PMI เครื่องช่วยตัดสินใจ
PMI ไม่ใช่เครื่องมือใหม่...แต่เป็นสิ่งที่เราทุกคนมีอยู่แล้วครับ...
แต่ไม่ได้เอาออกมาพิจารณาจริงเสียที
มองแต่ภาพกว้างๆ หรือเรียกให้ทันสมัยหน่อยก็คงเป็นคำว่า มองแบบองค์รวม
หรือที่เราคุ้นเคยกับคำว่า Holistic
PMI จัดว่าเป็นเครื่องช่วยให้การตัดสินใจมีความชัดเจนขึ้น เกิดการพิจารณาเป็นระบบ
ไม่ตัดสินใจเพียงแวบเดียว
โดยเฉพาะในเรื่องขององค์การด้วยแล้ว
เป็นเครื่องช่วยอย่างง่ายๆ และสามารถที่จะนำไปใช้ได้ทุกๆ สถานการณ์ครับ
P = Plus = เชิงบวก/ ด้านบวก/ ผลดี
เป็นการขบคิดปัญหาในเชิงบวก ว่า สิ่งที่เรากำลังตัสินใจจะทำอะไรนั้น
สามารถส่งผลกระทบด้านบวกอย่างไรบ้าง
หรือพูดให้สั้นให้ง่ายคือ ข้อดีนั่นเอง
M = Minus = เชิงลบ/ ด้านลบ/ ผลเสีย
ขบคิดปัญหาว่า สิ่งที่ทำออกมาแล้ว...
มีผลกระทบหรือเกิดปัญหาแก่สภาพแวดล้อมต่างๆ อย่างไร
ซึ่งก็ต้องใช้รูปแบบของการ Brainstorming ในการวิเคราะห์ปัญหาด้านลบครับ
เพราะดูทีท่าว่าจะส่งผลกระทบสูงกว่าด้านบวกเสียด้วยซ้ำ
I = Interesting = ความน่าสนใจ
มีปัญหาและผลที่ได้รับแล้ว
และสุดท้ายที่เราจะพิจารณาคือ...
สิ่งที่กำลังจะทำในอนาคต...น่าสนใจเพียงใด...
กำลังเป็นที่ต้องการหรืออยู่ในความสนใจหรือไม่
ซึ่งหากใช้ในแง่ของการตลาดมาวิเคราะห์ก็จะต้องลงลึกไปอีกครับ
คงต้องปล่อยให้นักการตลาดลงมือพิจารณาและตรวจสอบเอง...
ผมแนะนำว่า ทั้งสามหัวข้อ ถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ควรเขียนลงในกระดาษครับ
และก็ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้น...เรื่องอะไรก็ตามที่เราคิดได้
อย่าปล่อยเฉยๆ รีบจดลงสมุดให้เรียบร้อย
เพราะความคิดดีๆ มักจะมาอย่างเลือนลาง...
หากไม่รีบจด...อาจจะหายในบัดดลครับ...
และเพื่อความไม่ประมาท...อย่าดีใจรีบบอกใครๆ เสียก่อน
เพราะหากเราบอกผู้ที่หวังดีก็เป็นกำลังสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนให้สิ่งที่คิด
ก้าวหน้าได้รวดเร็ว (Good Teamwork)
หากไปพบประเภทจอมขโมยซีน ด้วยละก็...เราจะต้องเหนื่อยอีกหลายเท่าครับ...
เพราะเขาจะเร่งทำตามไอเดียของเราทันที...
แล้วเราก็ต้องมานั่งคิดต่อยอดให้เก่งกว่าที่ผู้จอมขโมยกำลังลงมือทำ
เจอแบบนี้เหนื่อยนะครับ...แต่มองให้ด้านบวกคือ
ฝึกให้เรารู้จักพัฒนาความคิดได้รวดเร็ว...
เพราะฉะนั้น...
คิด...เขียน...ทำ...พูด ไล่ลำดับตามนี้
ดูท่าจะเหมาะที่สุดในยุคสมัยแห่งการแข่งขัน!!!
ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีดีค่ะ