การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เราทุกคนคงยอมรับว่าไม่มียุคสมัยใดที่การเปลี่ยนแปลงจะรวดเร็วและมีผลกระทบรุนแรงเท่าในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงได้สร้างหายนะให้กับองค์กรหลายแห่ง ไม่เว้นแม้กระทั่งองค์กรที่เคยประสบความสำเร็จมาในอดีต ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงก็ได้สร้างโอกาสใหม่ ๆ ให้กับหลายองค์กรเช่นกัน ประเด็นเรื่อง การอยู่รอด และ การเปลี่ยนแปลง เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันโดยตรง ดังคำกล่าวของ ชาร์ล ดาร์วิน ที่ว่า "ผู้ที่อยู่รอด มิใช่เป็นสายพันธ์ (Species) ที่แข็งแรงที่สุดหรือฉลาดที่สุด หากแต่ว่าเป็นผู้ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก"
ดังนั้นเราจะต้องปรับเปลี่ยนองค์กรให้ได้มาซึ่ง โครงสร้าง องค์กรที่แบนราบ (Flat) ไม่สลับซับซ้อนไม่มีลำดับชั้นมากมาย เป็นองค์กรที่มีความยืดหยุ่น (Flexible) เป็นการบริหารงานโดยผ่านกระบวนการ (Process) อาศัยการทำงานแบบร่วมกันเป็นทีม แทนการบริหารงานแบบดั้งเดิมที่เน้นการดำเนินงานตามสายงาน (Function) เป็นหลัก ทำอย่างไรผู้บริหารถึงจะเข้าใจว่า ระบบ ขององค์กรโดยแท้จริงแล้วเป็นระบบที่มีชีวิต เป็นระบบที่เปิด (Open System) ที่จำเป็นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เป็นระบบที่จริงๆแล้วไม่อาจเขียนแทนได้ด้วยผังการไหลของงาน (Flowchart) หรือถ่ายทอดทุกอย่างผ่านคู่มือการดำเนินงาน (Procedure) หากแต่ว่าเป็นระบบที่ประกอบด้วยชีวิต จิตวิญญาณ ความรู้สึก ความสัมพันธ์ระหว่างกัน ที่มิอาจถ่ายทอดออกเป็นตัวหนังสือ หรือเขียนออกมาอยู่ในรูปแบบของเอกสารได้ทั้งหมด
การสร้างการเปลี่ยนแปลงในเรื่องดังกล่าวคงจะไม่ใช่เรื่องที่ง่าย หากเรายังใช้แต่หลักทางด้าน การจัดการ (Management) อยู่ เพราะการจัดการนั้นจริงๆแล้วใช้ได้ผลดีเฉพาะกับสิ่งที่เป็นสิ่งของ (Things) เท่านั้น แต่เรื่องการเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคน ตัวอย่างเช่น เวลาเราพูดถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร ก็เป็นเรื่องของคน การปรับเปลี่ยนระบบก็เกี่ยวกับคน การนำเทคโนโลยีมาใช้ก็เกี่ยวกับคนเช่นกัน ซึ่งเรื่องของคนนั้นหากจะให้ได้ผลแล้วจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า ภาวะผู้นำ (Leadership) มากกว่าที่จะใช้การจัดการ ภาวะผู้นำหรือความสามารถในการนำนี้ ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงสำเร็จ หลายคนบอกว่าการนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงนั้น ควรจะต้องเริ่มต้นด้วยวิสัยทัศน์ที่ชัดและจูงใจก่อนเป็นอันดับแรก เพราะนั่นคือการกำหนดทิศทาง เป็นการวางเป้าหมายสำหรับอนาคต แต่สำหรับผมแล้วผมกลับเห็นว่า การสร้างศรัทธาต่างหากที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้การนำนี้สำเร็จ เพราะจากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมพบว่าแม้วิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นมานั้นจะดึงดูดและชวนให้ตื่นตาตื่นใจสักเพียงใดก็ตาม แต่หากคนทั่วไปไม่ยอมรับนับถือหรือศรัทธาในตัวผู้นำแล้ว วิสัยทัศน์ที่วางไว้นั้นก็มักจะไร้ความหมาย ไม่มีน้ำหนัก ปราศจาก Momentum แต่ในทางตรงกันข้าม ถึงแม้วิสัยทัศน์หรือเป้าหมายที่กำหนดไว้อาจจะดูไม่ดึงดูดใจเท่าที่ควร แต่ถ้าหากคนมีความชอบ ความเชื่อ หรือศรัทธาในตัวผู้นำแล้ว การเปลี่ยนแปลงนั้นๆ ก็มีโอกาสที่จะสำเร็จได้มากทีเดียว
ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในการบริหารการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงมักจะมีการต่อต้าน ดังนั้นความสำเร็จของการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาจึงขึ้นอยู่กับภาวะผู้นำ ทักษะและวิธีการที่ผู้บริหารใช้ในการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารจึงจำเป็นต้องมีวิสัยทัศน์ หากดูพฤติกรรมการบริหารการเปลี่ยนแปลงของผู้บริหารออกเป็น 3 แบบ คือ ผู้ตอบสนอง(responder) ผู้จัดการ(manage) และผู้ริเริ่ม(initiator) พบว่า สถานศึกษาที่ผู้บริหารมีพฤติกรรมการบริหารการเปลี่ยนแปลงแบบผู้ริเริ่มมีผลต่อประสิทธิผลของสถานศึกษามากกว่าผู้บริหารที่มีพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงอีก 2 แบบ โดยผู้บริหารแบบริเริ่มมีพฤติกรรมการบริหารการเปลี่ยนแปลง ดังนี้
1)พยายามปรับสถานศึกษาให้สอดคล้องกับความคาดหวังของชุมชน พยายามประสานประโยชน์ให้เกิดแก่โรงเรียน
2)รวมรวมข้อมูลต่าง ๆ จากครูและชุมชนเพื่อให้เข้าใจถึงสิ่งที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง
3)ส่งเสริมให้ผู้เกี่ยวข้องมีความรู้เกี่ยวกับแนวทางการแก้ปัญหา
4)มีขั้นตอนและกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน
5)ติดตามผลที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิด
6)ให้ข้อมูลย้อนกลับแก่ผู้เกี่ยวข้องเพื่อเปรียบเทียบแผนงานที่วางไว้และพฤติกรรมที่คาดหวัง กับสิ่งที่เกิดหลังจากการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นผู้บริหารสถานศึกษา ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงที่มีคุณภาพให้เกิดขึ้นในองค์กรท่านจะต้องมีพฤติกรรมการบริหารการเปลี่ยนแปลงแบบริเริ่ม น่ะครับ..
เอกสารอ้างอิง
"ผู้นำกับการบริหารการเปลี่ยนแปลง".[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://202.143.134.120/super1/km/ change1.doc
"ภาวะผู้นำและการเปลี่ยนแปลง" .[ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก http://www.aircadetwing.com/ index.php?lay=show&ac=article&Id=538658960&Ntype=4
ไม่มีความเห็น