (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, 2544 : 376)
รัฐนิยมฉบับที่ 7 เรื่องชักชวนให้ชาวไทยร่วมกันสร้างชาติ
ในภาพแสดงแผนที่ประเทศไทยก่อนเสียดินแดน ภาพจากwww.siamconllectible-design.com
รัฐนิยมทั้ง 12 ฉบับ ทำให้คนไทยรู้สึกว่าประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสมัยใหม่จริง ๆ โดยรัฐบาลได้ออกแนวปฏิบัติตนให้กับประชาชนปฏิบัติตามแนวสังคมสมัยใหม่ เช่น คนไทยต้องป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นแก่ชาติ ต้องยกย่องภาษาและหนังสือ หน้าที่พลเมืองดี ต้องเคารพเพลงชาติและยืนตรงเคารพธงชาติทุกเช้า เวลา 8.00 น. คนไทยในสังคมที่เจริญแล้วต้องมีน้ำใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในวัยเยาว์ คนชรา หรือคนทุพพลภาพ
โปสเตอร์รณรงค์เรื่องการปฏิบัติตัวของคนไทยในช่วงสงคราม
ภาพจาก www.nairobroo.com
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน จอมพล ป. ประกาศให้คนไทยใช้คำว่า “สวัสดี” เป็นคำกล่าวทักทายเมื่อแรกพบกัน (ชาญวิทย์ แพงแก้ว, 2550 : 88) รวมทั้งกำหนดให้เสร็จเรียบร้อยว่า เวลาวันหนึ่งแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ปฏิบัติงานอาชีพส่วนหนึ่ง ปฏิบัติกิจส่วนตัวส่วนหนึ่ง และพักผ่อนนอนหลับอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังระบุว่า ควรกินอาหารวันละ 4 มื้อ นอนวันละ 6 – 8 ชั่วโมง รู้จักการออกกำลังกาย ทำสวนครัว เลี้ยงสัตว์ ปลูกต้นไม้ และฟังวิทยุจากกรมโฆษณาการ (แถมสุข นุ่มนนท์, 2544 : 62 – 63)
สมุดนักเรียนในยุค 2480 ช่วงสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม บนหน้าปกของสมุดมีการแฝงโฆษณาและรณรงค์เพื่อสนับสนุนให้ประชาชนชาวไทยทำสวนครัวกันในบ้านและช่วยกันป้องกันชาติอีกด้วย ซึ่งข้อความที่ปรากฏบนปกสมุดด้านหน้าก็คือ
"สุขสำราญงานใดไม่แม้นเหมือนได้ร่วมเพื่อนหญิงชายทั้งหลายทั่ว
เมื่อยามว่างควรพะวงลงสวนครัว อย่าปล่อยตัวเอาแต่เที่ยวให้ป่วยการ"
ภาพจาก www.exteen.com
การกำหนดวิถีชีวิตประจำวันของคนไทยยังครอบคลุมมาถึงเรื่องการให้เลิกนั่งพับเพียบกับพื้นตามประเพณีหรือตามความเคยชิน หรือแม้แต่ในการร่วมพิธีกรรมทางศาสนา ให้นั่งเก้าอี้แทนการนั่งพับเพียบ เพราะพื้นที่นั่งมีฝุ่นละออง (ก้องสกล กวินรวีกุล, 2545 : 68) การนั่งเก้าอี้ได้รับการส่งเสริมให้ทั้งนั่งรับประทานอาหารด้วย นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขยังแนะนำให้ประชาชนใช้ช้อนส้อมเป็นเครื่องมือในการรับประทานอาหารแทนมือ รัฐพยายามอธิบายว่าการใช้ช้อนส้อมมีมานานแล้ว แต่พบว่าชาวตะวันตกนำช้อนส้อมเข้ามาขายให้กับคนไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และเริ่มใช้เมื่อ พ.ศ. 2413 เฉพาะในหมู่คนชั้นสูงเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดาคงจะยังใช้มือในการรับประทานอาหารเช่นเดิม แต่ในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. เห็นว่าการใช้มือรับประทานอาหารเป็นประเพณีการกินอาหารที่ไม่ทันสมัย จึงรณรงค์ให้ใช้ช้อนส้อมแทนมือ เพื่อแสดงถึงความมีอารยธรรมของคนไทย (ก้องสกล กวินรวีกุล, 2545 : 82 - 86) &
ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ
ผลงานดีเยี่ยมเลยค่ะ
ครูอ้อยยังไม่เสร็จเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะพี่อ้อยที่ให้กำลังใจ ขอให้เสร็จเร็ว ๆ นี้นะคะ เป็นกำลังใจให้เช่นกันนะคะ
ขอแสดงความยินดีด้วยนะจ๊ะเล็ก...สำหรับวิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ เก่งจังเลยเพื่อนเรา