ถอดโจทย์ กับ การโยนความคิด


จงพร้อมอย่างมีสติกับปัญหาที่ยากลำบาก

ความยากลำบากที่สุดในการจัดการงานสักชิ้นหนึ่งภายใต้ปัจจัยดังต่อไปนี้

·                   การถอดโจทย์สำคัญที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อน

·                   ระยะเวลาจำกัดของการส่งงาน

·                   การมองให้เห็นเป้าหมายของงานอย่างเป็นรูปธรรม

·                   การกำหนดวิธีการ (Means) เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมาย เสมือนการสร้าง แบบจำลอง

·                   การวิเคราะห์ปัญหาอุปสรรค์ล่วงหน้าและวิธีแก้ไขในจินตภาพ

 ที่กล่าวมานั้นคือสิ่งที่ผู้เขียนกำลังเผชิญและหมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้มาเกือบเดือนจนใกล้จะถึงวาระสุดท้ายของ Deadline…สมชื่อจริงๆ ….

การบันทึกครั้งนี้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ใดเป็นพิเศษ….เป็นการเขียนถอดความคิดยามนี้ออกมาเพื่อให้เกิดความว่างแบบสูญญากาศ

กระบวนการถอดโจทย์ที่เป็นปัญหาอยู่นี้ จะต้องทำให้ออกมาเป็นแบบจำลองและมีองค์ประกอบที่เป็น key success และสร้างจินตภาพของความสำเร็จที่มุ่งหวัง โดยมีปัญหาอุปสรรคและวิธีการแก้ไขเป็นบันไดไต่เต้าไป

 ขอเปลี่ยนประเด็นสำหรับวันนี้ ได้มีโอกาสประชุมกับ supervisors หลายท่านเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (KM) ในหน่วยงานโดยนำกระบวนการ Dialogue มาใช้เป็นเครื่องมือหนึ่งในการถ่ายทอดความรู้

 หนึ่งในหัวข้อที่เราหารือกันคือการทบทวนการจัด Dialogue มาแล้ว 3 ครั้ง เราพบว่าบรรยากาศ Dialogue และ Flow of Meaning ไม่ค่อยเกิดขึ้น และเจ้าหน้าที่ที่มาร่วม Dialogue “ไม่เปิดใจ และดูเหมือนจะไม่ไว้วางใจกันมากพอที่จะกล่าวถึงหรือพาดพิงถึงประสบการณ์การทำงานของตนเอง

 Feedback ของผู้เข้าร่วมกระบวนการ Dialogue

·       เกร็งกับกติกาที่บอกว่าฝึกฟังอย่างตั้งใจ…ห้ามพูดแทรกห้ามครองเวที            

·       มองไม่เห็นประโยชน์ของการนำ Dialogue มาจัดการความรู้                            

·       ไม่ชอบ ...ไม่ถนัดในหัวข้อที่เป็นประเด็นสนทนา                                                                  

·       เข้าใจผิดไปว่าให้ฟัง ก็ฟังอย่างเดียว ไม่ยอมพูดกันเลย                                             

·       พูดอะไรออกไปแล้วถูกสมาชิกในวงเบรก ก็เลยไม่กล้าพูดต่อ

·       มีเกทับ เข้ามาจัดการกลุ่ม กระตุ้น และสนทนาย่อยในกลุ่ม                                                    

·       ไม่ใช่นักเล่าเรื่องหรือไม่ได้ฝึกพูดในที่สาธารณะ จึงไม่กล้าพูด                                

·       อารมณ์ศิลปินอยากพูดก็พูด อยากฟังก็ฟังแล้วแต่สถานการณ์และหัวข้อที่โดน

 

ไม่ว่าจะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ตอนนี้หลายคนเริ่ม “ไม่อิน" กับการจัดการความรู้แล้ว สิ่งที่ผู้เขียนกังวลไม่ใช่การเกิดกระบวนการ Dialogue หรือไม่ แต่คือการไม่มีอารมณ์ร่วมกับเครื่องมือใด ๆ ที่จะนำมาใช้ในการจัดการความรู้  หรือ "การไม่เปิดใจ"

 ดังนั้น จึงเป็นที่มาของการออกแบบวิธีการจัดการความรู้ใหม่ นั่นคือจะจำลองแบบการจัดเวทีสาธารณะ ให้กลุ่มที่มีจิตอาสาออกมาเป็นตัวอย่างในการถ่ายทอดความรู้ คล้าย ๆ กับการจัด Panel แบบ Talk Show โดยกลุ่มที่เป็นจิตอาสาออกมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการจัดความรู้ แปลงสิ่งที่เป็นนามธรรมออกมาเป็นรูปธรรม หรือนำสิ่งที่เป็น Inner Knowledge ออกมาให้ปรากฎสู่สาธารณชน โดยผู้ฟังมีส่วนร่วมในการซักถามและแสดงความคิดเห็นจากวงนอกสู่วงใน

 การไหลเวียนของความรู้ ประสบการณ์ และการมีส่วนร่วมช่วยคิดต่อยอดสร้างสรรค์อย่างเป็นพลวัตรจะสร้างพลังงานบวกมหาศาล…Synergy….แบบไร้ขีดจำกัด

 การช่วยกันคิดด้วยกันเปรียบเสมือนกับการร่วมกันปรุงอาหารสมองและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันอย่างอะเร็ดอร่อยไม่อร่อยคงไม่ได้แล้ว เพราะพวกคุณปรุงกันเอง ใครชอบอะไรก็ใส่เครื่องปรุงนั้นเองต่อให้ไม่อร่อยเท่าไหร่ก็คงเต็มใจกันทาน ไม่มีการต่อว่ากันอย่างแน่นอน

 บทบาทของผู้เขียนมีหลายหมวกเมื่อโยนความคิดนี้ออกไปแล้ว ก็ต้องตามเก็บความคิดของผู้อื่นที่ตามมาว่าเห็นด้วยไหมและจะเริ่มกันอย่างไรคนที่เป็นจิตอาสาไม่ได้คำนึงว่าต้องมีประสบการณ์มากกว่าใคร ๆแต่เป็นผู้ที่เปิดใจมากกว่า

 ขอเพียงเปิดใจเชื่อไหมว่า ต่อไปก็จะเปิดสมองออกมาเองแล้วเราคงได้เห็นความรู้ประสบการณ์ของพวกท่านและเมื่อนำมารวมกัน นั่นคือพลังของทีม

 จบบันทึกนี้ด้วยการตามจิตที่ว่าง  การปลดปล่อยความคิดเป็นตัวหนังสือเป็นการพัฒนาจิตวิญญาณ และฝึกใช้ปัญญาที่ซ่อนนอนลึกออกมาเดินอย่างเป็นระเบียบดังบันทึกนี้

 จงพร้อมอย่างมีสติกับปัญหาที่ยากลำบาก   หลังบันทึกนี้จะขอไปทำแบบจำลองให้เป็นผลงานต่อ...

 ากท่านต้องเผชิญกับโจทย์ที่ยาก …ท่านมีวิธีการถอดโจทย์กันอย่างไร? อยากให้แลกเปลี่ยนกันบ้าง...อิสระทางความคิด...จิตไม่ปรุงแต่ง...

 

ขอนำคำตอบที่จะตอบคำถามคุณกวินเกี่ยวกับ "ไดอะหลอก" มาตอบในบันทึกนี้แทนค่ะ เพราะมันยาว และเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาที่นำเสนอ

·       คำถามของคุณกวินน่าสนใจอย่างยิ่ง จึงขอตอบคำถามเกี่ยวกับ Dialogue หลอกกันหรือเปล่าไว้เป็นส่วนหนึ่งของบันทึกนี้เพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนกันค่ะ

·       ตามที่บอกไว้ในบันทึกแล้วว่า ศิลามีหลายหมวก

·       หมวกที่เราได้รับมอบหมายให้เป็น FA ในการทำให้ผู้เชี่ยวชาญในความรู้ทั้งหลายเปิดใจถ่ายทอดความรู้ที่เรียกกันติดปากว่า KM นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งจะนำ "ไดอะหลอก" หรือเครื่องมืออะไรก็ได้มาทำให้เราอยากเล่าเรื่อง ดึง Tacit Knowledge ออกมา....จะเรียกว่าหลอกหรือไม่ไม่ทราบ เพราะเจตนาดีคืออยากให้มีการถ่ายทอดแลกเปลี่ยน...ส่วนคนพูดจะพูดหลอก ก็เป็นไปได้หากตัวตนของเขายึดภาพลักษณ์ นั่นคือกิเลส "หลง" ซึ่งเคยนำเสนอไว้ใน Blog รู้ตัวเพื่อการพัฒนา

·       แต่ไม่ว่าคนเราจะพูดจากแรงขับ  โลภ (ความกลัว)  โกรธ หรือหลง ล้วนแล้วแต่เป็นพลังธรรมชาติหากควบคุมให้อยู่ในความพอดี... ก็ดี...จึงไม่ใช่เรื่องที่เราจะรังเกียจและปฏฺิเสธ  แต่ควรจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราและเขาต่างก็มี เพียงกำหนดจิต ติดตามก็จะกลายเป็นพลังงานบวกได้...เรื่องนี้ละเอียดอ่อนมาก ศิลาหวังว่าจะมีเพื่อนร่วมแลกเปลี่ยนที่ "เห็น" แต่ "มองต่าง" ก็ยังดี

·       ในความหมายนี้ ก็คือทุกคนมีอัตตา การปรุงแต่งตามกิเลสที่ยึด (โลภ (กลัว) โกรธ หลง) เป็นเรื่องธรรมดา ศิลาเข้าใจเรื่องนี้มานานแล้ว และอาศัยความเมตตาต่อสิ่งที่พบเห็น ...การผ่านการฟังลักษณ์แต่ละลักษณ์ที่ยึดกิเลสแต่ละตัวเล่าเรื่อง และเราเข้าถึงกันได้ เป็นการแสดงความเมตตาต่อกันค่ะ

·         ตราบเท่าที่พวกเขาเล่าเรื่องอย่างเปิดใจ จะเล่าจากกิเลสเพื่อการปรุงแต่งตัวใดไม่สำคัญ สำคัญคือเนื้อหาที่เราจะนำมาใช้นั้น เกิดประโยชน์ต่อชุมชนค่ะ...เมื่อพ้นจากวัยทารกที่ naked มาแล้ว ผู้ใหญ่ล้วนใส่อาภรณ์ปกปิดกายกันทั่วหน้าค่ะ

  •  
    • หากมนุษย์เรามีศีล สมาธิ ปัญญา ใกล้เคียงหรือเสมอกัน หรือยึดหลักธรรมนำชีวิต รับรองว่าทฤษฎีสูตรสำเร็จต่างๆที่ออกแบบกันมาใช้กับมนุษย์นั้น ขายไม่ออก...เพราะทุกคน "ตื่น รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ” นั่นคืออุดมคติใน  utopia ที่หลายท่านอยากเห็น
    • ตามหมวก FA นี้ กับความเป็นจริงของคน ทำให้มีทฤษฎีสูตรเยอะแยะยัดเยียดให้ต้องนำมาใช้  ซึ่งก็ต้องทำไปตามหน้าที่ เพราะคนไทยเชื่อตำรานอกและบุคคลที่มีชื่อเสียงไว้อ้างอิง

o อีกหมวกหนึ่งคือนักวางแผนอิสระไม่มีค่าย อาศัยจังหวะว่าสูตรทฤษฎีอะไรใช้กับกลุ่มไม่ได้ก็จะนำความคิดไร้กรอบมาเสียบ ซึ่งศิลากำลังผลักดันอยู่อย่างไม่รีบร้อน   โดยส่วนตัวแล้ว อยากใช้แนวรู้เขา เข้าถึง จึงพัฒนา คือการรู้และเข้าถึงธรรมชาติกลุ่ม จึงอยากใช้ Enneagram รวมทั้งหลักพุทธมาจับตัวตนให้เขาพูดโดยอิสระตามลักษณ์ของเขา ซึ่งจะทำได้ดีตามวิถีที่เขาเป็นศิลานึกภาพนั้นไว้แล้ว แต่ไปไม่ถึงเพราะต้องทำให้คนสำคัญที่เกี่ยวข้องเชื่อให้ได้ก่อนนำมาใช้...การหลุดออกจากกรอบสำหรับบางคนเป็นเรื่องยากพอ ๆ กับนำหลักธรรม (ชาติ) มาใช้แทนที่ "หลักทำตามเขา...นำเข้า เข้ามา"  

  •  
    • หากคนเราไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา ใกล้เคียงหรือเสมอกัน สิ่งที่พบคือบางคนหวาดระแวงหรือมีกลไกป้องกันตนเอง เวลานำศาสตร์หรือเครื่องมืออะไรมาใช้ ศิลาจึงอยากให้หลาย ๆ คนรู้สึก "เปิดใจ" กระบวนการเวทีสาธารณะแบบจิตอาสานำร่องจึงเกิดขึ้น ส่วนในเวทีนั้นกระบวนการ ไดอะหลอก เกิดหรือไม่   ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักอีกต่อไป 

·       กาลามสูตรเป็นเรื่องที่อยากนำมาใช้ หากพูดไปแล้วมีคนเข้าใจเหมือน ๆ กัน... เพราะหลักพุทธคือหลักธรรม (ชาติ) ที่สุด เรานำเครื่องมืออะไรมาใช้ก็ตาม ล้วนสะท้อนให้เห็นว่า “ไม่ได้ดูกันเลย  พุทธก็มีสอนไว้”  แม้กระทั่งหลักการบริหารที่ไปนำของนอกมาอธิบาย  พอนำหลักธรรมมาจับ ก็อธิบายได้ลึกซึ้งกว่า…แต่ก็ไม่ได้ดูกันเลย…สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ คือการลองนำของนอกมาให้เขาเห็น…เมื่อมีปัญหา เราก็อธิบายด้วยหลักพุทธ จะกรองละเอียดกว่า…เป็นกุศโลบายที่อาศัยเวลามาก ต้องมีขันติสูง…ทำแบบไม่ทำ ใช้ธรรมแบบไม่รู้ว่าธรรม

·       ตอบมายาวมากเพื่อสรุปว่า KM กับพฤติกรรมมนุษย์เป็นเรื่องที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนมากหากแต่ละคนยังยึดอัตตาตนเอง เมื่อไรที่ลดอัตตา ทุกคนจะมาพบกัน ณ จุดเดียวกันโดยไม่ต้องนัดหมาย

·       คิดอิสระ จิตไม่ปรุงแต่ง ยากนะ  ขั้นสูงสุดที่อยากจะให้หลายคนเข้าใจกันคือ ใช้ปัญญา โดยไม่เป็นทาสเหตุผลความนึกคิด

·       ความคิดหรือจิตเรา เราไม่ควรสร้างกำแพงหรือทำอาณาเขตพรมแดนเช่นเดียวกับแผนที่ภูมิศาสตร์ทางกายภาพ เราไม่ควรมีกรอบ เพื่อจะได้ไม่มีคำว่านอกกรอบหรือในกรอบ ทั้งหมดนี้เราสร้างขึ้นด้วยความไม่รู้ตัว  แต่เราควรใช้ความรู้ตัวในการทำลายสิ่งกีดกั้นนี้ออกไป

----------------------------------------------------------------

 

หมายเลขบันทึก: 246343เขียนเมื่อ 4 มีนาคม 2009 21:08 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:24 น. ()สัญญาอนุญาต: ครีเอทีฟคอมมอนส์แบบ แสดงที่มา-ไม่ใช้เพื่อการค้า-อนุญาตแบบเดียวกันจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (53)

สวัสดีครับ อ.ศิลา

ขออ่านเรียนรู้ครับ ไม่เก่งเรื่องถอดโจทย์ KM ครับ จะเข้ามาอ่านความคิดเห็นท่านอื่นๆต่อไปครับ ขอบคุณครับ

สวัสดีครับ คุณพี่ศิลาฯ

ฟังที่เล่ามา ก็แอบลุ้น

และเอาใจช่วยนะครับ

หากไม่ลองอะไรใหม่ๆ

ย่ำอยู่กับอะไรเดิมๆ

ชีวิตคงเซ็ง ไร้รสชาด ขาดการเรียนรู้

แล้วจะกลับมาติดตามเรื่องราวดีๆ อีกครับ

  • ทฤษฎีต่าง ๆ เกิดจากคนลองผิดลองถูก
  • การถอดโจทย์ก็น่าจะเหมือนกัน คิดอะไรไม่เหมือนใครและลองทำไปเรื่อย ๆ ก็คงถูกสักวัน
  • คิดตามกันไปได้ไง ในเมื่อโจทย์นั้นไม่ใช้คณิตศาสตร์ที่มีสูตรตายตัว
  • ใช้ได้ไหมครับ

อาจจะไม่ค่อยเข้าใจมากนัก เพราะหัวสี่เหลี่ยม

แต่เชื่อว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการถ่ายทอดความรู้ออกมาเป็นการย่นระยะเวลาในการเดินทางหาประสบการณ์ชีวิตทีเดียว

สวัสดีค่ะ

ใบไม้ แวะมาดูสูตรปรุงอาหารให้อร่อยเหาะค่ะ 

คุณ Sila Phu-Chaya  สบายดีนะคะ  

ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ.....  ขอให้กำลังใจให้มองเห็นความซับซ้อนที่ซ่อนอยู่ และสามารถแก้ปัญหาได้โดยเร็วค่ะ.....

สวัสดีค่ะ

  • พี่คิมเป็นกำลังใจให้นะคะ
  • ใจเย็น ๆ ค่ะ 
  • คล้าย ๆ กับมีงานดก..ไม่เซ็งดีค่ะ

เชียร์ด้วยคน รู้ว่ากำลังเพ่งจิต

สวัสดีค่ะ พอลล่าก็ได้เรียนรู้ด้วยค่ะ จากบันทึกนี้ บางครั้งก็เกิดปัญหาเหมือนที่พี่พูดมาเลยค่ะ

อิสระทางความคิด จิตไม่ปรุงแต่ง...

ขอบคุณครับผม...

งานที่มีความยากที่สุดในแง่ถอดโจทย์คืองาน "จัดการและพัฒนามนุษย์" เพราะไม่มีสูตรตายตัว และกลุ่มคนแต่ละคนหลากหลาย วัฒนธรรมยังมีเฉพาะกลุ่มอีก ไม่รวมกรณีในกลุ่มที่มีผู้นำทางความคิดแบบมองไม่เห็นตัว แต่น่าจะมาถูกทางแล้ว ที่ใช้วิธีอะไรก็ได้ดึงให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มใจ หรือไม่รู้ตัวแต่มาตามกระแส ก็ยังดี เอาไปเอามาก็คงมีส่วนร่วมจริง ๆ ..ประเด็นนี้ดีมาก

  • ถอดโจทย์ KM ที่เรารู้สึกว่ายากคงเพราะมันเกี่ยวข้องกับคนด้วยแหละค่ะท่านอาจารย์พันคำ P
  • ถ่ายทอดอะไรก็ต้องใช้กลยุทธ์ทั้งนั้น แต่การกระตุ้นให้คนเก่งประสบการณ์ (ไม่เก่งถ่ายทอดความรู้) ต้องบอกเล่าประสบการณ์ตัวเอง มันยากจริงๆ ต้องค้นหาว่าอะไรคือตัว Block ของแต่ละคนและค่อย ๆ แกะออกให้พวกเขา
  • ขอบพระคุณค่ะที่แวะมาให้กำลังใจทุกครั้งที่อาจจะกำลังจับต้นชนปลายอยู่

เจริญพร โยมsila

โยมมีทั้งความรู้และประสบการณ์มากท่านหนึ่ง

อาตมาอ่านบันทึกของโยมได้ความรู้ขึ้นเยอะ

แต่ไม่คุ้นกับภาษาอังกฤษเลยโยม

เจริญพร

  • ขอบคุณค่ะที่อุตส่าห์มาเยือนตอนดึก P 
  • เด็ก ๆ นอนหลับกันแล้วหรือคะ
  • บังเอิญพี่ศิลาเป็นคนประเภทในยึดติดกรอบค่ะ ตรงข้ามชอบแหกกรอบทฤษฎี โดยตั้งสมมติฐานว่าบางทฤษฎีน่าจะเหมาะสมกับตัวแปรบางกลุ่มหรือบางสถานการณ์
  • หากเราพบว่าอะไรใช้แล้วไม่เหมาะ ต้องรีบดัดแปลงทันทีค่ะ
  • การถอดโจทย์มนุษย์ ไม่เหมือนโจทย์คณิต วิทย์ เคมี จริงไหมคะ
  • ขอบพระคุณคุณก้างปลาค่ะ การถอดโจทย์การพัฒนาบุคลาการเพื่อให้เกิดการจัดการความรู้เป็นเรื่องท้าทายมากค่ะ
  • จริง ๆ แล้วศิลาไม่ได้มีหน้าที่นี้โดยตรง อาจจะงงว่าทำไมนำเสนอเรื่องนี้
  • เพราะเรื่องที่ทำอยู่เป็นประจำเราคุ้นเคยดีที่สุดและไม่ค่อยเกี่ยวกับคนมากนัก การถอดโจทย์ก็มักไม่ต้องนำมาขบคิดเท่าไร เป็นการแก้ไขปัญหาหน้างาน
  • งานนอกก็อย่างนี้แหละค่ะ ชอบเล่ามากกว่างานประจำ
  • ไม่เก่งเรื่อง ได้อ่ะหลอก (Dialogue)
  • คงไม่ใช่เรื่องหลอกๆ ที่เล่าให้กันฟังนะครับ
  • พอฟัง Dialogue แล้วเชื่อเลยหรือเปล่า ใช้หลัก กาลามสูตร มั้ยนี่ ถ้าใช้หลัก กาลามสูตร นี่ คือการคิดปรุงแต่งหรือเปล่า?
  • เพราะเคยได้ยินสำนวน ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ
  • คงไม่ใช่เรื่อง หรือประเด็นที่สำคัญ ที่จะมานั่งจับผิด Dialogue แต่ Dialogue ก็เป็นสิ่งที่ บิดเบือนได้
  • ทำอย่างไรให้ Dialogue ไม่เป็น ได้อ่ะหลอก?

ขออนูญาติแลกเปลี่ยนเรียนรู้เรื่อง Dialogueครับ

        ตอนผมเป็นผู้บริหารโรงเรียน  ผมเคยจัดประชุมแบบ Dialogue ครับ    ผลการประชุมปรากฏว่าพูดกันไปได้สักคนสองคน  ตอนหลังก็เงียบไปครับ ไม่มีใครพูด  ตอนหลังมีสมาชิกคนหนึ่งคงอึดอัดเต็มทีบอกว่า ไม่ต้องมีกฏกติกาอะไรหรอก  ให้ประชุมเหมือนเดิมดีกว่า (ผมให้ฟังก่อนพูดครับ  ก่อนพูด  ต้องทวนคำพูดของคนที่แล้วก่อน  และ  ห้ามตำหนิ ห้ามโจมตี  ห้ามโยนความผิด  ห้ามขวางความคิด)

      พอให้ประชุมเหมือนเดิม  ก็มีแต่คนพูดคนเดิมๆครับ  และพูดออกมาไสตล์เดิม คือ ข่ม ตำหนิ เกทับ กัน

        เสนอแค่นี้ก่อนครับ

  • จริงค่ะ คุณพระพาย หากเราฟังผู้รู้เล่า เราก็เรียนรู้ประสบการณ์ผ่านเขา เท่ากับย่นระยะเวลาในการรู้เรื่องนั้นไป หากเราเข้าถึงในสิ่งที่เขาพูดและนำมาใชักับเราได้เข้ากับสถานการณ์ค่ะ
  • ขอบพระคุณคุณครูคิมค่ะ P สำหรับกำลังใจเสมอมา
  • ศิลาไม่กลัวงานเข้า ...กลัวแต่งานออก...ออกมาไม่ดีค่ะ 5555

สวัสดีค่ะ พี่ศิลา แสนสวย

เป็นอีกคนหนึ่งที่แป๋มขอนำความเก่ง
มาเป็นตัวแบบของชีวิต....การใช้ชีวิต.......ที่มีคุณภาพ...นะคะ

  • ขอบคุณคุณ tatum ค่ะที่มาเรียนรู้ "เพ่งจิต" มากไปก็กลัวจะเป็นสะกดจิตตัวเองค่ะ
  • ทำอะไรทำด้วยความว่างไม่รู้สึกว่ากดดัน น่าจะดีกว่านะคะ และในความว่างนั้น เราก็มีจุดโฟกัสค่ะ

สวัสดีครับ พี่ศิลาฯ

พอดีผมพึ่งทำบันทึกในรูปแบบใหม่ฯ

เป็นบันทึกเล่าเรื่องด้วยคลิปวีดิโอ

ถ้าเน็ตที่บ้านเร็ว ว่างๆ ช่วยไปเยี่ยมชม

และขอเม้นท์แบบตรงๆ ไม่ต้องเกรงใจกันเลยนะครับ

http://gotoknow.org/blog/videostorytelling/246533

ขอบคุณครับ

  • ขอบคุณน้องพอลล่า หน้าตาดี P ที่แวะมาเยี่ยมค่ะ
  • ปัญหาคนไม่เปิดใจ หนักอก หนักใจจริง ๆ ค่ะ
  • วิธีเดียวคือเข้าถึงธรรมชาติของพวกเขาให้ได้ เขาก็จะเปิดใจค่ะ จริง ๆ มีแนวทางอยู่แล้ว แต่ยังนำมาใช้ไม่ได้ ต้องทำให้ผู้จัดร่วมกับเราเชื่อแบบเดียวกับเราเสียก่อน อันนี้ยากมากกว่าอีก เพราะอาจจะมีผู้จัดบางท่านยังติดทฤษฎีอยู่ค่ะ
  • ขอบพระคุณคุณ Mr. Direct P ที่แวะมาค่ะ
  • ทำยากค่ะ แต่ก็หวังว่าจะเกิดศิลปะของความคิดที่อิสระโดยจิตไม่ปรุงแต่งค่ะ  ถอดตัวตนออกก็เหมือนถอดเสื้อผ้า...ยอมกันได้ไหม?  ตอบคำถามคำว่า "ถอดโจทย์" ค่ะ

 

เรียน อ. Sila Phu-Chaya    ครับ

ก่อนอื่นต้องขอบคุณอาจารย์มากครับ บันทึกที่ปราณีตนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้และพัฒนามุมมองไปได้อีกไกลเลยครับ

วันนี้ผมได้รับการชักชวนจาก มูลนิธิฯ แห่งหนึ่ง มาทำงานในประเด็น Spiritual Development : SpD. และ การขับเคลื่อน SpD.ในครั้งนี้ ใช้ KM ควบคู่ไปด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาตนเองไปด้วยกับงาน และต้องขอบคุณหน่วยงานที่เขาให้เกียรติ ให้โอกาสผมมาร่วมช่วยคิดงานประเด็นใหม่  ผมมองว่าท้าทายความสามารถมากครับ

ประเด็นที่เราจะขับเคลื่อน เนื่องมาจากผมเคยเป็นวิทยากร Humanized health care มาช่วงหนึ่ง และงานครั้งนั้นผมใช้ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า ประสบความสำเร็จพอสมควร หากประเมินจากตัวเองซึ่งเป็นวิทยากร ก็พบว่า ผมนิ่งมากขึ้น ผมเรียนรู้จากภายในตนเองมากขึ้น...ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดี ส่วนเป้าหมายที่เคยทำ พวกเขาก็มีพัฒนาการที่ดีเช่นกันครับ

ประเด็นใหม่ที่ผมร่วมคิดครั้งนี้คือ Humanized Educ care ครับ เป้าหมายก็คือ งานทางด้านการศึกษา  ครับ หมายความว่า กระบวนการพัฒนาโดยมี KM เป็นเครื่องมือ และ ใช้ SpD. ร่วมไปด้วย

ประเด็นนี้ใหม่ และท้าทาย คิดว่าจะแลกเปลี่ยนกับ อ.ศิลา ในโอกาสต่อๆไปครับ

-----------------

ผมอ่านบันทึกนี้หลายรอบครับ และชอบมากกับ ความเห็นที่นำเสนอมากครับ ขออนุญาตตัดย่อหน้ามาอีกครั้ง

  • หากมนุษย์เรามีศีล สมาธิ ปัญญา ใกล้เคียงหรือเสมอกัน หรือยึดหลักธรรมนำชีวิต รับรองว่าทฤษฎีสูตรสำเร็จต่างๆที่ออกแบบกันมาใช้กับมนุษย์นั้น ขายไม่ออก...เพราะทุกคน "ตื่น รู้ตัวทั่วพร้อมอยู่เสมอ” นั่นคืออุดมคติใน  utopia ที่หลายท่านอยากเห็น
  • หากคนเราไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา ใกล้เคียงหรือเสมอกัน สิ่งที่พบคือบางคนหวาดระแวงหรือมีกลไกป้องกันตนเอง เวลานำศาสตร์หรือเครื่องมืออะไรมาใช้ ศิลาจึงอยากให้หลาย ๆ คนรู้สึก "เปิดใจ" กระบวนการเวทีสาธารณะแบบจิตอาสานำร่องจึงเกิดขึ้น ส่วนในเวทีนั้นกระบวนการ ไดอะหลอก เกิดหรือไม่   ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักอีกต่อไป 
  • เรียนรู้จากข้อคิดเห็นเหล่านี้ว่า กระบวนการพัฒนาจิต เป็นศาสตร์และศิลปะ รวมถึง ต้องมีทุนทางจิตใจที่งดงามเพียงพอ ในการที่จะเรียนรู้ เข้าใจ เปิดใจ

    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับบันทึกที่มีคุณค่าครับ

     

    ---------------------

    ขออนุญาต Add บล็อกของอาจารย์ลงใน Planet ของผมด้วยครับ

    อีกนิดนะครับ ..

    อ่านบันทึกของอาจารย์ มีความรู้สึกเหมือน เจอขุมทรัพย์ ที่มีคุณค่า อย่างนั้นเลยครับ

    ดังนั้น จึงขอให้กำลังใจในการเขียนเรื่องราวปราณีตแบบนี้ต่อไปครับ

     

    ถ้าพูดไปเสียแค่ 2ไพ+1 เบี้ย  ถ้านิ่งแล้วเสียตั้ง 1 ตำลึงทอง งั้นพูดก็ดีนะครับ

    :)

    • สวัสดีค่ะอ.ศิลา
    • ถ้าใจมา...เวลามี..เวทีก็เกิด..ใจไม่มา...เวลาไม่มี...เวทีก็ไม่เปิด น่าจะประสบปัญหาเดียวกันนะคะ
    • วันจันทร์ที่ 9 มีนาคม นี้ ก็จะไปร่วมเวทีแลกเปลี่ยนการปฏิบัติงานโดยนำเครื่องมือการจัดการความรู้ โดยวิทยากรจาก กพร.ค่ะ
    • แล้วจะมา ลปรร.ใหม่นะคะ
    • ขอบคุณสำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ค่ะ

    สวัสดีครับ  Sila Phu-Chaya  เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่าน ไปเยี่ยมให้กำลังใจคนป่วย  เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ โรงพยาบาลเหมือนบ้านอีกหลังหนึ่ง  เพราะยามเจ็บไข้ เราก็ได้พักพิง จะยากดีมีจน จะสูงส่งต่ำต้อย ทกรูปทุกนาม  ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องพึ่งพาคุณหมอ ต้องพึ่งพาโรงพยาบาล  ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำ ความปรารถนาดี ความห่วงใย ที่มอบให้กัน ขอให้ท่านและครอบครัวมีความสุขครับ

    เอามะม่วงพันธุ์  สาวกระทืบหอ มาฝากครับ  กำลังเปรี้ยวจี๊ด พอแก่เหลืองนิดๆมันครับ

    • ขอบพระคุณคุณsmall man~natadee  P ที่มาเล่าประสบการณ์จริง...และมันก็เป็นเรื่องจริงที่แก้ยากด้วยค่ะ
    • โดยส่วนตัว ศิลาอยากให้กลุ่มเข้าใจความแตกต่างทางบุคคลิกภาพของตนและคนอื่นก่อน แล้วจึงแลกเปลี่ยนตามวิธีคิดแบบที่ตนเป็นค่ะ
    • หมายถึงว่าแทนที่เราจะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เขาเป็น เราควรทำความเข้าใจในสิ่งที่เขาเป็นก่อนค่ะ และกระบวนทำความเข้าใจกันและกันมันมีเครื่องมือมาใช้ ขอเพียงมีโอกาส ศิลาจะทำให้ดูค่ะ รับรองเปิดใจกันได้แน่นอน
    • เปิดแล้ว ก็จะเห็น เห็นแล้วจะเข้าใจ เข้าใจก็จะมีเมตตา เมตตาแล้วจะนำไปสู่พัฒนาร่วมกันค่ะ

    แวะมาเยี่ยมคุณศิลา ขอบคุณความรุ้ที่ทำให้ๆด้รับนะคะ ระลึกถึงคุณศิลาเสมอค่ะ

    print ถอดโจทย์ ไปอ่านที่บ้าน นะครับ

    ขอบคุณ ครับ

    • ขอบพระคุณคุณเอกมากค่ะที่บรรจงให้ความเห็นที่มีคุณค่าเป็นเกียรติในบันทึกศิลาP
    • ขอยกความเห็นของคุณเอกมา Highlight อีกครั้งเพื่อSpiritual Development...
    • เรียน อ. Sila Phu-Chaya ครับ ก่อนอื่นต้องขอบคุณอาจารย์มากครับ บันทึกที่ปราณีตนี้ ทำให้ผมได้เรียนรู้และพัฒนามุมมองไปได้อีกไกลเลยครับ วันนี้ผมได้รับการชักชวนจาก มูลนิธิฯ แห่งหนึ่ง มาทำงานในประเด็น Spiritual Development : SpD. และ การขับเคลื่อน SpD.ในครั้งนี้ ใช้ KM ควบคู่ไปด้วย ซึ่งผมมองว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาตนเองไปด้วยกับงาน และต้องขอบคุณหน่วยงานที่เขาให้เกียรติ ให้โอกาสผมมาร่วมช่วยคิดงานประเด็นใหม่ ผมมองว่าท้าทายความสามารถมากครับ ประเด็นที่เราจะขับเคลื่อน เนื่องมาจากผมเคยเป็นวิทยากร Humanized health care มาช่วงหนึ่ง และงานครั้งนั้นผมใช้ความรู้สึกส่วนตัวมองว่า ประสบความสำเร็จพอสมควร หากประเมินจากตัวเองซึ่งเป็นวิทยากร ก็พบว่า ผมนิ่งมากขึ้น ผมเรียนรู้จากภายในตนเองมากขึ้น...ซึ่งเป็นพัฒนาการที่ดี ส่วนเป้าหมายที่เคยทำ พวกเขาก็มีพัฒนาการที่ดีเช่นกันครับ ประเด็นใหม่ที่ผมร่วมคิดครั้งนี้คือ Humanized Educ care ครับ เป้าหมายก็คือ งานทางด้านการศึกษา ครับ หมายความว่า กระบวนการพัฒนาโดยมี KM เป็นเครื่องมือ และ ใช้ SpD. ร่วมไปด้วย ประเด็นนี้ใหม่ และท้าทาย คิดว่าจะแลกเปลี่ยนกับ อ.ศิลา ในโอกาสต่อๆไปครับ -----------------
    • ประสบการณ์ของคุณเอกเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยากค่ะ การเปิดใจเรียนรู้พัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดยั้ง  การเข้าใจ เข้าถึง และพัฒนาที่รากแห่งปัญหา เท่ากับเปิดดวงตาดวงที่สาม ซึ่งมองเห็นสิ่งใหม่ในอีกมิติหนึ่ง
    • การจะบอกว่าเข้าใจโดยอธิบายด้วยทฤษฎีอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ   ถ้าหากว่าอธิบายด้วยจิตสัมผัสแล้วทำให้คนเข้าถึงได้ถือว่าเป็นนักพัฒนาค่ะ โดยคุณเอกก็ได้พิสูจน์ตรงนี้แล้ว
    • หากแวะเวียนมาที่บันทึกนี้อีก คำถามที่จะตั้งไว้รอเพื่อการแลกเปลี่ยนก็คือ คุณเอกมองการเชื่อมต่อ สอดประสานระหว่าง KM กับ SpD. อย่างไร 
    • ขอบพระคุณอีกครั้งสำหรับการ "มองเห็น" ในสิ่งเดียวกันค่ะ
    • ถอดโจทย์มนุษย์ไม่มีสูตรตายตัว...
    • เข้าใจครับ อย่าเชื่อในสิ่งที่ตำราบอก แต่ควรเชื่อในสิ่งที่เห็นเอง
    • ถึงขั้นหนึ่งของมนุษย์ ควรเรียนรู้ด้วยตนเองต่อยอด คิดแตกฉานจากตำรา ไม่ใช่อ่างตำรา ศาสตร์เล่มนั้นเล่มนี้ หรือสิ่งนั้นมาจากสิ่งนี้ อย่างนั้นไม่ "รู้จริง"
    • หากใครได้อ่าน แล้วนำไปขบคิดแตกละเอียด จะได้ประโยชน์จากการ "คิดเอง" มากกว่า อ้างตำรา กูรูทั้งหลาย
    • คนไทยควรฝึกคิดเอง สอนเด็กได้ ก็สอนตัวเองด้วยก็จะดี จึงอยากให้ ถอดโจทย์ด้วยตัวเอง...
    • ขอบคุณมากที่ทำให้ได้สติ

    คุณศิลาคะ ดีใจที่ได้อ่านบันทึกนี้ค่ะ ดีใจที่ได้พบคุณศิลาที่ G2K ด้วย โจทย์ที่ให้ (คุณศิลาอาจงงว่าให้ไปตอนไหน) ได้เก็บไปคิด แล้วก็คิดได้ ว่าจะทำอะไรต่อไป.

    สำหรับการทำ dialogue พบปัญหาเหมือนกันนี้เลยค่ะ ไม่อยากโทษอะไรใคร โทษตัวเองไว้ก่อน เพราะรู้จักตัวเองพอสมควร ว่าความจริงไม่ได้เหมาะเลยที่จะสวมบทบาทนี้ หน้าที่กระบวนกรที่สมบูรณ์ 100%  ทำได้บางส่วน แต่ได้พยายามจนที่สุดของที่สุด ซึ่งยังไม่ทราบหรอกค่ะว่า คำว่าที่สุดมันอยู่จุดไหนของเส้นทาง ก็พยายามให้ดีที่สุดตราบใดที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำ หรือหมดวาระลง

    อยากเป็นคนอิสระแบบคุณศิลาบ้างค่ะ แต่คงจะเริ่มต้นช้าไปมากแล้ว (คือเริ่มได้)

    โจทย์ที่ยาก จะมีวิธีตอบโจทย์อย่างไร น่าคิดมากเลยค่ะ ไม่รู้บันทึกที่ 39 ในบล็อก ฝึกฝนงานคุณ Fa จะเป็นหนึ่งคำตอบที่ได้จากการทบทวนตัวเองไหม  ดาวลูกไก่ยังมีโจทย์ยากมากที่อยากให้คุณศิลาช่วยถอดสมการให้นะคะ (จะถามไปหลังไมค์นะค่ะ)

    • คุณกวินรู้ใจเสมอ ...เมื่อใดก็ตามถ้านิ่ง มีนัยยะเยอะ
    • ฉะนั้น หากพูดเมื่อไร เรื่องนั้นย่อมมีความสำคัญอย่างแน่นอนค่ะ
    • ขอบพระคุณค่ะ ...เป้าหมายอะไรก็ตามที่ศิลาพูดออกไป โดยเนื้อแท้ แค่เสนอมุมมอง  ไม่ได้คาดหวังให้ใครเชื่อในสิ่งที่พูด เพียงแค่อยากให้ลองปฏิบัติดู และประจักษ์ด้วยตนเองค่ะ

    โจทก์เกี่ยวกับมนุษย์ก็ยากอย่างนี้แหละค่ะ โดยเฉพาะมนุษย์ที่ทำตัวเหมือนหุ่นยนต์

    สวัสดีค่ะ

    * แวะมาเป็นกำลังใจค่ะ

        

    * สุขกายสุขใจนะคะ

    • คุณเอื้องแซะ P กล่าวไว้ว่า
    • ถ้าใจมา...เวลามี..เวทีก็เกิด..ใจไม่มา...เวลาไม่มี...เวทีก็ไม่เปิด น่าจะประสบปัญหาเดียวกันนะคะ
    • เป็นข้อความที่ตรงใจมากค่ะ การคุณคุ่ากับเรื่องใด เวลาก็จะมาเอง  ...หากใจไม่ให้คุณค่า เวลาก็ไม่มี การถ้อยทีถ้อยอาศัย ก็ไม่มา
    • รอติดตามผลการร่วมเวทีแลกเปลี่ยนของวันนี่ 9 มีค ที่ผ่านมานะคะ
    • ขอบพระคุณค่ะท่าน นายประจักษ์~natadee  P
    • ช่วงนี้เห็นท่านไปโรงพยาบาลบ่อยเสมือนเป็นบ้านอีกหลังหนึ่ง และมุมมองที่ท่านมองโรงพยาบาลจากประสบการณ์ของท่านเป็นสิ่งที่มีค่าแก่ผู้อื่นมาก เพราะทุกคนต้องฝากตัวไว้ที่โรงพยาบาลกันทุกคนไม่ว่าวันหนึ่งวันใดของชีวิต
    • และท่านได้แสดงถึงความเป็นธรรมดา ธรรมชาติของการไปรักษา ทั้งใจที่สงบเป็นปกติ และโรงพยาบาลที่มีการดูแลเป็นอย่างดี
    • อย่างนี้คงไม่มีใครกลัวการเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วค่ะ คำพูดของคนเฒ่าคนแก่ที่เป็นตายยังไงก็ไม่เป็นโรงพยาบาล ก็คงไม่มีอีกแล้ว
    • ชื่อพันธุ์มะม่วงที่นำมาฝากก็ได้ใจแล้วค่ะ "พันธุ์สาวกระทืบหอ"
    • ไม่ทันไร รู้ใจกันแล้วนะคะเนี่ย  ขอไปหามีดมาฝานก่อนนะคะ

     

    ขอโทษที่ไม่สามารถเข้าระบบได้ค่ะ

    บันทึกนี้มีประโยชน์มากมายที่พอลล่าจะนำไปใช้กับงานค่ะ

    ปัญหา อุปสรรคในการทำสุนทรียสนทนามีปัญหาคล้ายๆ กับที่อ.เจอค่ะ กว่าจะทำให้ทุกคน ฟังอย่างตั้งงใจได้ ยากมากๆ ค่ะ FA ต้องเปิดใจ ไม่คาดหวัง ปล่อยวาง จะได้ไม่เครียดค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ พอลล่าจะเข้ามาศึกษาบ่อยๆ ค่ะ

    • คุณครูแป๋ม P มาทีไรนำลูกยอมาฝากทุกที ดีใจที่เห็นคุณครูแป๋มมาเยี่ยมค่ะ
    • พี่ศิลาชอบห่อหมกใบยอ คราวหน้านำใบยอมาฝากด้วยนะคะ อิอิอิอิ ไม่รู้จะแซวใคร แซวน้องสาวคนสวยนี่แหละ ถึงเปลี่ยนรูปใหม่ ก็จำใบหน้าสดใสได้เสมอนะคะ
    • ระลึกถึงน้องทรายชล P เช่นกัน
    • อยากแบกเป้ตามตะวันไปกับน้องทรายชลบางจัง รับสาววัยวุฒิสูงไปเป็นเพื่อนร่วมทางไหมคะ
    • สวัสดีค่ะคุณแสงศรี P นำโจทย์ไปถอดที่บ้านก็ดีเหมือนกันค่ะ อาจจะมองเห็นได้ลึกซึ้งกว่า เพราะมีความเป็นส่วนตัวดี...หมายถึงถอดโจทย์นะคะ
    • ได้อะไรจากการขบคิด นำมาฝากเป็นเคล็ดลับบ้างนะคะ ศิลาไม่อยากคิดคนเดียว เมื่อยสมองแล้วค่ะ อาศัยลปรร น่าจะปิ๊งกว่านี้
    • คุณbee กล่าวได้มีความหมายค่ะขอยกมานะคะ
  • หากใครได้อ่าน แล้วนำไปขบคิดแตกละเอียด จะได้ประโยชน์จากการ "คิดเอง" มากกว่า อ้างตำรา กูรูทั้งหลาย
    • โจทย์บางเรื่องอาจจะตั้งไม่เหมือนกัน แต่ละท่านควรตอบเองจริงไหมคะ

    ขอเวลาอ่านเงียบเงียบนะคะ...

    • สวัสดีค่ะคุณ ดาวลูกไก่ ชื่นชมยินดี P ขอยกคำกล่าวของคุณดาวลูกไก่มาอีกครั้งค่ะ
    • คุณศิลาคะ ดีใจที่ได้อ่านบันทึกนี้ค่ะ ดีใจที่ได้พบคุณศิลาที่ G2K ด้วย โจทย์ที่ให้ (คุณศิลาอาจงงว่าให้ไปตอนไหน) ได้เก็บไปคิด แล้วก็คิดได้ ว่าจะทำอะไรต่อไป
    • สำหรับการทำ dialogue พบปัญหาเหมือนกันนี้เลยค่ะ ไม่อยากโทษอะไรใคร โทษตัวเองไว้ก่อน เพราะรู้จักตัวเองพอสมควร ว่าความจริงไม่ได้เหมาะเลยที่จะสวมบทบาทนี้ หน้าที่กระบวนกรที่สมบูรณ์ 100% ทำได้บางส่วน แต่ได้พยายามจนที่สุดของที่สุด ซึ่งยังไม่ทราบหรอกค่ะว่า คำว่าที่สุดมันอยู่จุดไหนของเส้นทาง ก็พยายามให้ดีที่สุดตราบใดที่ได้รับความไว้วางใจให้ทำ หรือหมดวาระลง อยากเป็นคนอิสระแบบคุณศิลาบ้างค่ะ แต่คงจะเริ่มต้นช้าไปมากแล้ว (คือเริ่มได้)
    • โจทย์ที่ยาก จะมีวิธีตอบโจทย์อย่างไร น่าคิดมากเลยค่ะ ไม่รู้บันทึกที่ 39 ในบล็อก ฝึกฝนงานคุณ Fa จะเป็นหนึ่งคำตอบที่ได้จากการทบทวนตัวเองไหม ดาวลูกไก่ยังมีโจทย์ยากมากที่อยากให้คุณศิลาช่วยถอดสมการให้นะคะ (จะถามไปหลังไมค์นะค่ะ)
    • ดีใจจังค่ะ อย่างน้อยเราก็เห็นเหมือนกันว่ามีโจทย์เกี่ยวกับ Dialogue ต้องแก้
    • สิ่งที่ศิลาแก้คือตัวศิลาเองค่ะ เมื่อเราต้องสวมบทบาทอะไร บางครั้งสิ่งที่เราอยากจะใช้ อยากจะทำเป็นอย่างหนึ่ง แต่ศิลาสามารถทำความเข้าใจธรรมชาติกลุ่มและทำในอีกแบบหนึ่งได้
    • ไม่ใช่ว่าไม่เป็นตัวของตัวเอง
    • แต่ในเรื่องคนอื่นคิดไม่เหมือนเรา เข้าใจต่างจากเรา เราก็ต้องรอเขาค่ะ และการรอของเราก็ต้องอ่อนโยน อ่อนน้อม รับฟังเขาให้มาก ๆ
    • ศิลามีพี่ที่อาวุโสอายุมากกว่า ซึ่งศิลาต้องนำเขา...รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งที่เขาเข้าใจมันไม่ใช่...ก็ต้องรอและให้โอกาสเขาทำดู เพราะเขาดื้อ เขารั้น...
    • ช้าหน่อย กว่าจะเข้าใจและตามทางเรา...ก็ต้องรอ...
    • โจทย์ใด ๆ ยากง่ายหรือไม่ อย่างไร ให้เริ่มแก้ที่ "ตัวเรา" ดีที่สุดค่ะ
    • สวัสดีค่ะคุณกอไผ่ P 
    • ส่งคำคมมาบาดใจอีกแล้วค่ะ
    • หากเป็นหุ่นยนต์จริง ๆ ในบริบทนี้ ไม่น่าจะแก้ยากนะคะ เพราะเราป้อนข้อมูลอะไรก็ได้
    • หรือถ้าเป็นหุ่นยนต์เกเร โปรแกรมรวนก็ว่าไปอย่าง  อย่างนั้นแล้วเราคงต้องค่อย ๆ แก้ค่ะ
    • โจทย์ที่ยากที่สุดคือเราผู้เป็นคนแก้ท้อเสียก่อนมากกว่าค่ะ
    • ขอบพระคุณคุณพรรณา P ค่ะ
    • วันนี้ศิลาตอบความเห็นในบันทึกของตนเอง เห็นคุณพรรณาเกือบทุกบันทึก ดีใจแก้มปริเลยนะคะนี่
    • ถ้าไม่เห็นบันทึกไหน หงอยเลยค่ะ
    • สุขใจที่ได้กำลังจากคุณพรรณาค่ะ
    • ยินดีต้อนรับน้องพอลล่า หน้าตาดีค่ะ ย ขอยกคอมเม้นท์ของน้องพอลล่ามาอีกครั้งนะคะ

    ขอโทษที่ไม่สามารถเข้าระบบได้ค่ะ

    บันทึกนี้มีประโยชน์มากมายที่พอลล่าจะนำไปใช้กับงานค่ะ

    ปัญหา อุปสรรคในการทำสุนทรียสนทนามีปัญหาคล้ายๆ กับที่อ.เจอค่ะ กว่าจะทำให้ทุกคน ฟังอย่างตั้งงใจได้ ยากมากๆ ค่ะ FA ต้องเปิดใจ ไม่คาดหวัง ปล่อยวาง จะได้ไม่เครียดค่ะ เป็นกำลังใจให้นะคะ พอลล่าจะเข้ามาศึกษาบ่อยๆ ค่ะ

    • บอกตามตรงว่าพี่ศิลาเป็นมือสมัครเล่นเรื่อง Dialogue ค่ะ
    • แต่มีความเชื่อมั่นในเรื่องการรู้จักลักษณ์ตามศาสตร์นพลักษณ์ค่ะ
    • พี่ศิลาอยากถือโอกาสนี้อธิบายคร่าว ๆ เผื่อผู้อ่านท่านใดสนใจเรื่องนี้ และมาอ่านเป็นการแลกเปลี่ยนร่วมกัน
    • นพลักษณ์อาจมีที่มาจากตะวันออกกลางโดยโซฟี แล้วไปบูมที่ยุโรป แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นของการศึกษาเรื่องนี้ เพราะแก่นของการศึกษานพลักษณ์คือ "การสังเกตตนเอง"
    • นพลักษณ์เกิดจากการรวบรวม "การบันทึกเกี่ยวกับการอธิบายตนเอง" หรือเป็น "การถ่ายทอดจากคำพูดที่คนเราอธิบายเกี่ยวกับตัวเองค่ะ" จากจำนวนคนนับล้าน ๆ คน  จนจัดประเภทแยกกิเลสได้ 9 ประเภท ซึ่งคือที่มาที่ทำให้คนมีพฤติกรรมต่างๆ
    • เรื่องนี้ละเอียดอ่อนที่สุดตั้งแต่พี่ศิลาศึกษามาค่ะ พี่ศิลาไม่ได้เน้นตำรา แต่เน้นการสังเกต  สังเกตตนเองก่อน แล้วเราจะพบหลักที่จะสังเกตผู้อื่น
    • สังเกตผู้อื่นไม่ใช่เพื่อการจับผิดถูก แต่เพื่อความอ่อนน้อม อ่อนโยนที่จะเข้าใจเขาค่ะ แล้วจะเห็นเลยว่าทำไมเขาจึงทำแบบนั้น เราไม่ตัดสินเพียงแต่คำพูดไม่กี่คำที่เขาพูด หรือการแสดงออกไม่กี่อย่าง...เพราะเราเข้าใจไปที่แรงขับที่ทำให้เขาพูด เขาทำออกมา
    • ยกตัวอย่างง่าย ๆ คนใกล้ตัวพี่ศิลามีกิเลสโกรธ ...เพราะเขาต้องการให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ...เราก็ค่อย ๆ ปรับตัวไปด้วย และแนะนำเขาไปเรื่อย ๆ ด้วยว่า "พอไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่เราต้องการ คนเครียดก็คือเธอใช่ไหม...ในขณะที่เราจู้จี้ให้คนอื่นเป็นแบบนั้น เราก็ต้องลดความคาดหวังลงด้วย"
    • ตอบยาวเกรงว่าจะปวดสายตาน้องพอลล่า
    • สรุปก็คือ พอพี่ศิลามีหลักการเข้าใจลักษณ์ต่าง ๆ แล้ว เวลามีใครมาแสดงอารมณ์ประเภทใดไม่ดีกับพี่่ศิลา
    • พี่ศิลาก็ไม่รู้สึกไปกับอารมณ์ที่เขาโยนมา เพราะเราเข้าใจว่าทำไมเขาจึงเป็นแบบนั้นค่ะ..มองข้ามสิ่งที่เขาโยน แต่มองเห็นว่าทำไมเขาโยน และเข้าใจเขา.. เสมือนเราเป็นศิลา (เชียร์ชื่อตัวเอง) เพราะเราก็เข้าใจตัวเองเช่นกัน
    • นพลักษณ์จึงไม่ได้มาแทรกแซงการ รู้จักตัวตน หรือรู้จักคนอื่นเพราะมันคือสิ่งที่บันทึกตัวตนของแต่ละคนออกมาถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือ  หากเราปฏิเสธบันทึกเกี่ยวกับตัวมนุษย์ก็เท่ากับเราปฏิเสธตัวเอง...งงเองค่ะ
    • สรุปก็คือหากเรารู้จักศาสตร์อะไรก็ตาม (เปิดกว้าง) ที่อธิบายตัวตนของมนุษย์ ก็จะช่วยให้เราง่ายขึ้นต่อการเข้าใจตนเองและผู้อื่นค่ะ
    • เมื่อมีศาสตร์และศิลป์ในเรื่องนี้แล้ว ...Dialgue ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ..ที่มันยาก ก็อย่างที่น้องพอลล่าบอกแล้วคือว่าเราไปคาดหวัง มันก็เลยยากขึ้นมาทันที
    • ปล่อยให้วงสนทนาเป็นไปอย่างธรรมชาติ...จะเห็นความงดงามในแต่ละสไตล์ของวงสนทนาที่คำตอบย่อมแตกต่างกัน เนื่องจากความหลากหลายของคนที่มาอยู่รวมกันค่ะ
    • สวัสดีคุณ add P 
    • อ่านที่ไหนคะ อยากตามไปแอบอ่านใกล้ ๆ จะได้กระเซ้าเย้าแหย่ค่ะ  ไม่อยากให้อยู่คนเดียว...เป็นห่วงรู้ไหม...

    สวัสดีคะคุณศิลา

    คุณค่าของบันทึกที่นำมาถ่ายทอด

    เป็นประสบการณ์ที่ดีและทำให้เข้าใจมากขึ้น

    คงต้องขอความรู้จากคุณศิลา ในการจัดการความรู้และKM

    ที่ยังต้องศึกษาอีกมาก

    ขอบคุณคะ

    คำกล่าวที่ว่า "มองข้ามสิ่งที่เขาโยน แต่มองเห็นว่าทำไมเขาโยน"

    ของคุณ Sila Phu-Chaya คงต้องผ่านความเข้าใจและการฝึกฝนมานานนะคะ อยากทราบกระบวนการคิดแบบนี้ค่ะ งงคำถามไหมคะ ดิฉันยังงงเองเลยค่ะ ตอบตามที่เข้าใจคำถามแบบงงของดิฉันก็ได้ค่ะ

    ชอบค่ะ "หากเราปฏิเสธบันทึกเกี่ยวกับตัวมนุษย์ก็เท่ากับเราปฏิเสธตัวเอง"

    ขอบคุณค่ะ

    • ขอบพระคุณคุณประกายPที่มาร่วมถอดโจทย์ค่ะ
    • ตั้งใจ แต่ไม่ตั้งเป้า น่าจะเป็นสุนทรียสนทนาที่งดงามนะคะ
    • เชื่อว่าสุดท้ายแล้ว แต่ละคนมีคำตอบเป็นของตนเองค่ะ
    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท