ตอนเด็กๆ เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ทำไมเราต้องทำบุญ ทำไมพ่อ-แม่เราถึงได้ให้เราไปทำบุญบ่อยๆ ทำแล้วเราจะได้อะไร แต่ก็ไปนะ ถึงแม้บางครั้งจะมีบ้างที่ไม่ค่อยจะเต็มใจ ตามประสาเด็ก พอโตขึ้นมาก็ยังคงมีคำถามอย่างนี้อยู่ในหัวตลอด จนวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันได้พบคำตอบ จากคำถามที่เฝ้าถามมานาน วันนั้นเป็นวันที่แย่วันหนึ่ง มีสิ่งที่ทำให้รู้สึกขัดอกขัดใจ คับข้องใจ โกรธ น้อยใจ ไม่สบายใจ คิดไม่ตกไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร สารพัดที่จะรู้สึกแย่ๆ ขึ้นมาได้ในขณะนั้นได้แต่นั่งถอนหายใจเพราะรู้สึกตัวเองอึดอัดจนหายใจไม่ออกตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ออกซิเจนก็ยังมีอยู่รอบๆ ตัวมากมาย และด้วยความไม่สบายใจนี้ทำให้นึกถึงคำ คำหนึ่งที่มีคนเคยบอกเราไว้ คือ “ไปทำบุญสิ จะได้สบายใจ” ทำให้เราฉุกคิดว่า เออ จริงสินะ ลองไปดูไหนๆ ก็อารมณ์ไม่ดีแล้วนี่นา
ไปถึงที่วัดก็ได้บูชาพระรัตนตรัย สวดมนต์สรรเสริญคุณของพระรัตนตรัยเสร็จ นั่งสมาธิประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงได้น้อมนำดอกไม้บูชาพระพุทธรูป ซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในช่วงที่ตั้งใจกระทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ ก็ลืมเจ้าสิ่งที่คิดว่ามันเป็นปัญหาสำหรับตนเองอย่างมากไปแล้ว พอออกมาจากตรงนั้น เอ๊ะ ! ทำไมเราถึงรู้สึกโล่ง สบายใจ หายใจได้เต็มที่ ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาอะไร แตกต่างจากตอนที่มาอย่างเห็นได้ชัด “เพียงแค่หยุดใจ” เท่านั้น ผลบุญที่ได้กระทำส่งผลอย่างรวดเร็วต่อจิตใจของเราได้ขนาดนี้เชียวหรือ
นั่นเป็นเพราะ"บุญ" คือเครื่องกำจัด เครื่องชำระบาปอกุศล ภายในใจของเรา และยังประโยชน์ทั้งในโลกนี้ คือทำให้กาย วาจา ใจ ของเราบริสุทธิ์ ไม่คิดเบียดเบียนใคร อีกทั้งบุญยังเป็นเสบียงที่จะติดตามตัวเราไปในโลกหน้าอีกด้วย
ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกว่า “บางอย่างเห็นได้ด้วยตา แต่บางอย่างเห็นได้ด้วยใจเท่านั้น” คุณว่าจริงไหมคะ
สาธุกุศลจิตค่ะ
"บุญ" คือเครื่องกำจัด
เครื่องชำระบาปอกุศล
ทำให้กาย วาจา ใจ ของเราบริสุทธิ์
ไม่คิดเบียดเบียนใคร
เป็นเสบียงที่ติดตัวไปในโลกหน้า
เรียกว่าทำแล้วได้กุศลจิต ตัดกิเลศ ลดกิเลศ ลดได้ใจก็สบาย ไม่ต้องร้อน
ประโยคที่ว่า "บางอย่างเห็นได้ด้วยตา แต่บางอย่างเห็นได้ด้วยใจเท่านั้น" เห็นด้วยที่สุด
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ
อยากทำบุญไว้เยอะๆเหมือนกัน
อยากช่วยเหลือผู้อื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก
อยากให้ประเทศของเรามีแต่สิ่งดีๆ
รักกันทั้งประเทศ
มาร่วมทำบุญกันเยอะๆนะคะ