สถาบันอุดมศึกษา
เรียกหาภูมิปัญญาไทย
(ตอนที่ 2) เก็บภาพมาฝาก
เมื่อสถาบันเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้
โดยประสบการณ์ตรง สัมผัสกับความจริง
ผมได้รับการติดต่อจากนักศึกษาหลายต่อหลายคณะ บางกลุ่มเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย บางกลุ่มเรียนในคณะแพทย์ พยาบาล นิเทศศาสตร์ ศิลปะและอื่นๆ ไปจนถึงในสถาบันที่รอง ๆ ลงมาและไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมาจากที่ไหนเขาคือคนไทยที่เห็นคุณค่าของแผ่นดิน ความสวยงามและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติดำเนินสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน จนเป็นเอกลักษณ์ที่มีความโดดเด่นได้ก็ด้วยภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แทรกอยู่ในทุกหัวระแหง หากได้ย้อนกลับไปมองอดีตเพื่อนำเอามาเป็นข้อมูลในการเชื่อมต่อกับปัจจุบันไปจนถึงอนาคต ก็น่าที่จะเกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้น
การที่กลุ่มคนซึ่งอยู่ในวัยกำลังศึกษา หันกลับมารับรู้เรื่องราวในอดีตอันเป็นรากเหง้าของแผ่นดินไทย ณ จุด ๆ หนึ่งหรือในท้องถิ่นของประเทศไทย สิ่งที่เยาวชนกลุ่มนั้นจะได้รับ คือ วิถีชีวิตที่เรียบง่าย แต่สามารถแก้ปัญหา และเอาตัวรอด สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่ได้อย่างอดออมและพึ่งตนเองได้ มีความสุขตามอัตภาพ (ความเป็นตัวตน, ความเป็นจริง) อย่างน้อยๆ ก็ได้เห็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิตของคนวัยสูงอายุที่มิได้ย่ำอยู่กับที่ มีการดิ้นรนต่อสู้ เพื่อความอยู่รอดโดยมิได้เบียดเบียนใคร
นักเรียน,นักศึกษาหลายกลุ่ม รวมทั้งบุคคลที่เดินทางมาหาผมคณะแล้วคณะเล่า โดยส่วนมาก อยากที่จะได้มาเห็นศิลปะการแสดงเพลงพื้นบ้านว่า มีรูปแบบของการแสดงอย่างไร มีจุดเด่นตรงไหนจึงสามารถพัฒนาไปสู่การแสดงอาชีพได้ และที่สำคัญคือ เรื่องราวความเป็นมาของผมที่เด็ก ๆ มักจะถามกันทุกคณะว่า ที่มาของการเข้าสูวงการเพลงพื้นบ้านของผมที่มีมายาวนาน ด้วยแรงบันดาลใจอะไร จึงทำให้ต้องทำสิ่งนี้มาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน
(นายชำเลือง มณีวงษ์) นำทีมงานวงเพลงพื้นบ้านให้การต้อนรับคณะจากโรงเรียนชัยบาดาลพิทยาคม มาศึกษาดูงาน)
รูปแบบของการแสดง
เพลงพื้นบ้านวงนี้ มีชื่อว่า วงเพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ มีความแตกต่างจากวงเพลงพื้นบ้านหรือวงเพลงอีแซววงอื่น ๆ ในจังหวัดสุพรรณบุรีอยู่หลายประการ เป็นต้นว่า
- ครูผู้ฝึกสอนเป็นนักแสดงเพลงพื้นบ้านมาก่อน และเล่นเพลงมานานตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นวัยรุ่น
- มีการฝึกหัดเพลงพื้นบ้านแบบโบราณผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ครูเคยเรียนมาจากครูเพลงเก่า ๆ อย่างไรก็นำมาถ่ายทอดอย่างนั้น แล้วนำเอานวัตกรรมใหม่ ๆ (คอมพิวเตอร์) มาช่วยในการฝึกหัดเพลงพื้นบ้าน
- การแต่งกายยังคงรักษารูปแบบเดิม ทั้งเสื้อผ้า ผ้านุ่งโจงกระเบนและสวมใส่เครื่องประดับที่เรียบง่าย ไม่หรูหราจนเกินพอดี
- บทเพลงที่ใช้แสดงแบ่งเป็น 3 ยุค ยุคเล่นเพลงเดิม ยุคเล่นเพลงที่มีการปรับปรุงเนื้อหา และยุคเพลงทันสมัย แต่งบทร้องขึ้นมาใหม่ทั้งหมด
- มีการถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียน และฝึกซ้อมความชำนาญเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทั้งในเวลาเรียน กิจกรรมชุมนุมและนอกเวลาเรียน
- มีความสามารถที่จะรับงานแสดงได้ในทันที และสามารถแสดงได้ในเวลาที่ยาวนานกว่า 4 ชั่วโมง อย่างต่อเนื่อง (เคยบันทึกเทปโทรทัศน์ ยาวนานกว่า 12 ชั่วโมง) ด้วยบทเพลงที่มีทั้งความสนุกสนาน ให้ความรู้ มีติสอนใจ และเตือนให้คิด
จุดเด่นของวงเพลงที่นำไปสู่การแสดงอาชีพ
- ความสนใจของผู้แสดง หรือนักเรียนที่เข้ามาร่วมกิจกรรมในวง มีความตั้งใจจริง แม้ว่าบางคนจะพัฒนาไปไม่ถึงจุดสูงสุดของการเป็นนักแสดงแถวหน้าได้ก็ตาม แต่ก็สามารถที่จะเป็นส่วนประกอบที่ดี
- คุณลักษณะของผู้แสดงที่มีความโดดเด่นแตกต่างกัน ได้แก่ เสียงร้อง ลีลาในการแสดง การพูดจา ความสามารถในการรำ ความสามารถในทางดนตรีประเภทจังหวะ จึงทำให้เด็ก ๆ แบ่งหน้าที่กันทำงานตามความถนัด แต่ทุกคนร้องเพลงพื้นบ้านได้ (ในเพลงออกตังของวง ร้องทุกคน)
- ทางเพลงที่นำเอามาเล่น ในการแสดงทุกงานทั้งครูและนักแสดงจะทำการสืบค้นหาข้อมูลความพึงพอใจของท้องที่ว่า ผู้ชมชอบการแสดงแนวใด เช่น ไม่ชอบที่จะให้ร้องคำหยาบ ไม่ชอบการแสดงที่ไม่สุภาพ ไม่ชอบดูท่าทางที่ไม่เหมาะสม แต่ในบางท้องที่ก็ตรงกันข้าม เราจึงต้องมีการปรับโครงสร้างของการแสดงในทุกเวที
- มีการประเมินคุณภาพและพัฒนา จากนักแสดงธรรมดาไปสู่เวทีการประกวด จากการฝึกซ้อมในห้องศูนย์การเรียนรู้ไปสู่สาธารณชนและเผยแพร่ผลงานผ่านสื่อสารมวลชนหลาย ๆ แขนง เช่น สถานีโทรทัศน์หลายสิบช่อง (ด้วยความอดทนและใช้เวลานานกว่าที่จะได้รับการยอมรับ)
- การที่ได้มีโอกาสไปทำการแสดงในสถานที่ ที่ยอมรับว่า เป็นสถานที่ในระดับสูง เป็นโอกาสและวาสนาที่นำพาให้เด็ก ๆ ได้แสดงความสามารถ รวมทั้งงานแสดงในศูนย์การประชุมระดับประเทศ ได้แก่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, ศูนย์การประชุมไบเท็ค, ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ, อาคารอารีน่า เมืองมองธานี (ไปทำการแสดงหลายครั้ง) โรงแรมที่มีชื่อเสียงและขนาดใหญ่ ได้แก่ เซ็นทรัล มิราเคิล แอมบาสซาเดอร์ พัทยา
- ความคุ้มค่าของการเสียเงินจ้าง/วานไปแสดง มีความเหมาะสมกับสิ่งที่ท่านเจ้าภาพได้รับ จึงทำให้มีผู้มาติดต่อทีมงานไปแสดงในสถานที่ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง
(เพลงอีแซว สายเลือดสุพรรณฯ บนเวทีการแสดง ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2551)
แรงบันดาลใจให้เล่นเพลงพื้นบ้าน
ตรงจุดนี้พูดยาก เหมือนจะถามให้ผมตอบว่า ทำไมจึงชอบ “ร้องเพลงเชียร์รำวง” เพราะผมเห็นน้าชาย 2 คนเขาไปเล่นรำวงในหลาย ๆ งาน ตามไปดูแล้วประทับใจชวนให้หลงใหล หรือถามให้ผมตอบว่า ทำไมจึงเป็น “หมอทำขวัญนาค” ผมเห็นพ่อคุณ (คุณตา) ท่านทำขวัญนาค ผมไปด้วยได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ผมชอบจนถึงเอาตัวเข้าไปอยู่ในพิธีนั้น ต้องการที่จะเป็นอย่างนั้นให้ได้
ในส่วนของเพลงพื้นบ้าน ก็น้าชายอีกนั่นแหละที่เริ่มต้นทำให้ผมต้องมาเป็นอย่างนี้ น้าชาย 2 คน กับเพื่อน ๆ ของน้าไปร้องเพลงขอทานข้าวกระยาสารท ในเทศกาลเดือนสิบ พอตกกลางคืนผมได้ยินเสียงกลอง 2 หน้า ฉิ่ง กรับ ฉาบ เม้าท์ออแกน รวมทั้งเสียงผิวปากเป็นเพลง ผมติดตามไปดูน้าเขาเล่นเพลง ชอบมาก จึงฝึกหัดร้อง ประจวบกับในละแวกบ้านมีคนรุ่นน้าที่พอเขาดื่มสุราเข้าไปหน่อยก็ร้องเพลงฉ่อย เพลงอีแซว เพลงเกี่ยวข้าว ผมได้ยินบ่อย ๆ เข้าก็ร้องได้ จนในที่สุดได้ไปพบกับ ป้าอ้น จันทร์สว่าง ครูเพลงของผม ได้ไปขอฝึกหัดเพลงอีแซว เพลงฉ่อย จนมีความสามารถแสดงได้ ได้รับรางวัลชนะเลิศจากการประกวดเพลงอีแซว ของจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2525 และได้นำเอาความรู้มาถ่ายทอดไปยังนักเรียน
ดังนั้นแรงบันดาลใจของผมที่ต้องมาดำเนินชีวิตอยู่อย่างนี้ก็เพราะผมมีต้นแบบ ที่ผมประทับใจ จุดประกายความคิดให้อยากเป็น อยากทำในสิ่งที่ผมสนใจให้ได้ และก็สามารถทำได้ในระดับที่ผมพอใจแล้ว ในชีวิตนี้ ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของท้องถิ่นในการขยายผล ศิลปะการแสดงให้กับผู้ที่มาเยือนสุพรรณบุรี ได้รับรู้รับทราบเรื่องราวต่าง ๆ (ด้นกลอนสด) ผ่านบทเพลงพื้นบ้านหลายชนิดไปยังผู้ชม ผู้ฟัง ที่มาเยือนเพลงอีแซวโรงเรียนบรรหารแจ่มใสวิทยา 1 อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี
(นายชำเลือง มณีวงษ์ และทีมงานวงเพลงอีแซวอำเภอดอนเจดีย์ บนเวทีประกวดของจังหวัดสุพรรณบุรี ปี 2525)
เก็บภาพแห่งความทรงจำมาฝาก
ภูมิใจที่เยาวชน เห็นคุณค่าเพลงพื้นบ้าน
(วงเพลงอีแซวต้อนรับนักศึกษาปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 2549)
(ต้อนรับนักศึกษา จากมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิต เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2551)
ติดตามตอนที่ 3 (เก็บภาพมาฝาก)
มีความสุขในการทำงานนะคะ
แวะมาทักทายค่ะ
เข้ามาชมความรู้ดีครับ ว่าแต่คำว่า "ภูมิปัญญา" นักเรียนที่สอนเค้าจะทราบความและตีความออกเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร
ยุทธศาสตร์หนึ่งของ สกอ.
และมหาวิทยาลัย มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนา ศิลปวัฒนธรรมครับ
น่าชื่นชม
สวัสดี คุณสายธาร
สวัสดี คุณพิมล มองจันทร์
สวัสดี คุณภาสกร
ที่ว่า เป็นยุทธศาสตร์หนึ่งของ สกอ. และมหาวิทยาลัย มีภารกิจหลักในการส่งเสริมและพัฒนาศิลปวัฒนธรรม เห็นด้วย ครับ
ในส่วนของคนทำงานสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น รู้สึกภาคภูมิใจที่มีสถาบันเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสสืบค้นและไปพบศิลปินพื้นบ้าน นำเอาความรู้ไปขยายผลยังห้องเรียนต่อไป
ผมทำงานอยู่กับศิลปะการแสดงเพลงพื้นบ้านนานเกือบ 50 ปี รอจนปั้นปลายของชีวิตจึงมีคนเห็นคุณค่า แม้จะเป็นคนกลุ่มน้อยก็ยังดีกว่าที่ไม่มีเอาเสียเลย