ในช่วงที่เป็นเด็กนั้น เราก็มักอยากจะทำโน่นทำนี่..อยากรู้อยากเห็น..และสงสัยไปแทบทั้งหมด
คุณพ่อคุณแม่ก็จะคอยเตือนว่า...อย่าเพิ่งลูก ไว้โตก่อนค่อยเล่น ...ไว้โตก่อนค่อยทำ ....ยังเด็กไป
เราก็นึกหงุดหงิดในหัวใจเล็กๆในวันนั้นว่า ...ไว้โตก่อนเถอะจะลองทำให้หมดเลย
โดยเฉพาะการลองในสิ่งที่เรียกว่า เหมาะสมกับผู้ใหญ่...
แต่ว่า.. อะไรกันคือความเหมาะสม..
ข้าพเจ้าเพียรถามตัวเองถึงนิยามความเหมาะสมในชีวิต
จริง ๆ แล้ว เรื่องความเหมาะสมเป็นเรื่องที่เราต้องเตรียมตัวตั้งแต่เด็ก
เพราะมันคือ อนาคต หน้าที่การงานของเรา
เราต้องทบทวนตัวเองว่าชอบอะไร และเหมาะกับอะไร
ก็ไม่ใช่ทุกอย่างที่เราอยากจะเป็น อยากจะทำ และจะสามารถทำได้
ความเหมาะสม จึงเป็นเรื่องที่ต้องเตรียมตัว...
พ้นระยะเวลาในช่วงเด็กอันแสนยาวนานในวันนั้น
ความรักในอิสรภาพทำให้รู้สึกอยากจะเป็นนกที่โตเต็มวัย
เพื่อออกไปเผชิญกับโลกกว้างที่ตาดว่า..มันคงจะงดงาม น่าตื่นเต้น ...
สิ่งที่ยังไม่รู้จักย่อมหอมหวล น่าลิ้มลอง เสมอ
รสชาติของเสรีภาพที่รอคอย...ซึ่งใช่ว่า...จะใช่สิ่งที่ตามหามานาน
เพราะแท้จริงนั้นมันคือ
...เสรีภาพบนภาระของการรับผิดชอบตัวเอง...ในหน้าที่การงานและภาระทางสังคม
ทำให้ข้าพเจ้ากลับรู้สึกว่า ... นี่คือเสรีภาพ...หรือ...พันธนาการใหม่
เมื่อเราปกครองตัวเอง ความคิดตนเอง การตัดสินใจด้วยตนเอง
ซึ่งผลของการตัดสินใจนั้น...เราก็ต้องรับผิดชอบเองด้วย
แต่แท้จริงนั้น... คิดผิดถนัด
การตัดสินใจของเรา ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราคนเดียว
แต่เป็นความรับผิดชอบของทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรา
ซึ่งที่มีผลกระทบมากที่สุด
ก็คงไม่พ้นความรู้สึกของผู้เป็นพ่อแม่..ที่พร้อมจะยืนเคียงข้างและรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกทำเสมอ
ไม่ว่าลูกจะเป็นเด็กหรือโตเป็นผู้ใหญ่เพียงใดก็ตาม
นอกจากนั้นแล้ว...
ในการทำงาน...ซึ่งความสร้างความพอใจของคนทุกคนเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้
เราไม่สามารถเอาใจคนทุกคนได้ทั้งหมด... รวมทั้ง...หัวใจเราเองด้วย
ในบางครั้งเราจึงต้องทำอะไรที่ผิดใจตนเอง ไม่ได้ดั่งใจตนเอง ขัดใจตนเอง
เพียงเพื่อสิ่งที่เรียกว่า เพื่อความประนีประนอมและเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างสงบสุข
ในที่สุด ข้าพเจ้าจึงพบว่า...
ความมีเสรีภาพที่เคยเรียกร้องในวัยเยาว์จากผู้ซึ่งมีความรักอย่างไม่มีที่สิ้นสุดคือ พ่อแม่ ...
เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน..
นอกจากข้าพเจ้าจะไม่ได้เสรีภาพอย่างที่คิดฝันแล้ว...ยังรู้สึกว้าเหว่และเงียบเหงาเหลือเกิน
เพราะเป็นการได้อิสรภาพจากวัยเยาว์
มาสู่พันธนาการที่ต้องก้าวล่วงต่อไปที่นานและยากเย็นยิ่งกว่า...
คือ การต้องใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งที่คิดว่าเหมาะสม หรือจำเป็นต้องทำใจว่าเหมาะสม
คือ การทำงาน
ซึ่งในบางครั้ง ... การที่เราทำงานดีและตั้งใจเกินไป ...
แม้ว่าเราจะรู้สึกมีคุณค่าและคิดว่าเต็มที่แล้ว
แต่มันอาจจะไม่มีความหมาย...เพราะไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปเขานิยมปฏิบัติกัน
การทำตัวแตกต่าง บางครั้ง..จึงเป็นดาบสองคน
การโดดเด่นกว่าคนอื่นในเรื่องการมีมานะพยายาม
ถ้าอยู่ท่ามกลางคนที่มีใจเป็นธรรม แล้ว ย่อมได้รับความเมตตากรุณา
แต่ถ้าอยู่ท่ามกลางคนใจแคบแล้ว อาจกลายเป็นถูก..อคติ
ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่ต้องใช้เสรีภาพในการเลือกอาชีพหรือหน้าที่การงานแล้ว
จงหาสิ่งที่เหมาะสมมากที่สุด ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด
แต่อาจเป็นสิ่งที่สามารถอยู่ร่วมกับมันได้
และทำหน้าที่การงานอย่างเป็นกลางมากที่สุด
ถ้าคิดจะตั้งใจทำอะไรให้โดดเด่น ก็ลองสังเกตดู...สิ่งแวดล้อมในที่ทำงานของตนก่อนว่า
ผู้คนรอบข้างโดยเฉพาะผู้บังคับบัญชา
มีใจเป็นธรรมมากน้อยเพียงใด
เพื่อที่ความมานะพยายามตั้งใจทำงานของเรานั้น...จะได้ไม่เสียเปล่า
และทำให้เราต้องมาเสียกำลังใจ...ในภายหลัง
การโดดเด่นกว่าคนอื่นในเรื่องการมีมานะพยายาม
ถ้าอยู่ท่ามกลางคนที่มีใจเป็นธรรม แล้ว ย่อมได้รับความเมตตากรุณา
แต่ถ้าอยู่ท่ามกลางคนใจแคบแล้ว อาจกลายเป็นถูก..อคติ
ขอบคุณที่มาทักทายค่ะ ไว้แวะมาเยี่ยมชมอีกนะจ้ะ
บางทีการได้บอกกล่าวเล่าความ...
และร่วมแสดงความเห็น
ก็ทำใหเรามีความสบายใจมากขึ้น
อย่างน้อย..เราก็ไม่ได้อยู่อย่างเดียวดาย...ในโลกนี้คนเดียว
-สวัสดีค่ะ เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
-ทุกอย่างก็มี สองด้าน เสมอ เพียงแต่ว่า
ตอนนี้เรากำลังอยู่ด้านไหนเท่านั้น
รู้สึกเห็นใจค่ะ ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ........
อยากให้ความเห็นว่า ไม่ว่าเราจะทำอะไร ขอให้ใช้กำลัง และสติปัญญาของเราเองในการตัดสินใจ เพราะถ้าคุณได้รับการมอบหมายให้ทำงานสิ่งใดอยู่ ย่อมเรียกได้ว่า คุณเป็นผู้ได้รับความไว้วางใจ จากเจ้านาย และมีสิทธิ์ตัดสินใจในงานนั้นๆ ส่วนเรื่องอื่นๆ และเพื่อนร่วมงาน ก็เกื้อกูลกันไปตามหน้าที่และตามกำลังที่เราสามารถจะทำได้โดยไม่เบียดเบียนตัวเอง.....
ไม่มีใครสามารถไปเอาใจใส่ต่อคนรอบๆ ตัว เราได้ทั้งหมดหรอกค่ะ 100พ่อ+1,000แม่ คูณออกมาแล้ว หมื่นแสนความคิดทีเดียวนะคะ.....
ฝากลิ้งค์ ธรรมะ พรหมวิหาร 4 มาให้ลองอ่านดู นะคะ
http://blog.spu.ac.th/print.php?id=9367