สงสารเจ้าโฉมดาวที่พราวฟ้า


สงสาร

                       

สายลมกระหน่ำพัด             ก็สาดซัดเข้าถาโถม             

จาบจ่วงเข้าจู่โจม                                  บ่มิหยุด ณ คำคาว

รวดร้าวหทัยเหลือ               ก็ระเอือระอาดาว                

ค้างฟ้าอยู่บนหาว                                 บ่มีไผสิเก็บกิน

ดาวสวยก็กลายแก่                ก็ระยะแท้ก็เห็นสิ้น            

ชั่วช้าด้วยราคิน                                    บ่มิไผไปคว้าเอา

โฉมดาวเคยพราวสวย         ก็ดับด้วยซึ่งความเขลา        

กักขฬะและมัวเมา                               เรื่องของกูตัวของกู

ชิดใกล้สัทธรรม                   กลับน้อมนำมารสิงสู่         

สงสารเจ้าโฉมตรู                                บ่มิรู้สิพึ่งไผ

เกลือกลั้วกับดวงจิต             วิปริตหนอดาวใส               

โทษใครเล่าผิดใคร                              ถ้าบ่ใช่ตนเองทำ

ผิดตนบ่มิเห็น                       ผิดอื่นเป็นต้องถลำ             

ซ้ำเหยียบให้จมจำ                                พสุธาที่อาศัย

เขานบบ่นอบรับ                  ประจานกลับทำเรื่องใส่    

นานาประดังภัย                                   จะผลักไสออกจากตน

ใครเล่าจะค้าคบ                   วาจาตบซึ่งโสตคน             

ใครเล่าจะให้ปน                                  เป็นหมู่เหล่าและกลุ่มกอง

สงสารเจ้าดาวใส                 เจ้าแสนร้ายเหลือเกินน้อง

ใครเล่าจะเคียงครอง                           เป็นคู่ปองตราบชีวิน

ทุกครั้งที่ลมถ่อ                     ก็นึกต่อถึงดาวสิ้น               

ยามใดจะยลยิน                                    ว่าดาวร้ายกลายเป็นดี

ปลดปล่อยความโง่เขลา      ของตัวเจ้าทิ้งสักที               

ถือตัวยโสนี้                                           ก็ละเถิดจะพองาม

รักเพื่อนที่รายล้อม               รู้จักน้อมเมื่อเขาถาม           

ละความสันดานทราม                         ที่เหลืออยู่ให้หายไป

ปลอบใจเข้าใจคน               ด้วยว่าตนเป็นดาวใส         

ส่องกมลคนทั่วไป                               ให้สมสุขสวัสดี

ดาวเป็นแม่พิมพ์ชาติ           แต่ร้ายกาจกว่ากาลี              

หากละข้อเหล่านี้                                 ปฐพีคงสูงคืน

จบกล่าวสิบหกบท               เป็นกำหนดใช่คิดอื่น         

อุดมการณ์จะยั่งยืน                              ด้วยมองเห็นซึ่งความจริง ๚๛

หมายเลขบันทึก: 245394เขียนเมื่อ 27 กุมภาพันธ์ 2009 22:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 20:22 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (3)

สงสารเจ้าดาวใส                    ฤตั้งใจอวดโฉมฉาน

ซับแสงอาทิตย์ผ่าน                 แล้ววับวามยามค่ำคืน

คิดหลงดาวแพรวพราว              หัวอกร้าวยากหักฝืน

โอบห้อมแทบดูดกลืน               เมื่อดาวมืดโทษ"ดาว"ไย

ร่วมแจมนิดค่ะ

ดาวเอ๋ย พราวพร่างฟ้า

ส่องทั่วหล้า อวดโฉมงาม

แสงเย็น ยวนยั่วยาม

ราตรีเยือน วิบวับวาว

ไขว่คว้า เจ้าเชยชม

พอสุขสม ก็เหินหาว

ปล่อยดาว ล่องลอยราว

ควะเคว้งคว้าง กลางนภา

ผิดดาว หรือไฉน

ใยถึงไม่ ตริตรองหนา

งดงาม ละลานตา

สิได้มา จากวังวน

ผู้หลง เพลินชมเล่น

นั่นแหละเป็น ด้วยเล่ห์กล

หลอกลวง มารยาปน

กามาล้น ขืนข่มทราม

รักษาสุขภาพนะครับ

ขอบคุณครับคุณthassana wong  ที่เข้ามาเยี่ยมชมระเบียงจันพร้าว  ขอให้บุญรักษานะครับ

ในบท

"ไขว่คว้า เจ้าเชยชม

พอสุขสม ก็เหินหาว

ปล่อยดาว ล่องลอยราว

ควะเคว้งคว้าง กลางนภา "

เข้าใจว่าคำนี้มาจากคำว่า  "เคว้งเคว้ง"  ซึ่งต้องอัพภาสเพื่อให้คำงดงาม  เช่น  เยือกเยือก  เป็น  ยะเยือก     รินริน   เป็น  ระริน   คว้างคว้าง  เป็น  คะคว้าง  เป็นต้น  คำว่า  เคว้งเคว้ง  จึงน่าจะเป็น  "คะเคว้ง" 

แต่ด้วยความรู้อันน้อยนิดของผมอันนี้ไม่รู้ว่าจะถูกต้องหรือไม่  หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท